วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 340

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 340 ความโกรธของฉู่ชางหมิง , ฉิงเทียน

“พี่ทงซิน ทำไมของท่านถึงใหญ่กว่าข้าจัง” หนิงเสวี่ยจับหมับที่ชามหยกสองใบของทงซิน จากนั้นหันศีรษะถามเย่หวูเฉินด้วยความสงสัย “ท่านพี่ ตรงนี้ของพี่ทงซินทำไมพอเทียบกับข้าแล้วถึงใหญ่กว่าจัง.... ของพี่สาวยิ่งใหญ่กว่านี้อีก....”

“เพราะเสวี่ยเอ๋อร์ยังไม่เติบโต พอเสวี่ยเอ๋อร์โตขึ้นก็จะใหญ่เท่าพี่หญิงเอง” เย่หวูเฉินกล่าวตอบ สายตามองค้างที่สองบัวตูมสีชมพูของทงซิน ทันใดนั้นก็เบี่ยงสายตาออก ลอบสูดลมเย็นเฮือกเข้าปอด

“เติบโต....” หนิงเสี่ยยื่นสองมือออกมาดู และเอ่ยเสียงแผ่ว “แต่ทำไมข้าถึงไม่โตขึ้นเลย....”

“วางใจเถอะ วันหนึ่งเสวี่ยเอ๋อร์ของข้าจะต้องเติบโตขึ้นแน่นอน” เย่หวูเฉินกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม

หนิงเสวี่ยแอบบุ้ยปาก ทว่าทันใดก็ผ่อนคลายทันที ตีน้ำต่อด้วยมือทั้งสอง ยิ้มแย้มและส่งเสียง “ข้าไม่อยากโตหรอก เพราะถ้าข้าโตขึ้นแล้ว จะไม่ได้พักในอกของท่านพี่อีก ฮี่ ฮี่....”

เย่หวูเฉิน “......”

คำของนางจี้จุดอ่อนในหัวใจ มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย หากไม่ทราบว่าในใจกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งใด

ใกล้มาถึงแล้วงั้นเหรอ? ก็สมควรมาถึงเร็วอยู่หรอก....

หากสามารถหลีกเลี่ยงวิบัติในครั้งนี้ได้ แล้วครั้งต่อไปข้าจะรับมืออย่างไร....

หรือจะทำได้เพียงทนยอมรับ....

เสวี่ยเอ๋อร์สูญเสียความทรงจำเช่นเดียวกับข้า หากวันหนึ่งนางฟื้นความทรงจำกลับมา นางจะเลือกทางไหน....

ผืนน้ำถูกสายลมจนเริ่มเย็นลง เย่หวูเฉินโคจรพลังอัคคีเติมลงในน้ำอีกครั้ง ปรับอุณหภูมิตามที่หนิงเสวี่ยชอบ สาวน้อยทั้งสองหยอกล้อกันในน้ำเป็นเวลานาน ลืมเลือนถึงเวลาที่ผ่านไป ลืมความเหน็ดเหนื่อยสิ้น จนกระทั่งท้องฟ้ากลายเป็นผืนมืดดำ

..............

..............

หลังผ่านพ้นไปอีกราตรี แสงอาทิตย์วันใหม่ก็มาถึง เย่หวูเฉิน , หนิงเสวี่ย , และทงซินอาศัยอยู่ที่นี่ได้สี่วัน แสงตะวันเพิ่งเรืองรอง เขาก็ถูกปลุกด้วยลิ้นนุ่มของทงซิน เขาอุ้มนางและเดินออกจากกระท่อมมุงหลังเล็ก สูดอากาศยามเช้าที่ค่อนข้างเย็น

ถึงจะกล่าวได้ว่าเขาปิดตัวอยู่ในโลกสันโดษ ทว่าเขายังคงทราบความเป็นไปของโลกภายนอก โดยเฉพาะตระกูลเย่ที่ยังคงสงบเงียบตามที่เขาคาดการณ์ รวมทั้งสำนักจักรพรรดิใต้ที่ไร้ความเปลี่ยนแปลงใดๆ หายนะหลายวันก่อนสร้างความโกลาหลภายในนั้นได้เป็นเวลานาน จนพวกมันไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น ทั้งไม่กล้าล่วงล้ำตระกูลเย่อีก เพราะต้องการหลีกเลี่ยงสตรีเทพพิโรธที่ไม่ทราบว่าซ่อนตัวอยู่แห่งใด ส่วนการหายตัวไปของเขาก็ได้เย่ฉุ่ยเหยาช่วยปกปิดไว้จากเย่เว่ยและหวังเวิ่นชูเป็นอย่างดี

“ท่านปู่ฉู่ ทุกวันท่านจะนั่งหลับอยู่แบบนี้ตลอดเหรอ?” เย่หวูเฉินเดินมาถึงยังชายชราที่นั่งอยู่บนตอไม้ จากนั้นเขานั่งลงบนอีกขอนไม้หนึ่งที่อยู่ตรงข้าม

“การหลับคือการฝึกฝนอย่างหนึ่ง” ฉู่ชางหมิงปิดดวงตาชราแน่น ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ หาไม่ใช่เพราะกล่าวคำ เขาก็เหมือนคนที่กำลังหลับลึกอยู่

“การไล่ตามวิถียุทธของท่านปู่ฉู่ช่างน่าชื่นชมจริงๆ” เย่หวูเฉินกล่าวพลางถอนหายใจ

ฉู่ชางหมิงเงียบงัน

จากนั้นเย่หวูเฉินกล่าวต่อ “ท่านปู่ฉู่เข้มงวดกับพี่ใหญ่ฉู่เป็นพิเศษ การกวดขันของท่านย่อมต้องมีเหตุผล ท่านปู่ฉู่พอจะบอกเหตุผลกับข้าได้หรือไม่? รวมถึง....” เย่หวูเฉินสีหน้าจริงจังขึ้นเล็กน้อย “พ่อแม่ของพี่ใหญ่ฉู่ตายด้วยฝีมือใคร?”

ฉู่ชางหมิงยังคงเงียบงันไร้การเคลื่อนไหว เย่หวูเฉินมองทุกสีหน้าและอารมณ์ของเขา เขาไม่เอ่ยถามอีกและกลายเป็นเงียบงันทั้งสองคน

“ลูกชายเพียงคนเดียวของข้า เขาเรียกว่าฉู่ชิงหยุน” เป็นเวลานาน ในที่สุดฉู่ชางหมิงก็ค่อยๆขยับปาก เปล่งน้ำเสียงชราอันอ่อนโยน “เขาจากโลกนี้ไปตอนที่ต้าหนิวอายุใกล้จะครบขวบ ต้าหนิวคอยถามข้าอยู่เสมอเกี่ยวกับการตายของพ่อแม่เขา แต่ข้าไม่เคยเล่าให้เขาฟัง.... เจ้าพูดถูก ทุกการกระทำย่อมมีเหตุผล หากไร้เหตุผลรองรับ ไหนเลยจะบรรลุพลังขั้นสูงได้.... ทว่าเป้าหมายสูงสุดของข้านั้น กลับเป็นเป้าหมายที่ข้าไม่อาจบรรลุ ความลุ่มหลงในพลังยุทธของข้า รวมถึงการกวดขันต้าหนิวอย่างรุนแรง เพียงเพื่อปลอบประโลมหัวใจตน และคาดหวังในสิ่งที่รางเลือนนั้น”

เมื่อฉู่ชางหมิงกล่าวถึงประโยคท้ายๆ เย่หวูเฉินสัมผัสได้ทันทีว่าบรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ทงซินที่อยู่ในอ้อมกอดยังเงยศีรษะมอง จากนั้นจิตสังหารน่าหวาดหวั่นของฉู่ชางหมิงก็คลายออก เห็นได้ชัดว่าจิตสังหารนี้ถูกระงับไว้เป็นเวลาหลายปี ความเกลียดชังที่เก็บกดไว้ เมื่อปลดปล่อยออกจึงรู้สึกเย็นเยือกถึงไขกระดูก หัวใจของเย่หวูเฉินกระเพื่อมทันที ก่อนหน้านี้ ฉู่ชางหมิงสงบนิ่งและสุขุม ดุจขุนเขาที่ไม่หวั่นไหวต่อความโกรธและอารมณ์รุนแรงใดๆ ทว่าวันนี้ สิ่งที่เขารู้สึกได้จากฉู่ชางหมิงคือความเกลียดชังลึกล้ำและจิตสังหาร

ตั้งแต่เห็นฉู่ชางหมิงในวันแรก เขาก็รู้สึกได้ว่าใต้ความสงบเงียบมีบางสิ่งอันลึกล้ำซ่อนอยู่ และฉู่จิงเทียนไร้บิดามารดามาตั้งแต่เด็ก แต่เขากลับไม่ทราบว่าบิดามารดาตนจากโลกนี้ไปได้อย่างไร เรื่องนี้ทำให้เย่หวูเฉินเกิดความสงสัย ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าที่ตนรู้สึกนั้นไม่ผิดพลาด

“คนผู้นั้นเป็นใคร?” เย่หวูเฉินส่งเสียงถาม สามารถทำให้ตัวตนอย่างเทพกระบี่ถึงกับกล่าวว่า “เป้าหมายที่ไม่อาจบรรลุ” คำกล่าวนี้ หรือว่าบุคคลนั้นจะ....

“มันเรียกว่า ฉิงเทียน” ดวงตาชราที่ปิดอยู่เปิดขึ้นเล็กน้อย คู่ดวงตาสงบทอแสงเกลียดชังอันเย็นเยียบ

“ฉิงเทียน?” เย่หวูเฉินขมวดคิ้ว ทำให้ฉู่ชางหมิงมีสภาพเช่นนี้ได้ แสดงว่ามันต้องมีพลังแกร่งกล้าพอจะทอดตาทั่วแผ่นดิน เป็นตัวตนที่นามเลือนลั่นไปทั้งปฐพี ทว่าในทวีปเทียนเฉินกลับไร้นาม ‘ฉิงเทียน’ ที่โด่งดัง

“ปีนั้น ต้าหนิวยังไม่ทันอายุครบขวบ เขายังหัดพูดอ้อแอ้อยู่ วันนั้นข้าพาต้าหนิวออกไปเที่ยวในตอนเช้า และกลับมาตอนอาทิตย์ตกดิน คิดไม่ถึงเลยว่าพอข้ากลับมาถึง เรือนไม้ของชิงหยุนจะหายไปแล้ว ทั้งชิงหยุนและภรรยา รวมถึงภรรยาข้าจมอยู่ในกองเลือดโดยไร้พลังชีวิต” ฉู่ชางหมิงเงยศีรษะมองฟ้า หวนนึกถึงความทรงจำที่แสนเจ็บปวด เขาคุมกระบี่และพาหลานชายเที่ยวไป จากนั้นคุมกระบี่กลับมา จากที่สุขสมใจกลับกลายเป็นฝันร้ายร่วงหล่นจากฟ้าเมื่อกลับมาถึงบ้าน

เย่หวูเฉิน “......”

“ข้าตะลึงโง่งมอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน จากนั้นรีบตรวจลมหายใจของพวกเขา.... ภรรยาข้าตาย.... ลูกสะใภ้ของข้าตาย ทว่าชิงหยุน.... บางทีอาจเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อยของสวรรค์ แม้ว่าเขาบาดเจ็บสาหัส ทั้งพลังชีวิตไม่ปรากฎ แต่เขายังรักษาลมหายใจสุดท้ายไว้ได้ ข้าใช้พลังทั้งหมดเพื่อปลุกสติเขาขึ้นมา และถามว่าผู้ใดทำร้ายพวกเขา.... ชิงหยุนตอบข้าว่า มันมาเพียงผู้เดียวและเรียกตัวเองว่า ฉิงเทียน.... คนที่ชื่อฉิงเทียนนั้นถามหาองค์หญิงไป่เย่และองค์หญิงเฮยเย่.... จากนั้นฉับพลันมันก็เริ่มโจมตีพวกเขา....”

ทงซินที่เงยศีรษะอยู่ในอ้อมอกของเย่หวูเฉิน ฉับพลันดวงตาก็ทอแสงทมิฬ จับจ้องอยู่ที่ฉู่ชางหมิง เย่หวูเฉินยกมือขึ้นปิดตานางและซุกนางกลับเข้าอก องค์หญิงเฮยเย่.... ทงซินไม่มีวันลืมชื่อนี้ เพราะอดีตผู้ที่ชื่อลู่เทียนได้เรียกนางด้วยนามนี้ แม้ว่านางใช้พลังที่ไม่ทราบว่ามาจากไหน รวมถึงจำไม่ได้ว่าใช้วิธีใดฆ่ามัน แต่นางจำได้ว่าคนผู้นั้นทรงพลังยิ่งจนทำให้นางไม่อาจดิ้นหลุดได้

เย่หวูเฉินไม่กล่าวคำ รอให้ฉู่ชางหมิงเล่าต่ออย่างสงบ หนึ่งปีก่อนเมื่อทงซินพบเขา นางใช้ทุกวิธีของตัวเองเพื่อบอกทุกอย่างกับเขา ด้วยสัมพันธ์ทางวิญญาณ สัมผัสใจสู่ใจทำให้เย่หวูเฉินรู้ว่านางต้องการบอกบางสิ่ง.... ในที่สุดทงซินจึงเขียนอักษรสองตัวขยุกขยิกให้เขาดู มันเขียนว่า ลู่เทียน

ลู่เทียน.... ฉิงเทียน.....

คนพวกนั้น หรือว่า.....

“แม้ข้าไม่เคยได้ยินชื่อฉิงเทียน ไม่เคยรู้จักว่ามันเป็นใคร แต่ข้าจำชื่อของมันไว้มั่น.... ทว่าถ้อยคำสุดท้ายที่ชิงหยุนกล่าว ทำให้ข้าที่กำลังคิดว่าฉิงเทียนเป็นใครต้องหยุดลงทันที ข้ากลายเป็นพูดไม่ออก และเข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดจึงปรากฎคนที่แข็งแกร่งพอสังหารภรรยา, ลูกชายและลูกสะใภ้ข้าได้โดยที่ข้าไม่รู้จัก”

“แล้วเขาพูดว่าอะไร?” เย่หวูเฉินเอ่ยถาม ในใจคิดถึงความเป็นไปได้บางสิ่งแล้ว

ฉู่ชางหมิงนึกถึงคำพูดสุดท้ายในชีวิตของบุตรชาย ทีละถ้อยคำปรากฎชัดขณะกล่าว “เขาบอกว่า.... ต่อหน้าเทพแท้จริง ยอดฝีมือแห่งมวลมนุษย์ ก็เป็นได้เพียงฝูงมดตัวเล็กๆเท่านั้น”

เย่หวูเฉิน “......”

“หลังจากวันนั้น ข้าจึงพาต้าหนิว และนำกระบี่ชางหมิงท่องไปทั่วหล้า ตามหาคนที่ชื่อฉิงเทียน หนึ่งปีผ่านไป สองปีผ่านไป.... สี่ปีผ่านไป ข้าก็ยังไม่อาจหามันพบ อันที่จริงข้าทราบมาตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าข้าไม่อาจหาคนผู้นั้นพบอย่างแน่นอน เพราะคนที่สามารถสังหารพวกเขาได้ตามลำพัง ต่อให้ข้าอยู่ตรงนั้นก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ฉิงเทียนผู้นั้นไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เป็นเทพที่มาจากทวีปเทวะ ตามหาสองบุคคล....ที่เป็นเทพแท้จริง!”

เย่หวูเฉินสูดหายใจยาวและระบายออกอย่างแผ่วเบา ผู้คนในทวีปเทวะกำลังตามหาองค์หญิงเฮยเย่และองค์หญิงไป่เย่ ทว่าด้วยกฎที่จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือกำหนดไว้ ทำให้ทวีปเทวะสามารถส่งเทพมายังทวีปเทียนเฉินได้เพียงทุกๆสามปีครั้งเท่านั้น และอยู่ในทวีปเทียนเฉินได้ครั้งละเพียงไม่เกินหนึ่งวัน ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกคำสาปอันโหดร้ายทารุณ ที่ผ่านมาพวกนั้นไม่เคยหยุดการค้นหา.... และเมื่อสามปีก่อน เทพขุนพลแห่งทวีปเทวะได้ติดตามกลิ่นอายจนค้นพบผู้ที่คอยตามหา.... ทว่าจากนั้นเขาตกตายด้วยคมกริชเทพพิโรธของทงซิน

ตอนนี้ นับจากครั้งนั้นก็ผ่านพ้นมาสามปีแล้ว

“ท่านปู่ฉู่ ขอบคุณท่านมากที่เล่าเรื่องเหล่านี้ให้ข้าฟัง” เย่หวูเฉินกล่าว ฉู่ชางหมิงเก็บงำเรื่องนี้ไว้ในใจกว่า 20 ปี กระทั่งหลานชายตนเองยังไม่เคยเล่าให้ฟัง ตอนนี้เขากลับเล่าออกมาโดยไม่สงวนไว้

“เพราะมีเพียงเจ้าที่เชื่อข้า และมีเพียงเจ้าที่สามารถช่วยต้าหนิวได้ เขาคือความหวังในการแก้แค้นของข้า” ฉู่ชางหมิงกล่าวคำอย่างสงบ

“....ถูกต้อง หากกล่าวถึงคนผู้เดียวในโลกนี้ที่จะไม่สงสัย คนผู้นั้นย่อมเป็นข้าจริงๆ” เย่หวูเฉินกล่าวเสียงเบาขณะกอดทงซินแน่นขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว ทงซินสัมผัสได้ว่าจิตใจของเขาจู่ๆก็ปั่นป่วน นางจึงขยับกายซุกลงในอ้อมแขน

“ท่านปู่ฉู่ ท่านเมตตาต่อข้านัก หากวันใดถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะช่วยให้พี่ใหญ่ฉู่ได้รู้ความจริงด้วยวิธีอันสมควร และจะช่วยให้เขา.... ได้สังหารศัตรูด้วยมือตนเอง หวังว่าเจ้าฉิงเทียนนั่นจะยังมีชีวิตอยู่” เย่หวูเฉินแววตาซับซ้อน น้ำเสียงจริงจังอย่างที่สุด

ฉู่ชางหมิงพยักหน้า กล่าวคำแฝงความหมาย “เจ้าไม่อาจหนีพ้นตั้งแต่พบหนิงเสวี่ย และเจ้าต้องดิ้นรนไปตามหนทาง.... คนทั่วไปอาจคิดว่าเจ้ามุ่งหมายในโลกนี้ ฮี่ ฮี่ แต่ข้าผู้ชราทราบดีว่าความหวังสูงสุดของเจ้าก็คือเพื่อหนิงเสวี่ย ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่”

เย่หวูเฉินยิ้มและไม่กล่าวตอบ สหายแท้จริงของเขาคือชายชราผู้นี้ ผู้ซึ่งช่วยชีวิตเขาไว้ในอดีต และไม่ได้พบเห็นกันมาตลอดสามปี



<<<PREV    .    NEXT>>>