วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 360

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 360 ข้าพาเจ้าออกไปเอง

เช้าวันต่อมา

เหยียนกงลั่วเดินกลับไปกลับในห้องอย่างกระวนกระวาย ถูมือด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง หรือไม่ก็เกาหนังศีรษะ เขาย่ำเท้าหนักสองสามก้าว แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหนักหน่วง ส่งเสียงกล่าวคำอย่างตื่นตระหนก “ท่านปู่ เจ้านายเข้าไปตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนกลับยังไม่มีข่าว พวกเรารอไม่ได้อีกแล้ว หากเจ้านายเป็นอะไรไป แล้วพวกเราจะอยู่เพื่อสิ่งใด”

เหยียนเทียนเว่ยเหลือบมองเขาอย่างเงียบงัน ในปากกล่าวคำแผ่วเบา “รอก่อน”

“รอ.... แต่พวกเรารอนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว....”

“รอก่อน!” เหยียนเทียนเว่ยตะคอกเสียงหนัก หยุดคำที่เหยียนกงลั่วยังกล่าวไม่จบ เขากล่าวต่ออย่างราบเรียบ “ด้วยทักษะการหนีพันลี้ของเจ้านาย โลกนี้ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นเขาได้ ย่อมถอยห่างหมื่นก้าวได้ในพริบตา แต่หากเจ้านายตกอยู่ในมือสำนักจักรพรรดิเหนือจริงๆ พวกมันย่อมไม่อาจอดทนและกระจายข่าว เมื่อวานนี้ตรงตำแหน่งสำนักจักรพรรดิเหนือเกิดเสียงระเบิดใหญ่ นั่นย่อมเป็นพลังแกร่งกล้าของคันศรบาปวิบัติ พวกเรายังไม่เห็นเจ้านายยังกลับมา เขาย่อมมีแผนการบางอย่างอยู่ หากพวกเราวู่วามเข้าสอดมือ มีแต่จะทำให้เจ้านายเสียการใหญ่”

“แต่ว่า ถ้าหาก ถ้าหาก....” คำพูดของเหยียนเทียนเว่ยไม่ได้ทำให้เหยียนกงลั่วผ่อนคลายแต่อย่างใด เขาผุดลุกขึ้นยืน หัวคิ้วขมวดมุ่นและตะโกนเสียงต่ำ

หัวคิ้วชราของเหยียนเทียนเว่ยมุ่นบ้าง เขากล่าวเสียงล้ำลึก “สองวัน ภายในเวลาสองวันนี้ หากเจ้านายยังไม่กลับมา พวกเราจะไม่รออีกต่อไป พวกเราจะยกพลบุกสำนักจักรพรรดิเหนือ.... เจ้าวางใจได้ ต่อให้สิ่งที่เจ้ากังวลบังเอิญเกิดขึ้นจริง เจ้านายก็ย่อมไม่เป็นไร เฮอะ พวกมันต้องการคันศรบาปวิบัติในมือเจ้านาย ย่อมไม่ทำอันตรายชีวิตเขา”

เหยียนกงลั่วทิ้งตัวลงนั่งอีกครั้ง เวลานี้ เขาทำได้เพียงเชื่อฟังคำของปู่ตน ในใจภาวนาอย่างเงียบงัน ขอให้อย่า ‘บังเอิญ’ เกิดเรื่องร้าย ขณะที่เหยียนเทียนเว่ยต่างจากเหยียนกงลั่ว เขายังคงครุ่นคิดอย่างสงบไม่เปลี่ยนแปลง ดูไร้ความกังวลใดๆ ทว่าความสงบนั้นไม่อาจดำรงอยู่ได้อีกนาน

อีกหนึ่งวันผ่านไป เย่หวูเฉินและเล่งหยายังคงไม่กลับมาเหมือนวันก่อน ไร้ข่าวคราวใดๆของพวกเขา ในที่สุด หัวใจทะเลราบเรียบของเหยียนเทียนเว่ยก็เกิดคลื่นกระเพื่อม

หลังจากผ่านคืนนั้น อีกวันก็กำลังมาถึง ตอนนี้ล่วงเข้าสู่วันที่สาม ที่เย่หวูเฉินและเล่งหยาได้เข้าไปในสำนักจักรพรรดิเหนือ เหยียนเทียนเว่ยไม่ได้นอนหลับตลอดคืน เขายืนมองไปไกลยังทิศทางของสำนักจักรพรรดิเหนือ ชุดเทาเปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำค้างยามเช้า หัวคิ้วขมวดมุ่นบ่งบอกถึงความรู้สึกภายใน

“ท่านปู่?” เหยียนกงลั่วปรากฎที่ด้านหลังของเขาและเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว

“รอก่อน.... หากถึงตอนค่ำแล้วเจ้านายยังไม่กลับมา.... เจ้าก็ไปเตรียมตัวให้พร้อม” เหยียนเทียนเว่ยกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ตกลง” เหยียนกงลั่วถอยกลับด้วยหัวใจอันหนักหน่วง

...................

...................

“เฮ้! เฮ้! เจ้าตอไม้ , เจ้าตอไม้มีขน , เจ้าหมูขี้เกียจ! ตื่นได้แล้ว” ปิงเอ๋อร์เอาเศษฟางแหย่จมูกของเล่งหยา ในที่สุดเล่งหยาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ตื่นขึ้น สองคืนที่ผ่านมา ปิงเอ๋อร์นอนบนเตียงเล็กๆที่ไม่เลวร้ายนักของนางตามปกติ ส่วนเล่งหยานั่งอยู่ตรงมุมเล็กๆในห้อง เขานั่งขัดสมาธิเอาหลังพิงพนัง ราวกับหลวงจีนเฒ่าที่นั่งเข้าณานอยู่

เล่งหยาลืมตาขึ้น ดูเวลาจากแสงสว่างแล้ว ถึงเวลาที่เขาจะต้องลุกขึ้น

“เดี๋ยวอย่าพึ่งขยับ ใส่ยาก่อน” ปิงเอ๋อร์ตบเขาให้นั่งลง จากนั้นหยิบขวดยามาเตรียมไว้ และช่วยเขาแกะผ้าพันแผลที่เท้าออก คราบเลือดได้แห้งลงแล้ว หลายวันมานี้จึงไม่ติดเชื้อ หลังจากแกะผ้าพันแผลเสร็จ ปิงเอ๋อร์ก็ลดคิ้วลง มองดูบาดแผลของเขาและพยักหน้าอย่างพอใจ “ยาของแม่หมอช่างสุดยอดจริงๆ รวมถึงความพยายามของข้าด้วย.... เฮ้ เจ้าก็ไม่เลวเหมือนกัน ในที่สุดก็เกือบหายดีแล้ว ข้าว่าตอนนี้คงไม่ต้องใส่ยาแล้วก็ได้”

“มีคนมา” เล่งหยาแววตาเย็นเยียบขณะกล่าวเสียงเบา

ปิงเอ๋อร์ผุดลุกขึ้นอย่างรีบร้อน เดินไปยืนอยู่ตรงประตูไม้ คอยฟังเสียงการเคลื่อนไหวที่อยู่ข้างนอก

“คุณหนูปิงเอ๋อร์ ตะวันลอยโด่งจนส่องก้นแล้ว ไม่ทราบว่าเจ้าลุกออกจากเตียงแล้วหรือยัง?” เสี่ยวปาส่งเสียงเกียจคร้านมาจากข้างนอก

“ให้ตายเถอะเสี่ยวปา น่าต่อยชะมัด เช้าตรู่ขนาดนี้เจ้ามาเรียกข้าทำผีอะไร!” ปิงเอ๋อร์เปิดประตูออก มองไปที่เสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วด้วยใบหน้าขัดเคือง อารมณ์แบบนี้ทำให้พวกเขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวราวกับนัดกันไว้

“ฮ่าย.... หากไม่มีเรื่องสำคัญ ไหนเลยพวกเราจะกล้ารบกวนคุณหนูปิงเอ๋อร์ ท่านหญิงให้พวกเรามาบอก ว่าเจ้าได้สำนึกผิดครบกำหนดสามปีแล้ว พรุ่งนี้ก็ให้ออกไปได้ ท่านหญิงยังบอกอีกว่าหลังจากที่เจ้าออกมาแล้ว ให้ไปพบนางด้วย” เสี่ยวจิ่วกล่าวอย่างจริงจัง ทว่าแววตาดูคล้ายไม่ยินดีนัก

“เอ๋? ออกไป?” ปิงเอ๋อร์นิ่งงันไปชั่วขณะด้วยไม่ทันตั้งตัว

“ถูกต้อง เจ้าฟังไม่ผิดหรอก แต่เอ๊ะ? ประหลาดจริง ทำไมเจ้าต้องทำสีหน้าแบบนั้นด้วย? หรือว่าอยู่ที่นี่มานานเลยรู้สึกผูกพัน ไม่อยากออกไปจากที่นี่แล้ว หรือว่า.... ฮี่ ฮี่ อย่าบอกนะว่าเจ้าแอบชอบพี่เสี่ยวปาผู้นี้” เสี่ยวปาหัวเราะร่าขณะกล่าว

“ชิ!” ปิงเอ๋อร์เบ้ปาก โบกมือไล่อย่างไม่อาจอดทน “เอาละ เอาละ ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าจะรีบไปไหนก็ไป คุณหนูผู้นี้จะทำความสะอาดแล้ว”

“เจ้าทำความสะอาดก็ดีเหมือนกันนะ” เสี่ยวจิ่วทำจมูกฟุดฟิด จากนั้นบ่นเบาๆ “เฮ้อ ปิงเอ๋อร์ไปแล้ว พวกเราสองพี่น้องก็ต้องคอยเฝ้าคุกว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้รับใช้คุณหนูปิงเอ๋อร์อีก”

เมื่อพวกเขาเดินออกไปห่าง สีหน้าของปิงเอ๋อร์ก็หม่นลง นางกลับเข้าห้องและปิดประตูไม้เสียงดัง “ปัง” ก่อนจะเดินไปที่เล่งหยาอย่างกระวนกระวาย “เจ้าได้ยินหรือยัง พวกเขาบอกว่าข้าจะได้ออกไปวันพรุ่งนี้แล้ว ทำยังไงกันดี?”

เล่งหยาเงยศีรษะขึ้น มองนางอย่างงุนงง

“เจ้าโง่!” ปิงเอ๋อร์ออกแรงทุบเขาทีหนึ่ง “ถ้าข้าออกไปแล้ว เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อยังไง ต่อให้ไม่ถูกพบตัว แต่ก็ต้องหิวตายอยู่ในนี้.... แล้วก็ แล้วก็ ที่สำคัญที่สุด หากข้ากับเจ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไหนเลยเย่หวูเฉินจะพาข้าออกไปด้วย.... ไม่ดีแล้ว.... จบเห่ จบเห่ จบเห่ ทำยังไงดี ทำยังไงดีเนี่ย....”

ปิงเอ๋อร์วิ่งพล่านเป็นวงกลมอย่างกระวนกระวาย เอามือทึ้งผม จากนั้นจับไหล่เล่งหยาแล้วเขย่า นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เย่หวูเฉินพาเจ้าเข้ามาจริงหรือเปล่า? แล้วเขาจะมาพาพวกเราออกไปจริงมั้ย?”

“จริง....” เล่งหยากล่าวตอบอย่างหนักแน่น

“ฮืออ!.... เจ้าตอไม้โง่ เขาไม่มาหรอก ด้วยพลังอย่างเจ้า ทุกคนต้องคิดว่าในสามวันนี้ เจ้าคงตายไปแล้วในสำนักจักรพรรดิเหนือ เขาย่อมคิดว่าเจ้าไม่รอดแน่ ไม่มีทางที่เขาจะกลับมาอีก ฮืออ.... ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆเลย ข้าแค่อยากออกไปตามหาคุณหนู ข้าอุตส่าห์มีโอกาสแล้ว แต่กลับไม่อาจได้ออกไป” ปิงเอ๋อร์บ่นพ้ออย่างเศร้าโศก

“ข้าพาเจ้าออกไปเอง” เล่งหยาลุกยืนขึ้น สายตาเคลื่อนไปด้านข้าง มองไปยังประตู

“เจ้าเนี่ยนะ?” ปิงเอ๋อร์ออกแรงสั่นศีรษะ “เจ้าคิดว่าที่นี่อยากมาก็มาได้ อยากไปก็ไปได้อย่างนั้นเหรอ? เจ้าออกไปจากนี่ไม่ได้หรอก ต่อให้เจ้าไม่ถูกพบตัวหรือถูกขัดขวางใดๆ เจ้าก็ไม่อาจข้ามผ่านผงเพลิงวิญญาณออกไปได้ มีเพียงคนที่มีพลังเพลิงวิญญาณเท่านั้นถึงจะสามารถผ่านเข้าออก เจ้า.... ต่อให้อยู่ในนี้ อีกกี่วันก็ต้องถูกพวกเขาพบตัวและจับไว้ เจ้ายังเอาตัวเองไม่รอดเลย แล้วจะพาข้าออกไปได้ยังไง”

“.......” เล่งหยาพูดไม่ออก หัวใจบีบรัดช้าๆ เขากำมือทั้งสองไว้อย่างเงียบงัน อุปนิสัยของเขาคือคนที่ไม่ยอมแพ้ เวลานี้ เขากำลังตัดสินใจอย่างบ้าบิ่น.... และสาเหตุของการตัดสินใจนี้ เขาตระหนักได้ว่าเป็นเพราะปิงเอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้า

เขาอยากพานางออกไป หวังอย่างยิ่งที่จะพานางออกไป เพราะนางบอกว่าต้องพานางออกไปด้วยเท่านั้น นางจึงจะบอกว่าเหยียนจื่อเมิ่งอยู่ไหน ในขณะเดียวกัน มันคือความปรารถนาของนาง.... และอาจเป็นความปรารถนาของเขาด้วย เขาพบว่าในช่วงเวลาสั้นๆที่อยู่ด้วยกันนี้ เขากลายเป็นเสพติดความรู้สึกที่มีนางอยู่ใกล้ๆ

บุรุษผู้ไม่เคยเปิดใจ กระทั่งไม่เคยรู้จักวิธีเปิดใจออก ทว่าเมื่อครั้งหนึ่งมีคนเปิดหัวใจของเขาได้ เขาจะกระตือรือล้นและบ้าคลั่งอย่างไม่อาจหยุดยั้ง

“ข้าพาเจ้าออกไปเอง” เล่งหยากล่าวคำซ้ำ ครั้งนี้จริงจังกว่าครั้งก่อน กระทั่งยังหนักแน่นเด็ดขาด

ปิงเอ๋อร์เงยศีรษะขึ้นมองเขาอย่างตกใจ ในแววตาของเขา ราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชนอย่างแรงกล้า ราวกับคนบ้าที่ใกล้ระเบิดออก

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” หัวใจของปิงเอ๋อร์เต้น ‘ตึกตัก’

“ข้าสามารถ.... พาเจ้าออกไปได้ แม้ข้าไม่อาจผ่านผงเพลิงวิญญาณ แต่เจ้าทำได้!” คำพูดของเล่งหยาจริงจังถึงขีดสุด

ดวงตากลมของปิงเอ๋อร์เบิกกว้าง นางเข้าใจทันทีว่าเขาคิดทำสิ่งใด นางสั่นศีรษะสุดแรง “เป็นไปไม่ได้หรอก ถึงแม้สำนักจักรพรรดิเหนือไม่เคยถูกศัตรูภายนอกล่วงล้ำมาก่อน ทว่าไม่เคยลดหย่อนความระวัง แล้วยิ่งไม่กี่วันก่อนหน้านี้ จักรพรรดิมารเพิ่งบุกรุกเข้ามา สำนักจักรพรรดิเหนือสูงยันต่ำย่อมป้องกันอย่างแน่นหนา ไหนเลยพวกเราจะมีโอกาสหนีออกไปได้.... จริงสิ เจ้ามาถึงที่นี่ได้โดยไม่ถูกพบเห็น ทักษะการพรางตัวของเจ้าคงจะยอดเยี่ยม เจ้าสามารถหนีออกไปคนเดียวได้.... โอ้ย ไม่ได้ๆ ต่อให้เจ้าไม่ถูกพบตัว แต่เจ้าก็ผ่านผงเพลิงวิญญาณออกไปไม่ได้อยู่ดี.... ดูท่าตอนนี้เจ้าจะติดตายจริงๆแล้ว”

เล่งหยาไม่กล่าวคำอีก เขาเพียงจ้องมองที่ปิงเอ๋อร์ ยืนยันหนักแน่นด้วยแววตา

“เจ้า....พาข้าออกไปได้จริงๆเหรอ?” ปิงเอ๋อร์เข้าใจแววตาที่เขาสื่อ นางระงับหัวใจที่เต้นรัวและเอ่ยถาม

เล่งหยาพยักหน้า

ปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว นางเริ่มเดินกลับไปกลับมาช้าๆในห้องเล็กๆอย่างไร้จุดหมาย ราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่างด้วยความลำบากใจ เล่งหยามองนางที่เดินวนราวกับมดไต่บนกระทะร้อน รอนางตัดสินใจอย่างยาวนาน สุดท้ายปิงเอ๋อร์ก็หยุดร่างยืนอยู่ตรงหน้าเขา กล่าวคำที่ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “ตกลง.... ในเมื่ออยู่ที่นี่เจ้าก็ตายอยู่ดี หากข้าติดอยู่ในสำนักจักรพรรดิเหนือตลอดไป ชั่วชีวิตนี้ย่อมไม่ได้เห็นคุณหนูกับลูกน้อย และย่อมไม่อาจคลายใจได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไปด้วยกัน ตราบใดที่ไม่ถูกพบตัว ข้าสามารถพาเจ้าออกไปจากผงเพลิงวิญญาณได้”

นางชูกำปั้นขึ้น กล่าวคำสง่างามไร้ที่เปรียบ “งั้นเอาตามนี้ มีเวลาเหลือเพียงจนถึงตอนค่ำ.... หวังว่าเท้าของเจ้าจะพร้อมใช้งานนะ?”

เล่งหยากระทืบเท้าขวาลงกับพื้น ไร้ความเจ็บปวดใดๆบนใบหน้า

“เฮอะ! อวดเก่งไม่ดูเวลา.... เฮ้ ตกลงกันแล้วนะ เจ้าอย่ามาถ่วงแข้งถ่วงขาข้าเสียล่ะ ช่างเถอะ ข้าไม่ได้หวังพึ่งพาอะไรเจ้าอยู่แล้ว อย่างแย่ก็ตายไปพร้อมเจ้า ข้ามีชีวิตทุกวันนี้เพราะคุณหนูมอบให้ เพื่อจะได้พบกับคุณหนูอีก อย่างมากก็แค่เสี่ยงชีวิตตัวเอง มีสิ่งใดให้ต้องกลัวด้วย!” ปิงเอ๋อร์กล่าวคำอย่างเด็ดเดี่ยว น้ำเสียงยังกล้าหาญขึ้น

“เสี่ยวปา เสี่ยวจิ่ว บอกน้องหญิงเสี่ยวจูว่าวันนี้ให้เตรียมมื้อเช้ากับมื้อเที่ยงมาอย่างละสามถาด วันสุดท้าย คุณหนูผู้นี้จะต้องกินให้จุใจ!”

เสี่ยวปา “......”

เสี่ยวจิ่ว “......”



<<<PREV    .    NEXT>>>