วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 357

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 357 ข้าอยากให้ท่านเป็นพ่อข้า!

“พลังของพวกเราทั้งสามย้อนกลับไปสู่วัยเยาว์ แต่ว่า ข้าไม่ต้องกังวลเรื่องที่พวกนางจะหาข้าอีก.... ฮี่ ฮี่ คนของทวีปเทวะไม่อาจมายังทวีปเทียนเฉินได้ตามอำเภอใจ ไม่อย่างนั้น จะต้องถูกคำสาปที่ร้ายแรงมาก ทวีปเทวะจะต้องช่วยเหลือเมื่อยามที่ทวีปเทียนเฉินถูกปีศาจรุกราน เป้าหมายของพวกนางคือมาเพื่อกำจัดข้า ดังนั้นพวกนางจึงไม่ถูกคำสาป ทว่าหลังการบิดผันของเวลา พวกนางย้อนกลับสู่วัยเด็ก จึงเหมือนกลายเป็นอีกสองบุคคล ดังนั้นจึงไม่อาจต่อต้านคำสาปได้ดังเดิม.... ฮี่ อย่างที่ข้าคิดไว้ พวกนางถูกคำสาปของจักรพรรดิเหนือและจักรพรรดิใต้ ลืมสิ้นถึงอดีต โดยเฉพาะเทพธิดาปีกขาวที่ถูกยับยั้งไว้แม้กระทั่งพลัง.... พี่ชาย ท่านเป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม ท่านย่อมรู้แต่แรกแล้วว่าพวกนางคือเทพธิดาปีกขาวและเทพธิดาปีกดำ”

เย่หวูเฉิน “.....”

“แต่ท่านย่อมไม่รู้แน่ ว่าเทพธิดาปีกขาวที่กลายเป็นตัวเล็กๆนั้น สองแผลเป็นบนใบหน้าของนางทำหน้าที่ปิดกั้นพลังและสูบกลืนชีวิตนางช้าๆ หากลบสองรอยแผลเป็นนั้นออก พลังของนางจะฟื้นฟูกลับมา แต่หากไม่ถอนคำสาปนี้ออกไป.... นางจะไม่มีวันฟื้นฟูพลังแห่งแสงและชีวิตกลับคืนได้อีก กระทั่งรากฐานชีวิตของนางก็ยังค่อยๆเสื่อมสลายไป.... พี่ชาย ตอนนี้นางกำลังหลงใหลการหลับนอนมากใช่หรือไม่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่”

เย่หวูเฉิน “!!”

เสวี่ยเอ๋อร์.....

หัวใจของเย่หวูเฉินปั่นป่วน เมื่อใดที่เป็นเรื่องของหนิงเสวี่ย เขามักไม่อาจรักษาความสงบใจได้ เขาฝืนดึงสติกลับคืนจากถ้อยคำของเสี่ยวโม่ที่ดังสะท้อนในใจ คำสาปแห่งมิติและเวลา.... นี่คือสาเหตุที่ร่างกายของพวกนางหดเล็กลง รวมถึงอายุที่ถอยกลับ หากไม่นับเรื่องความทรงจำ ร่างกายและพลังของพวกนางไม่เพียงจะย้อนสู่วัยเยาว์เท่านั้น จิตใจของพวกนางยังย้อนวัยด้วย ทั้งหนิงเสวี่ยและทงซิน รวมถึงเสี่ยวโม่ที่อยู่ตรงหน้า ต่างเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’ โดยไม่รู้สึกอึดอัดใจ ไร้ความขัดเขินแม้แต่น้อย ทั้งที่พวกนางมีอายุมากกว่าเขานับร้อยปี

“ขอบคุณที่บอกข้าเรื่องนี้” เย่หวูเฉินมองเสี่ยวโม่อย่างอ่อนโยนขณะกล่าว คำสาปของหนิงเสวี่ยคือแผลเป็นประหลาดบนใบหน้า นางสูญเสียความทรงจำทั้งหมด จากนั้นหลับไหลเป็นเวลากว่าร้อยปี ส่วนทงซินสูญเสียความทรงจำ นางหลับไหลและตื่นขึ้นก่อนยี่สิบปี ตอนนั้นหัวใจนางสับสนและกลายเป็นกระหายเลือด

“พี่ชายไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เพราะอีกเดี๋ยวท่านก็จะตายแล้ว”

เย่หวูเฉินยิ้มบางอย่างไม่ใส่ใจ เขาก้าวเข้ามาเล็กน้อย หยุดตรงหน้านางและโค้งกายลง มองตานางในระยะใกล้ “น้องหญิง เหตุใดเจ้าถึงกลัวว่าคนอื่นจะรู้ความลับเจ้า?”

“เพราะเมื่อรู้ความลับข้าของแล้ว หากข้าไม่กำจัดท่าน ท่านย่อมพาคนเก่งกาจกลับมาเพื่อจำกัดข้า” เสี่ยวโม่เงยหน้าน้อยๆขึ้นมองตากลับ

“หืม? ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้นล่ะ? ทำไมข้าต้องพาคนอื่นมากำจัดเจ้าด้วย?” เย่หวูเฉินยิ้มถามอย่างสงสัย

รอยยิ้มของเย่หวูเฉินนุ่มนวลเป็นธรรมชาติและน่าดึงดูด ตอนนั้นหนิงเสวี่ยก็พ่ายแพ้เพราะรอยยิ้มนี้ นางยอมให้เขาจูงมือโดยไม่ลังเลและกลายเป็นน้องสาวของเขา จากแววตาของเขา เสี่ยวโม่พลันรู้สึกถึงบางอย่างสัมผัสใจ นัยน์ตาของนางคล้ายพร่ามัวเล็กน้อย ทว่าทันใดก็ส่งเสียงเย็น “เพราะข้าเป็นปีศาจ มนุษย์ทุกคนหวาดกลัวและรังเกียจปีศาจ ในสายตาพวกท่าน พวกเราคือสิ่งเลวร้าย และจะต้องกำจัดทิ้ง”

มนุษย์และปีศาจเกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกัน ไม่ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจ ประโยคนี้ก็เป็นที่ยอมรับมานานแล้ว มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ยุคโกลาหลพังทลาย หลังจากทวีปเทียนเฉินก่อกำเนิดขึ้น ปีศาจก็เริ่มรุกรานทวีปเทียนเฉิน ดังนั้น ในบันทึกของมนุษย์จึงกล่าวถึงปีศาจว่าน่ากลัวและโหดเหี้ยม ปีศาจได้กลายเป็นศัตรูตามธรรมชาติของมนุษย์ ปีศาจเคยแผ่ผืนความกลัวเข้าปกคลุม เสี่ยวโม่อยู่ในทวีปเทียนเฉินมากว่าร้อยปี นางจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าปีศาจต่อมนุษย์ได้อย่างไร

เย่หวูเฉินรู้อยู่แล้วว่านางจะพูดแบบนี้ เขากล่าวคล้ายขบขัน “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าปีศาจเลวร้ายถึงขั้นต้องฆ่าแกง? เสี่ยวโม่ เจ้าคิดว่าตัวเองเลวร้ายมากเลยหรือ?”

“ถูกต้อง ข้าเลวร้ายมากๆ ข้าคือคนที่นำทัพปีศาจมาที่นี่ และเข่นฆ่าผู้คนไปจำนวนมาก....”

“ดังนั้น เจ้าเลยคิดว่าตัวเองเลวร้ายมาก?” เย่หวูเฉินเอ่ยแทรก จากนั้นส่ายศีรษะเล็กน้อย “เสี่ยวโม่ เจ้าผิดแล้ว ปีศาจเป็นเพียงชื่อเรียกของเผ่าพันธุ์ เช่นเดียวกับ ‘มนุษย์’ และ ‘เทพ’ เพียงชื่อเรียกจะใช้ตัดสินดีชั่ว และถูกผิดได้อย่างไร? มนุษย์หวาดกลัวปีศาจเพราะครั้งหนึ่งปีศาจมาที่นี่และแสดงด้านไม่ดีออกมา ทำให้มนุษย์คิดว่าปีศาจทุกตนจะต้องเลวร้าย ทว่าไม่ใช่ปีศาจทุกตนที่ไม่ดี และไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่คิดว่าปีศาจนั้นแย่ กระทั่งในหมู่มนุษย์ ยังมีมากมายที่น่ากลัวกว่าปีศาจ เสี่ยวโม่ เจ้ามาจากเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ข้าไม่รู้จัก แต่เจ้าย่อมรู้ทุกอย่าง ทั้งคนที่เจ้าชอบและไม่ชอบ ทั้งพ่อแม่และญาติของเจ้า พวกเขาเลวร้ายจริงๆหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ เสี่ยวโม่ เจ้าเป็นปีศาจส่วนข้าเป็นมนุษย์ เจ้าลองดูที่มือเท้าของพวกเรา ดูที่ร่างกาย มีตรงไหนบ้างที่แตกต่าง? นอกจากชื่อเรียกที่ต่างกัน อย่างอื่นจะต่างกันจริงๆหรือ?”

เย่หวูเฉินกางมือสองข้างไปตรงหน้า ยิ้มมองนางที่กำลังสับสน “เจ้าบอกว่าเมื่อร้อยปีก่อน เจ้าสังหารคนไปจำนวนมาก.... แต่บางครั้ง การสังหารอาจไม่ได้ชั่วร้าย การสังหารที่ชั่วร้ายคือเข่นฆ่าอย่างไร้เหตุผล หรือสนองตัณหาของตัวเอง เจ้าฆ่าผู้คนเพื่อช่วยพ่อแม่ตามหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ และข้ายังรู้ว่าเจ้าไม่ได้ฆ่าใครด้วยมือตัวเอง แต่เป็นฝีมือของทัพปีศาจที่เจ้านำมาใช่หรือไม่? ตลอดหลายปีที่เจ้าหาคนมากมายมาเป็น ‘พ่อแม่’ และสังหารพวกเขา....ก็เพราะเพียงความซุกซน , เอาแต่ใจ , และความคับข้องของเจ้า ไม่ใช่ตัวเจ้าที่ผิด แต่เป็นความไม่ยุติธรรมที่ได้รับจากพ่อแม่ เสี่ยวโม่ เจ้าจะเป็นคนเลวร้ายได้อย่างไร? เหตุใดข้าต้องพาคนมาทำร้ายเจ้าด้วย?”

เย่หวูเฉินกล่าวอย่างจริงจัง ทุกประโยคผ่านหูตรงสู่ใจของเสี่ยวโม่ นางขยับคิ้วเล็กน้อย มองดูใบหน้าบุรุษที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ นางยิ้มยิงฟันและกล่าว “พี่ชาย ข้ารู้ว่าท่านชื่นชอบการหลอกลวงผู้คนมากที่สุด ท่านมักหลอกคนทั้งหลายด้วยวิธีนี้ ยิ่งกว่านั้น ข้าเองไม่ใช่คนโง่ ยังไงซะ....ข้าก็จะฆ่าท่าน”

สีหน้านางทะมึน ทว่าขณะที่คำว่า ‘ฆ่า’ เอ่ยออกปาก น้ำเสียงกลับดูคล้ายสั่นไหว หัวใจที่ประสบเรื่องนี้ฉับพลันจึงเกิดความสับสน

เย่หวูเฉินขยับเข้าไปอีก มองตานางเพื่อให้นางได้เห็นตาตนเองได้ชัด “ทำไมเสี่ยวโม่ถึงคิดว่าข้าจะหลอกเจ้าล่ะ.... เอาแบบนี้ดีมั้ย ให้ข้ากับเจ้าเป็นเพื่อนกัน อย่างนี้ ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาฆ่าเจ้า ทั้งจะช่วยเจ้าปกป้องความลับ ถ้าหากมีใครรังแกเจ้า ข้าจะช่วยเจ้าและปกป้องเจ้าเอง”

เขายื่นมือขวาออกมา กางออกตรงหน้าของเสี่ยวโม่ เหนือฝ่ามือมีลูกอมเม็ดเล็กๆห่อไว้อยู่ เสี่ยวโม่ที่กำลังจะพูดก็ชะงักค้างทันที นางจำได้ดีว่าในวันนั้น เป็นนางที่มอบลูกอมเม็ดนี้ให้กับเขา

“ลูกอมเม็ดนี้คือสิ่งที่เจ้ามอบให้ข้าไว้ ข้าไม่ปรารถนาจะกินมัน และยิ่งไม่ปรารถนาจะโยนมันทิ้ง เจ้าอยากให้ลูกอมเม็ดนี้เป็นสิ่งสื่อความเป็นเพื่อนกับข้าหรือไม่?”

ฟิ้วว.......

โลกสีขาวสลายไปราวกับถูกลมพัด ระหว่างช่วงเวลานี้ ในที่สุดเซียงเซียงก็ถึงขีดจำกัด มิติวิญญาณที่นางสร้างขึ้นพังทลายในที่สุด รอบกายกลับมาเป็นพื้นที่กว้างไร้ผู้คน ห่างออกไปไม่ไกลนัก เป็นบ้านที่พังลงเพราะถูกพลังความมืด

วิญญาณกลับสู่ร่าง สติของเย่หวูเฉินคืนกลับในพริบตา ขณะที่เขาได้สติคืนมา ก็สัมผัสได้ถึงสองสายตาของเสี่ยวโม่ นางกำลังมองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อนสุดขีด เป็นสีหน้าแห่งความลังเล , คาดหวัง , และสับสนอย่างล้ำลึก

ออกมาจากโลกวิญญาณแล้ว แต่นางยังไม่ฆ่าเขา เย่หวูเฉินรู้ว่าตนเองทำสำเร็จ ตราบใดที่นางลังเล นั่นคือสำเร็จแล้ว เพราะความโดดเดี่ยวเดียวดายจากคนอื่น ไม่มีวันได้พบญาติพี่น้องอีก นางจึงเกลียดชังและมองหา ‘พ่อแม่’ ใหม่ไม่หยุดหย่อน เพราะนางโหยหาญาติพี่น้องที่สูญเสียไปนานเกินไป จึงปรารถนาถึงความผูกพัน นางคือปีศาจที่ถูกผลักไสตลอดกาล เป็นปีศาจที่ชาวทวีปเทียนเฉินหวาดกลัวและรังเกียจ นางจึงโดดเดี่ยวมานานเกินไป ขณะเดียวกัน นางต้องซ่อนตัวไว้ในความเดียวดาย ไม่อาจให้ผู้ใดรับรู้ถึงการมีอยู่ ทั้งที่นางอยากมีพวกพ้อง อยากมีที่พึ่งพิงเหลือเกิน

ถ้อยคำของเย่หวูเฉินสั่นคลอนหัวใจของนาง ภายใต้น้ำเสียงและแววตาเขา บางสิ่งที่สูญเสียและโหยหามาตลอดกำลังก่อตัวขึ้นเงียบงัน ความอบอุ่นแผ่คลุมหัวใจนาง อย่างไรเสีย ตอนนี้นางก็เป็นเพียงเด็กสาวที่มีหัวใจเยาว์วัย ย่อมปรารถนาที่พึ่งพิงจากจิตใต้สำนึก ทว่านางหวาดกลัวอย่างล้ำลึก กลัวว่าเย่หวูเฉินจะหลอกลวงนางเพื่อเอาตัวรอด เพราะความสัมพันธ์ของเขากับหนิงเสวี่ยและทงซิน นางจึงได้ลอบจับตาดูเย่หวูเฉินและได้ยินเรื่องราวของเขามากมาย เขาเป็นคนที่เจ้าเล่ห์อย่างมาก เป็นประเภทที่พร้อมหลอกลวงผู้คนอย่างไร้ยางอาย

เย่หวูเฉินรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่ เขาหยิบลูกอมขึ้นมาแล้วแกะห่อกระดาษออก ยิ้มบางและหักลูกอมออกเป็นสองส่วนเท่ากัน วางครึ่งหนึ่งไว้บนมือตัวเอง จากนั้นจับมือเล็กๆของนางขึ้นมาแล้ววางอีกครึ่งลงบนนั้น “ครึ่งนี้เป็นของเจ้า ส่วนอีกครึ่งเป็นของข้า เมื่อทานลูกอมเม็ดเดียวกันย่อมกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หากเสี่ยวโม่อยากเป็นเพื่อนกับข้า ก็ทานลูกอมครึ่งเม็ดนี้”

เสี่ยวโม่มองฝ่ามือตัวเองอย่างเงียบงัน จากนั้นเงยหน้ามองเย่หวูเฉิน ในที่สุดก็ดึงมือกลับมา ไม่ทราบว่าระหว่างที่เงียบงันนั้นนางกำลังคิดสิ่งใด

“ถ้าหากเสี่ยวโม่ไม่เชื่อข้า เช่นนั้นจงมองตา เจ้ารู้ว่าดวงตาไม่อาจโกหกใครได้” เย่หวูเฉินมองนางอย่างอ่อนโยน

สองคู่ดวงตามองสบกัน ดวงตาเล็กๆของเสี่ยวโม่จับจ้องที่ดวงตาของเย่หวูเฉิน นิ่งงันราวกับจมจ่อมไปกับบางสิ่ง ขณะที่มองตา นางก็ยกลูกอมครึ่งเม็ดขึ้นมาช้าๆ และเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าฆ่าคนมามากมาย ท่านไม่รังเกียจข้าจริงๆเหรอ?”

“ตราบใดที่เสี่ยวโม่ไม่ได้มีหัวใจดั่งคนชั่วช้า ไม่มีความคิดอย่างคนร้ายกาจ ย่อมไม่มีผู้ใดรังเกียจเจ้า เจ้าเห็นทงซินมั้ย.... ครั้งหนึ่งนางสังหารผู้คนมามากกว่าเจ้าไม่รู้กี่เท่า แต่ตอนนี้นางเป็นน้องสาวที่ดีที่สุดของข้า เสวี่ยเอ๋อร์ชอบนาง , พี่สาวของข้าชอบนาง , พ่อแม่ข้าก็ชอบนาง.... เพราะแม้นางจะเคยฆ่าคนมาจำนวนมาก แต่หัวใจนางไม่ได้ชั่วร้าย เสี่ยวโม่ แม้ว่าเจ้าฆ่าคนเช่นกัน ทั้งยังสังหารมังกรเพลิงฟ้า แต่หัวใจเจ้าบริสุทธิ์ไม่ต่างจากแก้วผลึก ด้วยตัวเจ้าถึงปานนี้ ทุกคนจะต้องชอบเจ้า เพียงลืมไปเสียว่าตัวเองเป็นปีศาจ คิดว่าตัวเองเป็นคนผู้หนึ่ง เช่นเดียวกับที่เสวี่ยเอ๋อร์และทงซินลืมว่าตัวเองเป็นชาวเทวะ”

เสี่ยวโม่เปิดริมฝีปากบางเล็กน้อย คล้ายกับมีประกายความอบอุ่นแผ่ในแววตานาง นางยิ้มกล่าวอย่างอ่อนหวาน “พี่ชาย ท่านเก่งกาจจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่คนจำนวนมากถูกท่านหลอก.... อย่างเช่นตอนนี้ ถึงแม้ข้าจะรู้ตัวว่าอาจถูกหลอก แต่ข้าก็ยังอยากที่จะเชื่อท่าน....” นางหยิบลูกอมขึ้นมาและวางใส่ปาก กัดมันด้วยฟันตน จากนั้นหยิบอีกครึ่งบนมือเย่หวูเฉินและยื่นไปที่ปากเขา “ข้าไม่อยากให้ท่านเป็นเพื่อนข้า.... แต่ว่า ข้าอยากให้ท่านเป็นพ่อข้า!”

“.......” เย่หวูเฉินชะงักงันเหมือนก้อนหิน ราวกับถูกสายฟ้าจากถ้อยคำนั้น



<<<PREV    .    NEXT>>>