วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 359

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 359 สงสาร

ปิงเอ๋อร์เดินมาที่เล่งหยาแล้วนั่งลง มองสีหน้าของเขาอย่างสนใจ “เฮ้ ตอไม้ใหญ่ ดูเหมือนเจ้าจะทำสีหน้าเย็นชาน่ากลัวอยู่ตลอด ปกติเจ้าก็เป็นแบบนี้เหรอ? อยู่กับคนอื่นเป็นแบบนี้หรือเปล่า? อืม.... เจ้านี่นิสัยแปลกจริงๆ สาเหตุคืออะไร? แล้วทำไมเย่หวูเฉินถึงพาเจ้ามาด้วย? เจ้าเป็นใครกัน? โอ้.... พวกเรามาคุยเรื่องของเจ้ากันดีมั้ย? ตอนนี้ข้าอยากรู้มาก”

นางถามต่อเนื่องเป็นชุดๆโดยปล่อยให้เล่งหยาตอบ เห็นได้ชัดว่านางไม่คาดหวังว่าเขาจะตอบ ทว่าเมื่อถามถึงประโยคสุดท้าย นางก็ขยับปรับท่านั่ง วางคางลงบนมือทั้งสอง กระพริบตามอง รอฟังเขาตอบอย่างตั้งอกตั้งใจ

คำตอบของเล่งหยามีเพียงความเงียบงัน

“เฮอะ ตอไม้ก็คือตอไม้.... งั้นเอางี้ก็ได้ ข้าจะบอกอดีตของข้าก่อน แล้วเจ้าค่อยบอกอดีตของเจ้าทีหลัง พวกเรามาแลกเปลี่ยนกัน แบบนี้จะได้ไม่มีใครเสียเปรียบ ดีมั้ย?”

เล่งหยา “......”

ปิงเอ๋อร์ไม่รอให้เล่งหยาตอบและเริ่มเล่า “ตอนนี้ชื่อของข้าคือเหยียนปิงเอ๋อร์ จริงๆแล้วเดิมทีข้าไม่ได้ชื่อนี้ แต่ชื่อว่าฟางปิง ในอดีตพ่อของข้าเป็นพ่อค้าวาณิช แม่ของข้าเป็นคนที่อ่อนโยนและใจดีมาก ทุกวันนางจะช่วยท่านพ่อดูแลเรื่องต่างๆ เฮ้อ.... หลายสิ่งในตอนนั้นรางเลือนเกินไป ตอนนี้ข้าแทบจะจำหน้าตาของท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้แล้ว”

เล่งหยา “.......”

“หลังจากนั้น พ่อแม่ของข้าไปยั่วยุศัตรูเข้า และถูกไล่ล่าจนถึงประตู.... ฮ่าย เรื่องความแค้นนี่ช่างน่ารำคาญจริงๆ ทำให้ข้ากับคุณหนูต้องมีสภาพแบบเดียวกัน.... พ่อแม่ของข้าถูกฆ่าตาย ข้าจึงหนีออกจากบ้าน ข้าหนีไปเรื่อยๆจนไกลแสนไกลจากบ้านตัวเอง ในตอนนั้น เพราะข้าอับอายที่จะขอทาน ดังนั้นจึงเก็บอาหารที่คนอื่นกินเหลือทิ้งเพื่อประทังชีวิต ข้าอยู่แบบนั้นทุกวันเป็นเวลาสองเดือน.... เฮอะ อาหารที่ข้ากินในตอนนั้น เลวร้ายกว่าที่เจ้ากินไปมากนัก” ปิงเอ๋อร์บุ้ยปากเป็ด แค่นเสียงบางขณะกล่าว

สายตาของเล่งหยากลายเป็นเชื่องช้า มองยังปิงเอ๋อร์ นางเล่าอย่างปลอดโปร่งและเป็นธรรมชาติ ราวกับไม่ได้เล่าถึงเรื่องอดีตอันขมขื่นของตัวเอง แต่เป็นเรื่องราวของคนอื่น ไร้ความโศกเศร้า ไร้ความเกลียดชัง ไร้ความเจ็บปวด.... ทว่าในใจของเล่งหยา กลับมองเห็นภาพของเด็กสาวที่สูญเสียพ่อแม่ในค่ำคืนน่าสลดได้อย่างชัดเจน ครอบครัวต้องแตกเป็นเสี่ยง กลายเป็นเด็กกำพร้า ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดอย่างเดียวดาย ในใจของเล่งหยาพลันรู้สึกเจ็บปวดอย่างเสียดแทง

“จากนั้นในเย็นวันหนึ่ง ข้าซ่อนตัวอยู่ในกองหญ้าเล็กๆและหลับไป แล้วคุณหนูก็มาเจอข้า หลังจากที่นางรู้เรื่องราวของข้าแล้ว ก็ชวนข้าติดตามไปอยู่กับนาง ภายหลังข้าถึงรู้ว่าพ่อแม่ของคุณหนูก็ถูกคนอื่นสังหารเช่นกัน พวกเรามีชะตากรรมเดียวกัน.... ดังนั้น คุณหนูจึงพาข้ามาที่นี่ ผู้คนแห่งนี้ให้ข้าสาบานว่าจะไม่ออกไปที่ใด ดังนั้น ข้าจึงกลายเป็นหนึ่งในคนของสำนักจักรพรรดิเหนือ กลายเป็นสาวใช้ส่วนตัวของคุณหนูและน้องสาว ทุกวันจะติดตามอยู่ข้างกายนาง ในปีนั้นคุณหนูอายุเพียง 15 ปี ส่วนข้าอายุเพียง 10 ขวบ หลังจากนั้น ท่านย่ากุ้ยฮวาที่ชื่นชอบข้ามากก็เริ่มสอนวิชาเพลิงวิญญาณให้กับข้า ทว่าข้าเกิดมาเป็นคนหัวทึบ ฝีมือจึงพัฒนาได้เชื่องช้า แต่ว่าท่านย่ากุ้ยฮวาไม่มีทายาท นางจึงมอบพลังเพลิงวิญญาณให้กับข้าก่อนตาย.... ไม่อย่างนั้น ข้าคงไม่ใช่คนเก่งกาจเหมือนเช่นตอนนี้ ในอดีตย่อมไม่อาจช่วยเหลือคุณหนูให้หนีออกไปได้”

ปิงเอ๋อร์ไม่หยุดชะงักใดๆขณะเล่าถึงอดีต มันเป็นอดีตที่ห่างไกลจากนางมาก บาดแผลและความเจ็บปวดในตอนนั้นได้หายลบเลือน ถึงแม้จะนึกถึงมันก็ไม่รู้สึกสิ่งใด บางทีอาจเกี่ยวกับอุปนิสัยของนางที่รักอิสระไร้กังวล

“คุณหนูคือพี่สาวแสนดีที่สุดของข้า ความปรารถนาสูงสุดของข้าในตอนนี้ คือออกไปยังโลกภายนอกและตามหานาง ข้าอยากเห็นนางและลูกน้อยอยู่สุขสบาย อยากให้นางได้รู้ว่าข้ายังสบายดี เจ้าต้องไม่รู้แน่ ว่าคนกว่าครึ่งของสำนักจักรพรรดิเหนือไม่อาจออกไปข้างนอกได้ตลอดชีวิต เอาล่ะ ข้าเล่าของข้าแล้ว ตอนนี้ตาเจ้าบ้าง” ปิงเอ๋อร์ปรับน้ำเสียงและยิ้มมองที่เล่งหยา “บุรุษรับปากแล้วไม่คืนคำ ข้าเล่าไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงตาเจ้า”

“....พ่อแม่ข้าตายแล้ว” เล่งหยามองนางเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเอ่ยปากเพียงไม่กี่คำ

บรรยากาศอึมครึมทันที ปิงเอ๋อร์สีหน้าจางลง จากนั้นยิ้มกล่าว “ที่แท้พวกเราก็ไม่ต่างกัน ไร้พ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก.... หรือว่านิสัยของเจ้าเกิดขึ้นเพราะสาเหตุนี้?”

“......” อุปนิสัยดั้งเดิมของเล่งหยาซับซ้อนอย่างมาก ผลกระทบโดยตรงคือสภาพแวดล้อมอันย่ำแย่หลังจากเกิดมา เขาเกลียดชังซับซ้อนต่อฟงเฉาหยางผู้เป็นบิดา และอีกหนึ่งรากเหง้าที่สำคัญสุด ก็คือเนตรปีศาจสังหารโลหิตที่ส่งผลให้เขาเป็นเช่นนี้

ปิงเอ๋อร์ถือว่าการเงียบของเขาคือการยอมรับ นางตบบ่าเล่งหยาราวกับเป็นพี่สาวคนโต “เฮ้ ตอไม้ใหญ่ เจ้าไม่ใช่แบบนี้จริงๆใช่มั้ย? เจ้าเป็นแบบนี้ทำให้ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นเหมือนเด็ก เจ้าควรเอาอย่างข้าบ้าง พ่อแม่ของข้าตายลงกะทันหัน ข้ารักพวกท่านมาก ตอนแรกเลยเศร้าใจอย่างหนัก ทว่าตอนหลังข้าปล่อยใจให้อิสระทุกวัน ไม่คิดถึงเรื่องโศกเศร้าอีก อย่างตอนนี้ข้าถูกขังอยู่ที่นี่มาตั้งหลายปี แต่ข้าก็ยังมีความสุขอยู่ตลอด เวลาเบื่อก็ค่อยแกล้งเสี่ยวปากับเสี่ยวจิ่วที่น่าสงสารเล่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเวลาที่คนเราตายไป พวกเขาจะไปอยู่บนฟ้า คอยมองผู้คนจากที่นั่น ท่านพ่อท่านแม่จะต้องคอยมองข้าจากบนฟ้า ดังนั้น ข้าจะต้องผ่านทุกวันไปด้วยดี มีเพียงข้าต้องมีความสุขทุกวัน พ่อแม่ของข้าจึงจะมีความสุขได้.... เจ้าว่าใช่หรือไม่? เฮ้ พ่อแม่ของเจ้าก็เป็นแบบเดียวกัน หากเจ้าเอาแต่ทำหน้าเบื่อหน่าย พ่อแม่ที่ตายไปของเจ้าคงไม่อาจวางใจ เจ้าเอาอย่างข้าบ้างสิ”

เล่งหยา “.....”

“เจ้าคิดว่าข้าถูกรึเปล่าล่ะ? ถ้าเจ้าคิดว่าข้าถูกไหนลองยิ้มดูหน่อย ข้าอยากจะรู้นักว่าเวลาตอไม้ยิ้มจะเป็นแบบไหน” ปิงเอ๋อร์จ้องตาโต รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายเต็มใบหน้า ขณะมองเล่งหยาอย่างคาดหวัง

ในใจของเล่งหยากระเพื่อมไหวเบาบาง ภายใต้สายตาจับจ้องของนางนั้น เขาพบว่าตัวเองไม่อาจปฏิเสธคำขอของนางได้ นางไร้พ่อแม่เช่นเดียวกับเขา ยิ่งกว่านั้น ยังสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เด็ก สูญเสียบ้านของตัวเองพ่อแม่ถูกสังหาร เทียบกับเขาแล้วชีวิตนางน่าสงสารกว่ามาก

ความรู้สึกพิเศษที่ประสบปัญหาเดียวกัน ระยะห่างของพวกเขาเข้าใกล้กันเงียบๆ ภายใต้สายตาที่คาดหวังของนาง เขาดึงมุมปากตัวเองขึ้นเล็กน้อย พยายามอย่างยิ่งที่จะยิ้ม.... เขาลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ยิ้มคือเมื่อใด สรุปแล้วคือนานมากๆ และในระยะหลายปีที่ว่านั้น นี่คือครั้งแรกที่เขากำลังพยายามยิ้ม

“โอ้.... โอ้! พอแล้วๆ อย่าขยับ! อยู่แบบนี้แหละ” ทันใดนั้นปิงเอ๋อร์ก็ส่งเสียงตื่นเต้น เล่งหยาชะงักงัน คงสภาพใบหน้าที่คล้ายแข็งทื่อตามคำของปิงเอ๋อร์ นางยิ้มกว้างและมองเขา “เห็นรึเปล่า พอเจ้ายิ้มแล้วมีเสน่ห์มาก.... อู้ว! เจ้ายิ้มแล้วดูดีจริงๆ คราวหลังเจ้าต้องยิ้มให้มาก แต่ว่าเจ้าต้องระวังสาวๆมาหลงด้วยนะ”

หากตอนนี้เล่งหยาส่องกระจก เขาจะพบว่าหน้าตาของเขาแข็งทื่ออย่างน่าเกลียด ปิงเอ๋อร์ราวกับเห็นรอยยิ้มที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก นางชื่นชมเขาสารพัดอย่าง ขณะเดียวกันบางครั้งก็ลอบหัวเราะ

ต่อหน้านาง บางสิ่งในใจของเล่งหยากำลังละลายอย่างเงียบๆ และมีบางสิ่งที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน....

ม่านรัตติกาลมาเยือน พระจันทร์หม่นแสงบนฟากฟ้า ดาราระยิบพร่างพราว

ในดินแดนแห่งความตายอันเงียบสงัด ไร้เสียงปักษาหรือแมลงใด บางครั้งมีเพียงลมพัดผ่าน นำพาความเหน็บหนาวและหมอกมัวมาเยือน ดาราที่ระยับบนฟ้า ราวกับเลือนรางเพราะหมอกทมิฬ

ใต้ท้องฟ้ายามราตรี มีเงาร่างเล็กๆหนึ่งเข้าไปใกล้อีกเงาหนึ่ง เงาร่างเล็กๆนั้นคุกเข่าลง และยื่นมือออกเขย่าเขาเพื่อปลุกขึ้น

“ท่านพ่อ ข้าต้องนอนใกล้ๆตอนท่านหลับ.... ท่านพ่อต้องกอดส่งลูกสาวเข้านอน” เสี่ยวโม่แววตายังคงกระจ่างดุจดาราบนท้องฟ้าขณะที่มองเขา

“อื้ม ได้สิ” เย่หวูเฉินหัวเราะบาง โอบไหล่นางให้นอนอยู่ข้างกาย ห้องเล็กๆของเสี่ยวโม่พังไปแล้ว วันนี้พวกเขาเล่นตลอดวันจนเหน็ดเหนื่อย จึงนอนกลางแจ้งอยู่ตรงนั้น สำหรับพวกเขา คืนนี้ต่างจากทุกคืนอย่างมาก

“ฮี่...” เสี่ยวโม่หัวเราะอย่างมีความสุข ม้วนกายนอนอยู่ข้างเย่หวูเฉิน ตลอดหนึ่งวันที่ได้อยู่กับเขา ทำให้ความรู้สึกยิ่งแรงกล้า นางไม่ใจร้ายพอจะสังหารเขาอีกต่อไป

เย่หวูเฉินเหลือบมองสาวน้อยคราหนึ่ง จากนั้นหันศีรษะมองฟ้าไร้ขอบเขต เป็นเวลาเนิ่นนานที่ไม่อาจหลับตาลง

การเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวโม่ เขาสัมผัสถึงมันได้ นางเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ ทั้งยังราบลื่นกว่าที่คิดเอาไว้มาก

นางเป็นปีศาจ.... แต่เด็กหญิงผู้หนึ่งที่มีหัวใจเยาว์วัยจะเป็นปีศาจแท้จริงได้อย่างไร? ความเป็นปีศาจของนางนั้น เกิดจากสาเหตุที่ซับซ้อนเช่นเดียวกับทงซิน ในอดีตนางสังหารคนบริสุทธิ์จำนวนมาก ทว่าไม่ใช่เพราะนางมีความคิดชั่วร้าย แต่เป็นเพราะถูกคำสาปจึงสูญเสียจิตใจ นางเข่นฆ่าตามสัญชาตญาณ เมื่อ ‘สัญชาตญาณ’ นั้นถูกเขายับยั้งไว้ สิ่งที่นางแสดงออกต่อมาจึงบริสุทธิ์เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ จนกระทั่งไม่อาจเชื่อมโยงนางกับคำว่า ‘ชั่วร้าย’ ได้อีก

ด้วยเด็กสาวถึงปานนี้ สิ่งที่พวกนางต้องการ ย่อมเรียบง่ายเช่นเดียวกับจิตใจ แม้ว่าเสี่ยวโม่จะมีพลังที่แกร่งกล้า แต่การรับมือกับนางนั้นเรียบง่ายอย่างมาก เช่นเดียวกับตอนนี้....

ข้าสามารถพานางไปอยู่ข้างกายได้จริงๆหรือ? เย่หวูเฉินถามตัวเองในความเงียบงัน

สตรีแห่งปีศาจ.... ได้รับคำสั่งจากบิดามารดา นำทัพปีศาจมายังทวีปเทียนเฉินเพื่อตามหาสี่มุกในสิบมุกเซียน บิดามารดานาง จะเป็นเพียงปีศาจธรรมดาอย่างนั้นหรือ?

เพราะอย่างนั้น การพานางไปอยู่ข้างกาย ย่อมมีวันหนึ่งที่นำพาปีศาจมาหา.... ยิ่งกว่านั้นยังเป็นปีศาจที่ทรงพลัง กระทั่งทรงพลังสูงสุด เช่นเดียวกับหนิงเสวี่ยและทงซิน....

เสี่ยวโม่ยังต้องการกลับไป ไม่อย่างนั้น นางคงไม่รอโอกาสเพื่อชิงมุกมังกรอัคคีและพยายามใช้พลังของมัน เพราะมีเพียงพลังแกร่งกล้าเท่านั้น ที่จะพานางกลับบ้านได้

ก่อนหน้านั้น คำพูดของเสี่ยวโม่ดูเหมือนจะกลายเป็นจริง หลายส่วนในใจของเขาตระหนักดีว่าถ้าหากเขาทำได้ เขาจะขอไม่ต้องพบเด็กสาวคนนี้อีก ทุกสิ่งที่เขาพูดไปล้วนมีเป้าหมายเพื่อเอาชีวิตรอด และเขาได้ทำสำเร็จแล้ว ทว่าเวลานี้ หลังจากใช้เวลากับนางตลอดหนึ่งวัน เขาก็เริ่มพบว่าหัวใจตนเองเกิดความหวั่นไหว

นางกลับดูเหมือนหนิงเสวี่ยอีกคน ทั้งโดดเดี่ยว เดียวดาย และสิ้นหวัง.... หนิงเสวี่ยบอบบางและอ่อนแอทำให้ผู้คนรักใคร่ ส่วนเสี่ยวโม่.... เมื่อนางสลัดเปลือกนอกที่แกร่งกล้าออกแล้ว ก็ล้วนไม่ต่างกัน

ลมหายใจของเสี่ยวโม่กลายเป็นยาวและสงบเงียบ นางหลับไหลอย่างไร้เสียง ทว่าขณะที่นางนอนหลับ นางไม่ค่อยอยู่นิ่งมากนัก แต่เคลื่อนไหวร่างกายตามความรู้สึก ขยับชิดเย่หวูเฉินทีละน้อยเข้าไปในอ้อมแขน เมื่อได้ท่าทางที่สบายแล้วจึงหยุดขยับ ขณะนอนหลับน้ำลายยังไหลยืดลงเปียกชุดของเขา

เย่หวูเฉินวางมือบนไหล่นางอย่างอ่อนโยน เงียบงันเป็นเวลานาน จากนั้นจึงกล่าวเสียงแผ่ว “วันหน้า พออยู่ข้างกายข้าแล้ว จงเป็นเด็กดีและคอยเชื่อฟัง”

เหนือดวงตาที่ปิดไว้บางเบาของเสี่ยวโม่ ขนตายาวได้ขยับไหวเล็กน้อย มือน้อยๆสองข้างกำเสื้อของเขาอย่างเงียบงัน ทุกสิ่งที่กังวลในใจถูกปลดวาง เวลานี้นางหลับไหลโดยสงบอย่างแท้จริง



<<<PREV    .    NEXT>>>