วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 371

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 371 เจวี๋ยเทียน (2)

ท่ามกลางความเงียบงัน ในที่สุดก็มีคนผู้หนึ่งลอยร่างขึ้นสู่กลางอากาศ  หยุดที่ระดับความสูงเดียวกับคนผู้นั้น เป็นฉุ่ยม่านชานอาวุโสปฐพีแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ ทว่าในหัวใจของเขากำลังกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาบินขึ้นไปหยุดอยู่ห่างระยะหนึ่งแล้วตะโกน “ไม่ทราบท่านผู้สูงส่งเป็นใคร? ที่นี่คือสำนักจักรพรรดิใต้ หากไม่มีธุระโปรดออกไปจากที่นี่.... หากท่านผู้สูงส่งเพียงผ่านมา หรืออยากหยุดพักที่นี่ชั่วคราว ก็เชิญเป็นแขกสำนักจักรพรรดิใต้ของพวกเราได้”

หากเป็นบุคคลอื่น ไม่ว่าผู้ใด ไม่ต้องกล่าวถึงการบุกรุกสำนักจักรพรรดิใต้ หากล่วงล้ำเข้ามาย่อมถูกจัดการเด็ดขาดอย่างไร้ลังเล.... ทว่าเมื่อเผชิญหน้าต่อคนผู้นี้ อาวุโสปฐพีผู้เกรียงไกรแห่งสำนักจักรพรรดิใต้กลับไม่กล้ากล่าวคำไร้ความเคารพใดๆ เห็นได้ชัดว่าเขาหวั่นเกรงต่อคนผู้นี้ ทว่าไม่มีใครรู้ ว่ายามนี้เขาตื่นตระหนกและหวั่นกลัวเพียงใด

แม้ยังไม่ได้ลงมือ แต่จากแรงกดดันก็บอกได้แล้วว่าคนผู้นี้ทรงพลัง ทั้งชีวิตนี้เขาเพิ่งเคยเห็น ฉุ่ยม่านชานที่รู้จักผู้บรรลุขอบเขตเทวะชั้นสูงย่อมทราบดีว่าคนตรงหน้าแข็งแกร่งกว่าหลายเท่า.... ในหัวใจไม่อาจหยุดห้ามคำว่า ‘ขอบเขตเหนือเทพ’ ให้ผุดขึ้นมา หัวใจเต้นกระหน่ำรุนแรง นี่คือคนที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ในความทรงจำไม่เคยพบเจอบุคคลถึงปานนี้ ตอนนี้เขายังไม่อาจตรวจสอบว่าคนผู้นี้เป็นใครมาจากใคร ได้แต่ถามออกไปว่าใช่ผ่านมาโดยไม่ตั้งใจ และไม่ใช่ศัตรู....

ชายผู้นั้นหันหน้าและเคลื่อนสายตามาช้าๆ ม่านตาสีม่วงมองตกบนร่างเขา ทันใดนั้น ฉุ่ยม่านชานรู้สึกถึงความอึดอัดที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน รูม่านตาของเขาหดลีบลง พลังหยกวารีลอบโคจรเต็มกำลังอย่างเงียบงัน หัวใจตื่นตระหนกถึงขีดสุด สายตา....ที่เพียงปราดมองมาธรรมดานั้น กลับน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ คนผู้นี้....

เป็นใครกันแน่!

“คิดไม่ถึงเลยว่าผู้คนที่นี่ไม่ได้อ่อนด้อยเหมือนเช่นตำนานว่าไว้” ชายผู้นั้นเปิดปาก น้ำเสียงแช่มช้าทุ้มต่ำ หากกลับสะเทือนไปทั้งสำนักจักรพรรดิใต้อย่างแปลกประหลาด แผ่กระจายไปทั่วทุกมุม ทุกโสตของผู้คนล้วนได้ยินชัดเจน รวมไปถึงเย่หวูเฉิน , ทงซิน และฉุ่ยหยุนเทียน ที่ฟังอย่างเงียบงัน

เย่หวูเฉินยกมือขึ้นมาเงียบๆ ปิดปากและจมูกของทงซินให้กลิ่นอายรั่วไหลออกมาน้อยที่สุด อีกมือหนึ่งยื่นไปทางม่านปราการและเสริมพลังในระดับสูงสุด ตอนนี้ไม่อาจให้มันค้นพบตัวทงซินได้ ไม่อย่างนั้น ทุกสิ่งจะไม่อาจหวนกลับได้อีก

ฉุ่ยหยุนเทียนกำลังจะเปิดปาก ทว่าทันใดนั้นเมื่อเห็นเหงื่อเย็นที่ผุดอยู่บนหน้าผากของเย่หวูเฉินก็ต้องตกใจ บุรุษผู้แสดงความสุขุมและกล้าหาญไร้ที่เปรียบเมื่อครู่ กลับถึงขนาดกังวลได้ถึงเพียงนี้ ฉับพลันนั้นเขาจึงไม่กล่าวคำอีก และระงับลมหายใจให้เบาลงโดยไม่รู้ตัว

ถ้อยคำสั้นๆของชายผู้นั้นกลับไม่มีใครเข้าใจ สำหรับเขา ชาวทวีปเทียนเฉินเป็นตัวตนที่อ่อนแอและต่ำต้อย เวลานี้เมื่อเขามาถึงทวีปเทียนเฉินเป็นครั้งแรก กลับต้องแปลกใจว่าผู้คนผิดไปจากที่จินตนาการไว้ ที่สามารถย่อยยับลงได้ด้วยการโจมตีเดียว.... เขาไม่รู้ว่าที่แห่งนี้คือสำนักจักรพรรดิใต้แหล่งรวมตัวของยอดฝีมือ หากจะกล่าวว่าที่แห่งนี้แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเทียนเฉินก็คงไม่ผิดนัก

และคนผู้นี้ คือหนึ่งในแปดเทพขุนพลแห่งทวีปเทวะ ขุนพลแดนใต้ เจวี๋ยเทียน!

“ไม่ทราบว่าท่านผู้สูงส่งเป็นใคร?” ฉุ่ยม่านชานระงับอาการขณะกล่าว ถ้อยคำสั้นๆของเจวี๋ยเทียนทำให้ในใจของเขาปั่นป่วนไม่อาจสงบ จากถ้อยคำประหลาดนั้น เห็นได้ชัดว่ามันมาที่นี่โดยเจตนา มิใช่เพียงบังเอิญผ่านมา

“ส่งตัวองค์หญิงเฮยเย่ออกมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า.... ข้ารู้ว่านางอยู่ที่นี่” เจวี๋ยเทียนกล่าวคำช้าๆอย่างไร้อารมณ์ ทุกถ้อยคำดุจค้อนหนักฟาดเข้าใส่กลางใจและในหูของผู้คน แก้วหูจึงสะเทือนและเลือนลั่นไปถึงหัวใจ

เย่หวูเฉินและทงซินสีหน้าเปลี่ยนกลับกลาย กริชเทพพิโรธในแขนเสื้อทงซินขยับเคลื่อนช้าๆ ทว่าเย่หวูเฉินเอามือจับห้ามนางไว้และสั่นศีรษะอย่างอ่อนโยน เขาห่วงว่าการกระเพื่อมพลังของกริชเทพพิโรธจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามตรวจพบได้

“องค์หญิงเฮยเย่?” ฉุ่ยม่านชานมุ่นคิ้วตอบ “สำนักจักรพรรดิใต้ของข้ามีแต่คนแซ่ฉุ่ย ไม่มีองค์หญิงเฮยเย่ที่ท่านตามหาอยู่ ท่านโปรดไปตามหาที่อื่นเถอะ”

“เฮอะ!” เจวี๋ยเทียนเมื่อได้ยินคำก็แค่นเสียงเย็นออกจมูก ใบหน้าที่สงบเงียบยังทะมึนลง ฉุ่ยม่านชานที่ลอยร่างอยู่ต้องสั่นสะท้าน ร่างไหวโงนเงนกลางอากาศเกือบเสียการทรงตัว เจวี๋ยเทียนกล่าวเสียงทะมึน “เจ้าพวกมนุษย์ต่ำต้อย กลับกล้าหลอกลวง ก็ได้.... งั้นเจ้าก็จงรับโทสะของข้า”

เขามีเวลาจำกัดอย่างมากในทวีปเทียนเฉิน ดังนั้นจึงไม่อยากรอช้าแม้ชั่ววินาทีเดียว สำหรับเขาแล้ว ชีวิตของเหล่ามนุษย์ในทวีปเทียนเฉินล้วนต่ำต้อยไร้ราคา สามารถสังหารได้ตามอำเภอใจ ไร้ความกดดันและสิ่งใดให้หวั่นกลัว เขาติดตามกลิ่นอายมาทางนี้ด้วยความเร็วสูงสุด เชื่อมั่นว่าเป็นองค์หญิงเฮยเย่ที่เขากำลังตามหา ในเมื่อพวกมันไม่ยอมจำนนด้วยคำพูด เช่นนั้นก็ต้องใช้กำลัง บังคับให้พวกมันกล่าวออกมาด้วยชีวิต

หากในขณะเดียวกัน ช่วงเวลานี้คือสิ่งที่เย่หวูเฉินรอคอยมาตลอด.... ตั้งแต่ที่เขารู้ว่าสามปีก่อนมีคนมาตามหาทงซิน เขาก็รู้ว่าต้องมีศัตรูน่าหวาดหวั่นปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง เช่นเดียวกับลู่เทียนในอดีต มนุษย์เป็นได้เพียงผู้ต่ำต้อยต่อหน้าเทพ เทพคือสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจต่อกร เย่หวูเฉินไม่กล้าคาดหวังว่าสามปีต่อมาจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นอีกครั้ง ดังนั้น เพื่อหนิงเสวี่ยและทงซิน เขาจึงใช้ ‘เทพ’ ที่ไม่อาจต่อกรเป็นเครื่องมือทำลายสำนักจักรพรรดิใต้ และใช้สำนักจักรพรรดิใต้เป็นเครื่องมือบั่นทอนพลังของเทพ เขาเชื่อว่าสำนักจักรพรรดิใต้ที่รับมือทงซินในวันนั้นยังไม่ได้เปิดเผยพลังสูงสุดออกมา เนื่องจากตอนนั้นสี่สุดยอดร่วมมือกันต่อกรกับสตรีเทพพิโรธ คนอื่นในสำนักไม่ได้เข้าร่วมด้วยลังเล และเมื่อผลลัพธ์ออกมาเป็นหายนะ พวกเขาจะใช้ไพ่ตายก็สายไปแล้ว

เวลาหลายพันปี ไหนเลยพวกเขาจะไร้ไพ่ตายใบสุดท้าย ทงซินไม่ได้บีบคั้นพวกเขาจนต้องใช้มัน.... หากนี่คือเทพแท้จริง! ต่อหน้าศัตรูปานนี้ ตราบใดที่สำนักจักรพรรดิใต้ไม่ใช่ตัวโง่เง่า มันย่อมสมควรรู้ว่าหากไม่ใช้ทุกสิ่งที่มี รากฐานของสำนักจักรพรรดิใต้ย่อมถูกทำลายสิ้นในพริบตา.... ศัตรูผู้นี้น่ากลัวเกินไป น่ากลัวเกินกว่าจะจินตนาการได้ หากต่อสู้กัน เมื่อใดที่เพลี้ยงพล้ำย่อมย่อยยับเกินคำว่าไม่อาจไถ่ถอน

นี่คือแผน ‘ชักนำหายนะสู่ผู้อื่น’ ที่เย่หวูเฉินวางไว้เมื่อหนึ่งปีก่อน ทำลายสำนักจักรพรรดิใต้โดยใช้เทพแท้จริง และตัดกำลังเทพแท้จริงโดยใช้สำนักจักรพรรดิใต้ แผนการสมบูรณ์แบบที่เขาวางไว้นับแต่เริ่มต้น ที่เพียงไม่ทราบว่าผลลัพธ์จะสมบูรณ์แบบตามที่คาดหวังไว้หรือไม่.... สิ่งหนึ่งที่มักเกิดขึ้นก็คือ เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอำนาจที่แท้จริง ทุกการคำนวณมักไร้พลังและไร้ผลอยู่บ่อยครั้ง

“ช้าก่อน!” ฉุ่ยม่านชานส่งเสียงตะโกนหยุดการเคลื่อนไหวของเจวี๋ยเทียน บุคคลตรงหน้าน่ากลัวเกินไป ก่อนหน้านี้เมื่อเผชิญกับสตรีเทพพิโรธ เขาตื่นตะลึงแต่ไม่ได้ตื่นกลัว ทว่าต่อหน้าคนผู้นี้ เขาหวาดกลัวและหวั่นใจ เวลานี้ สิ่งที่เขาคิดอยู่ไม่ใช่การหาหนทางเอาชนะ แต่เป็นการหลีกเลี่ยงการต่อสู้.... หากไม่ใช่เพราะฝ่ายตรงข้ามมีพลังสูงส่งจนเขาไม่อาจต้านทาน ไหนเลยอาวุโสปฐพีผู้เกรียงไกรอย่างเขาจะอ่อนข้อให้ถึงเพียงนี้

“ส่งองค์หญิงเฮยเย่ออกมา ไม่อย่างนั้น ตาย” เจวี๋ยเทียนส่งเสียงทุ้มลึก ยกหอกม่วงในมือขึ้นช้าๆ ชี้ปลายหอกรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงสีม่วงอันน่ากลัว แม้ว่ากลิ่นอายจะเบาบางเป็นอย่างยิ่ง อ่อนจางจนไม่อาจระบุตำแหน่งที่แน่นอน แต่เขามั่นใจว่ากลิ่นอายขององค์หญิงเฮยเย่ย่อมไม่อ่อนแอถึงขนาดที่เขาไม่อาจระบุหาตำแหน่ง ทว่า....เห็นได้ชัดว่านางถูกม่านพลังบางอย่างกางกั้นไว้ จิตใต้สำนึกของเขาตัดสินว่าคนเหล่านี้กำลังปิดบัง กำลังหลอกลวงต่อหน้าเขา ดังนั้นเขาจึงต้องทำลาย.... ทำลายม่านพลังที่กางกั้นจากสายตา และค้นหาบุคคลที่เขาตามหา

ความตายของลู่เทียนเมื่อสามปีก่อน สร้างความตกตะลึงไปทั้งทวีปเทวะ กลายเป็นความอับอายใหญ่หลวงที่สุดของเทพขุนพลทั้งแปดผู้เกรียงไกร นอกจากเทพจักรพรรดิที่ไม่ทราบว่าแข็งแกร่งเพียงใด และสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ว่าคนใดก็สามารถรับมือแปดเทพขุนพลที่ประสานพลังกันได้ นอกเหนือจากนี้แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมีพลังเหนือล้ำเกินพวกตนอีก เหล่าคนที่มีพลังพิเศษของ ‘เทพราชัน’ ก็มีพลังเสมอกับพวกตน  หากไม่ใช่เพราะกฎที่กำหนดว่าผู้จะมายังทวีปเทียนเฉินต้องมีพลังขอบเขตเหนือเทพหรือสูงกว่าเท่านั้น พวกตนคงไม่ลดเกียรติลงมาด้วยตัวเอง ทว่าหนึ่งในแปดเทพขุนพลกลับตกตายในทวีปเทียนเฉิน กลายเป็นความอับอายที่ไม่อาจรับได้ แปดเทพขุนพลตอนนี้ได้กลายเป็นเจ็ดเทพขุนพลไปแล้ว

หากองค์หญิงเฮยเย่และองค์หญิงไป่เย่ร่วมมือกัน ก็นับว่าเพียงพอสังหารลู่เทียนได้จริงๆ ทว่าชาวทวีปเทวะล้วนไม่คิดว่าจะเป็นกรณีนี้ เทพจักรพรรดิได้ค้นพบเมื่อนานมาแล้ว ว่าองค์หญิงเฮยเย่และองค์หญิงไป่เย่ต้องคำสาป สูญสิ้นความทรงจำทั้งหมด องค์หญิงไป่เย่ยังสูญสิ้นพลัง ดังนั้น องค์หญิงเฮยเย่เพียงลำพังคิดหวังเอาชนะลู่เทียนย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าว่าแต่จู่โจมสังหาร เหล่าเทวะต่างคิดว่าชาวทวีปเทียนเฉินจะต้องใช้เล่ห์กลช่วยกันทำลายลู่เทียนและฝังร่างไว้ในที่นี้ ดังนั้น เจวี๋ยเทียนที่ไม่คิดอภัยต่อชาวทวีปเทียนเฉิน ทั้งยังมีพลังเหนือล้ำห่างไกลจากเหล่ามนุษย์ เขาจึงตัดสินใจที่จะเข่นฆ่าผู้คน

“หากท่านบอกว่าองค์หญิงเฮยเย่อยู่ที่นี่จริงๆ.... เช่นนั้น แบบนี้ดีหรือไม่ ท่านบอกลักษณะขององค์หญิงเฮยเย่กับพวกเรา แล้วพวกเราจะช่วยท่านตามหา ท่านเห็นว่าอย่างไร?” เผชิญหน้ากับแรงกดดันที่ทานทนได้ยาก ฉุ่ยม่านชานควบคุมลมปราณอย่างยากลำบาก ขณะกล่าวกับเจวี๋ยเทียน

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า....” เจวี๋ยเทียนเมื่อได้ยินคำก็หัวเราะลั่น ฉันพลันนั้น มวลเมฆที่อยู่เหนือขึ้นไปก็แยกออกจากกันด้วยเสียงหัวเราะ ผู้คนที่อยู่ใกล้สุดจากเบื้องล่าง ต่างรู้สึกถึงเสียงเลือนลั่นในโสต ดั่งศีรษะจะระเบิดออก ระหว่างนั้น หอกสายฟ้าในมือเจวี๋ยเทียนก็เริ่มขยับเคลื่อน เมื่อหอกเหวี่ยงวาดรอบร่างอย่างรวดเร็ว เหนือผิวกายก็เริ่มปรากฎสายฟ้าขึ้น “พวกมนุษย์เจ้าเล่ห์ การหลวงลวงโง่เขลาของพวกเจ้า มีแต่จะทำให้ข้าโกรธขึ้นเท่านั้น!”

“อาวุโสปฐพี อย่าได้เปลืองวาจากับมันอีกเลย พวกเราสำนักจักรพรรดิใต้ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด เหตุใดต้องอ่อนข้อให้มันด้วย” ฉุ่ยเสวียนฟงตะโกนคำและบินขึ้นฟ้า หยุดร่างอยู่ถัดจากฉุ่ยม่านชาน เขากล่าวด้วยเสียงต่ำ จับจ้องสายตาไปที่เจวี๋ยเทียน

“ถูกต้อง สำนักจักรพรรดิใต้ของพวกเราไม่หวั่นเกรงผู้ใด.... แต่เจ้าดูไม่ออกหรือ?.... ว่าคนผู้นี้คล้ายจะเป็นเทพ เทพที่มาจากทวีปเทวะอันห่างไกล” ฉุ่ยม่านชานพูดคำบางเบาที่แทบจะมีเพียงตัวเองเท่านั้นที่ได้ยิน คำกล่าวของเจวี๋ยเทียนที่ว่า “มนุษย์ต่ำต้อย” หรือ “พวกมนุษย์เจ้าเล่ห์”.... สื่อความหมายอย่างชัดเจนว่ามันไม่ใช่มนุษย์ มันคือเทพในตำนาน คือเทพจากทวีปเทวะ ทว่าการคาดเดาน่าหวาดหวั่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เพราะนอกจากเทพแท้จริงแล้ว ไหนเลยมนุษย์จะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ หากมันไม่ใช่เทพจากทวีปเทวะ งั้นเหตุใดจึงมีพลังเหนือมนุษย์ได้ถึงเพียงนี้?



<<<PREV    .    NEXT>>>