วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 351

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 351 เหยียนปิงเอ๋อร์ (2)

“เจ้าชื่ออะไร?” ปิงเอ๋อร์สงบใจลงและถามอย่างจริงจัง

“เล่งหยา” เล่งหยาลังเลเล็กน้อยขณะตอบ

“เล่งหยา? เจ้า....ไม่ใช่เย่หวูเฉินหรอกหรือ?” ปิงเอ๋อร์คาดเดาผิดไป นางทั้งแปลกใจและผิดหวัง จากคำเล่าลือมากมายเกี่ยวกับเย่หวูเฉิน ภาพของเขาในใจนางคือองอาจ สง่างามไร้ที่เปรียบ เป็นบุคคลที่มีพลังสูงล้ำ สามารถสังหารเทพสงครามฟงเฉาหยางได้ในหนึ่งกระบี่ คนที่อยู่ตรงหน้าเวลานี้กล้าหาญไม่ธรรมดา ใบหน้าคมคายราวรูปเพชร แววตาเย็นชาอย่างไร้ที่เปรียบ จิตใต้สำนึกบอกนางว่าคนที่ลอบเข้ามาในสำนักจักรพรรดิเหนือและตามหาเหยียนจื่อเมิ่งจะต้องเป็นเย่หวูเฉิน คิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบด้วยชื่อที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน

เห็นได้ชัดเลยว่า นางเพียงได้ยินข่าวที่เย่หวูเฉินยังไม่ตาย แต่ตกข่าวเรื่องที่เขามี ‘ร่างกายพิการ’

คำอุทานแผ่วเบาของปิงเอ๋อร์ทำให้เล่งหยาหัวใจวูบไหว ดวงตาคมกล้าเห็นความผิดหวังที่ปรากฎชัดบนใบหน้าปิงเอ๋อร์ ในใจยิ่งปั่นป่วน เมื่อรวมกับข้อที่ว่านางไม่มีเหตุผลให้ช่วยเขาซ่อนตัว เล่งหยาราวกับพลันเห็นแสงสว่างในรุ่งอรุณ เขากล่าวเสียงต่ำ “ข้าไม่ใช่เขา.... อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนส่งข้ามาที่นี่”

“.....” ปิงเอ๋อร์เงยหน้าที่ผิดหวังขึ้น มองเล่งหยาอย่างระวังและกล่าว “แล้วทำไมเขาไม่มาเอง?”

เล่งหยารู้ว่าหากเล่าต่อย่อมเป็นการเสี่ยง เขาจึงไม่เผยเบาะแสใดๆให้กับนางอีก เขากล่าวเสียงเย็นชา “หากเจ้ารู้ก็จงบอกข้า ว่านางอยู่ที่ไหน”

“เฮ้ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย เฮอะ!” ปิงเอ๋อร์คล้ายโกรธเคืองกับน้ำเสียงเย็นชาของเขา นางเชิดหน้าออกและกล่าว “บอกไว้ก่อนนะ ข้าคือสาวใช้ของคุณหนู ตั้งแต่เข้าสำนักจักรพรรดิเหนือในวันแรกข้าก็ได้ติดตามนาง หากเจ้าอยากรู้ว่าคุณหนูอยู่ที่ไหน อะแฮ่ม ทั่วทั้งสำนักจักรพรรดิเหนือมีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้ แต่ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!”

“เจ้า!” เล่งหยาเลิกคิ้วขึ้นสูง เมื่อจะลุกยืนความเจ็บที่เท้าก็เสียดแทง เขาครางเบาๆคำหนึ่ง เมื่อปิงเอ๋อร์ได้ยินก็หันศีรษะกลับมา สายตาตกบนแผลฉกรรจ์ที่เท้าเล่งหยา นางโค้งริมฝีปากกล่าวหยัน “เจ้าจัดการตัวเองก่อนดีกว่ามั้ง เห็นว่าลอบเข้ามาในสำนักจักรพรรดิเหนือได้ ข้าก็นึกว่าจะเก่งกล้าปานใด คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับอ่อนแอ ถึงไม่รู้ว่าเจ้าเข้ามาได้ยังไงก็เถอะ.... แต่ตอนนี้เท้าของเจ้าเจ็บหนัก ต่อให้ข้าบอกเจ้าไป  แล้วเจ้าจะออกไปบอกเย่หวูเฉินยังไง?”

เล่งหยากลายเป็นเงียบงัน สูดหายใจบาง โคจรลมปราณระงับความเจ็บปวดที่เท้า เขาไม่ได้ฝึกฝนทักษะการรักษาใดๆ ดังนั้นมันจึงเป็นข้อด้อยของเขา เมื่อใช้ ‘ลมปราณ’ ระงับความเจ็บปวด บาดแผลจึงเลวร้ายขึ้น ปิงเอ๋อร์ขยับมาหนึ่งก้าวจนเกือบชนเล่งหยา เมื่อถูกสตรีเข้าประชิดใกล้ เล่งหยาเกือบถอยโดยสัญชาตญาณ ทว่ากลับได้ยินปิงเอ๋อร์แค่นเสียง “เฮ้ อย่าขยับ เจ้านี่มันโง่เง่าจริงๆ แค่เรื่องรักษาก็ยังไม่รู้”

“เจ้า....” เล่งหยาจ้องเขม็งอย่างโกรธเคืองยังสตรีที่เพิ่งดุด่า ทว่าปิงเอ๋อร์ไม่สนใจมองตอบ นางยื่นมือขวาจับที่ข้อเท้าขวาของเขาทันที มืออีกข้างถอดรองเท้าและถุงเท้าเขาออกอย่างรวดเร็ว พวกมันเปียกชุ่มไปด้วยโลหิตแดง เนื้อจากแผลบางส่วนยังติดไปกับถุงเท้า เมื่อปิงเอ๋อร์ถอดพวกมันออกเสร็จ เล่งหยาก็ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทว่าในสมองของเขา กำลังขาวโพลนเป็นเวลานานโดยไม่อาจกลับคืน

ก่อนที่จะพบกับเย่หวูเฉิน เขาไม่เคยมีสหายมาก่อน ไม่เคยติดต่อกับสตรีใดนอกจากมารดาตนเอง เวลาส่วนใหญ่คืออยู่เคียงข้างมารดา เมื่อเติบใหญ่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ทำให้เขาปฏิเสธสตรีโดยจิตใต้สำนึก แม้ว่าเขาอายุกว่า 20 ปี แต่ไม่เคยนึกถึงเรื่องสำคัญในตลอดชีวิตตน ในวันที่มารดาของเขาจากโลกนี้ไป เขาก็ตัดสินใจทำตามความปรารถนาของมารดา ติดตามเย่หวูเฉินตลอดชีวิต ด้วยชีวิตทั้งหมดที่เหลือ

เวลานี้ เมื่อเห็นสตรีถอดรองเท้าและถุงเท้าให้ตัวเอง ความรู้สึกประหลาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นก็ปรากฎในใจอย่างเงียบงัน ทำให้เขาลืมเลือนความเจ็บปวดขณะที่สมองว่างเปล่า ทว่าทันใดนั้น หัวใจก็ต้องสะดุ้งวาบ และต้องข่มกลั้นความเจ็บไว้อีกครั้ง

“โอ้ โทษทีข้าไม่ทันเห็น แต่เจ้าก็ถือว่าร้ายกาจไม่เบา แผลฉกรรจ์ขนาดนี้ยังไม่ส่งเสียงสักแอะ” ปิงเอ๋อร์มองเล่งหยาที่หลังเท้าถูกเจาะทะลุ เจ็บปวดจนชาไปถึงหนังศีรษะ นางลอบชื่นชมเล่งหยาหลายส่วนอยู่ในใจ โดยไม่รอให้เล่งหยาตอบสนอง นางยื่นมือซ้ายออกและเคลื่อนเป็นวง จากนั้นแตะลงบนบาดแผลที่หลังเท้าของเล่งหยา เล่งหยาที่กำลังจะชักเท้าออกทันใดก็รู้สึกอบอุ่นที่เท้าอย่างประหลาด ความเจ็บปวดชำแรกจิตค่อยๆเลือนหายไป จนกระทั่งเหลือเพียงความอบอุ่นสบาย

“นี่คือวิชาเพลิงวิญญาณของพวกเราสำนักจักรพรรดิเหนือ แม้ว่าข้าไม่ค่อยได้ตั้งใจฝึกฝนนัก แต่บาดแผลเพียงเท่านี้ย่อมรักษาได้ ตราบที่เจ้าเชื่อฟังข้า บางทีเจ้าอาจจะหายภายในไม่กี่วัน” ปิงเอ๋อร์โคจรพลังเพลิงวิญญาณเข้ารักษาบาดแผลของเขา ขณะเดียวกัน นางก็ไม่ลืมเอ่ยปากกล่าวคำเจื้อยแจ้ว

เล่งหยาใบหน้าแข็งทื่อ มองสตรีตรงหน้าที่วางมืออยู่บนเท้าตน นางเริ่มมีเหงื่อผุดพราวออกมาบนหน้าผาก....

..............

..............

ตูม....

ราวกับฟ้าคำรามก้องเป็นเวลานาน ทั่วทั้งสำนักจักรพรรดิเหนือรวมถึงบริเวณโดยรอบหลายสิบลี้สามารถได้ยินเสียงระเบิดกึกก้องได้เป็นเวลานาน มีเสียงร้องโหยหวนของผู้คนดังรอบทิศ หากผู้ใดได้ยินเสียงนี้จะต้องตะลึงไปชั่วขณะ

“เซียงเซียง ไปกันเถอะ” เมื่อยิง ‘ศรแยกฟ้าสังหารโลหิต’ ออกไป เขาก็รู้สึกอ่อนล้าสุดขีด กระทั่งจะขยับนิ้วยังรู้สึกหนักหน่วง เขายิงศรนี้หนึ่งเพื่อประกาศศักดา สองคือเพื่อดึงดูดความสนใจของคนในสำนักจักรพรรดิเหนือ สร้างความแตกตื่นโกลาหลในชั่วเวลาสั้นๆ ลดแรงกดดันของเล่งหยาที่เข้าไปข้างใน ขณะที่ทางเลือกเดียวของเย่หวูเฉินในเวลานี้คือรีบออกไป ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องถูกจู่โจม และสภาพของเขาในยามนี้ย่อมไม่อาจป้องกันตัวเองได้

เหนือไหล่ของเขา เซียงเซียงลอยนิ่งอยู่ ทว่านางกลับไม่แผ่แสงขาวที่เย่หวูเฉินคุ้นเคยออกมา นางหันมาทางเย่หวูเฉิน โน้มกายลงที่ข้างหูและร้อง “อิย๊า อิย๊า” เสียงเบา ทำให้เย่หวูเฉินขมวดคิ้วมุ่น “พลังตัดมิติยังไม่สมบูรณ์? ตอนนี้ยังข้ามมิติระยะไกลไม่ได้สินะ เฮ้อ.... งั้นก็สุ่มไปที่ไหนสักแห่งก่อน สรุปคือรีบออกไปจากที่นี่”

เซียงเซียงเคลื่อนตัดมิติจากสำนักมารมายังใจกลางดินแดนสาบสูญ จากนั้นใช้การตัดมิติระยะสั้นอีกสองครั้ง การใช้พลังแห่งมิติเป็นการฝ่าฝืนเจตจำนงค์ของสวรรค์ แต่ละครั้งจึงสูบกลืนพลังจำนวนมาก เซียงเซียงต้องใช้เวลารวบรวมพลัง จึงจะสามารถเคลื่อนตัดมิติระยะไกลได้ และตอนนี้นางยังฟื้นฟูพลังได้ไม่เต็มที่

เมื่อได้รับคำสั่งใหม่จากเย่หวูเฉิน เซียงเซียงร้อง “อิย๊า” ตอบรับคำหนึ่ง แสงขาวที่หม่นมัวอย่างเห็นได้ชัดครอบคลุมร่างของเย่หวูเฉินทันที เขาหายไปในอากาศอย่างเงียบงัน ด้วยฝุ่นทรายที่บดบังไว้ ทำให้ไม่มีผู้ใดเห็นเขาขณะจากไป

ท่ามกลางฝุ่นทรายที่บดบังท่วมฟ้า พื้นหินที่แตกออกเริ่มร่วงกลับลงมาดุจห่าฝน มีมากกว่าสิบคนที่ต้านรับ ‘ศรแยกฟ้าสังหารโลหิต’ โดยตรง ส่วนคนอื่นๆที่รายล้อมถูกพลังทรราชย์อัดกระเด็นไปตามกัน คนครึ่งหนึ่งปลิวไปพร้อมหลั่งเลือด แม้พวกนั้นไม่ได้ถูกพลังศาสตราต้องห้ามกระทบโดยตรง แต่จากคลื่นของมันก็บอกได้ว่ามันมีพลังแกร่งกล้าพอจะต่อต้านเจตจำนงค์ของสวรรค์

ห้องหนังสือของประมุขสำนักจักรพรรดิเหนือเหยียนต้วนหุนได้กลายเป็นเศษหินปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ เกิดหลุมกว้างกว่าห้าเมตรและลึกจนไม่เห็นก้นหลุม ในจุดที่ ‘ศรแยกฟ้าสังหารโลหิต’ ตกลงไปมีทั้งหลุมและรอยแยก ในยุคโบราณร่ำลือกันว่า ศรที่ยิงจากคันศรบาปวิบัติคือหายนะน่าหวาดหวั่น กระบวนท่าแรก ‘ศรแยกฟ้าสังหารโลหิต’ หมายถึงสามารถแยกฟ้าทลายสวรรค์ ทำให้ผืนปฐพีแตกออกจากกัน พลังของเย่หวูเฉินตอนนี้ยังคงห่างไกลจากจักรพรรดิเหนือ ผลลัพธ์เมื่อเขายิง ‘ศรแยกฟ้าสังหารโลหิต’ จึงไม่อาจบรรลุพลังสูงสุดของคันศรบาปวิบัติได้ ทว่าเพียงเท่านี้ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงแล้ว

มียอดฝีมือเทวะสามคนที่อยู่ในฉาก เหยียนต้วนหุน , เหยียนเทียนอ้าว และชายอีกคนอายุเพียงประมาณ 50 ปี เหยียนต้วนชั้วผู้เป็นหลานของเหยียนเทียนอ้าว รวมทั้งหมดเป็นสามคน และยังมียอดฝีมือขอบเขตสวรรค์อีกนับสิบคนที่ต้านทานอย่างเต็มที่ กระนั้นยังไม่อาจต่อต้านพลังของศรแยกฟ้าสังหารโลหิตได้ทั้งหมด ราวกับกองฟางที่ระเบิดออกปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ.... เหล่าคนที่ต้านรับศรแยกฟ้าสังหารโลหิตโดยตรง มียอดฝีมือขอบเขตสวรรค์เจ็ดคนที่ตกตาย เหยียนต้วนหุน , เหยียนต้วนชั้ว และเหยียนเทียนอ้าว ยอดฝีมือเทวะทั้งสามถูกพลังอัดกระแทกกระเด็นไปไกล แม้ว่าไม่ถูกสังหาร ทว่าหลังลงถึงพื้นก็ไม่มีใครหยุดร่างได้ ต่างไถลครูดกับพื้นไปไกล ในอกปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่ง หากไม่ใช่เพราะกดข่มเอาไว้คงกระอักเลือดออกมา เมื่อพวกเขาหยุดร่างได้และยืนขึ้น ทั่วกายก็ปวดร้าวราวถูกกระบี่นับไม่ถ้วนกรีดแทง

หากหนึ่งในพวกเขารับศรวิบัตินี้เพียงลำพังแล้วพ่ายแพ้ พวกเขาคงยังพอยอมรับได้ ทว่าสามยอดฝีมือเทวะประสานพลังกัน รวมกับยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์อีกนับสิบ กลับยังคงพ่ายแพ้ต่อศรวิบัตินี้ พวกเขาไม่อาจห้ามหัวใจไม่ให้สั่นไหว ยากระงับเงาทะมึนแห่งความกลัว และแผ่นดินที่แตกแยกเป็นทางยาวทำให้พวกเขาต้องหายใจลึกด้วยความสะพรึง

หมอกฝุ่นค่อยๆจางลง จักรพรรดิมารก็หายตัวไปด้วย อากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นฝุ่นและเสียงร้องโอดครวญ เหยียนเทียนอ้าวและเหยียนต้วนชั้วเอามือกุมหน้าอกตัวเอง เดินไปหาเหยียนต้วนหุนอย่างรีบร้อนและถาม “ท่านประมุขเป็นอะไรมั้ย นายน้อย เขา....”

“ข้าไม่เป็นไร” เหยียนต้วนหุนแสดงความเจ็บปวดเล็กน้อย ทว่าทันใดก็สงบลง เขาหันศีรษะมองเหยียนซีหมิงที่สลบอยู่ไกลออกไป จากนั้นส่ายศีรษะและกล่าว “ซีหมิงอยู่ใต้การปกป้องของพวกเราสามคน เขาย่อมไม่บอบช้ำมากนัก เพียงแค่สลบไปเท่านั้น”

เขาแหงนศีรษะมองไปบนอากาศ ไร้ร่องรอยของจักรพรรดิมารใดๆ เขากล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สมแล้วที่เป็นศาสตราต้องห้ามในตำนาน.... หากหนึ่งในพวกเราถูกยิงเข้าโดยลำพัง....”

“ย่อมตายโดยไม่ต้องสงสัย!” แววตาของเหยียนเทียนอ้าวยังคงทรนง หากยังกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำดุจเดียวกัน




<<<PREV    .    NEXT>>>