วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 381

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 381 เทพจักรพรรดิ

ในอีกห้วงมิติหนึ่ง

พื้นของที่แห่งนี้เป็นสีทองซีด อากาศบริสุทธิ์ไร้สิ่งปนเปื้อน บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายธรรมชาติหนาแน่น เหนือล้ำห่างไกลเมื่อเทียบกับทวีปเทียนเฉิน โดยรอบทุกแห่งหนเต็มไปด้วยพฤกษาและดอกไม้แปลกตานานาพันธุ์ หลายต้นคล้ายประดับด้วยอัญมณีหรูหรา ส่งแสงระยิบระยับเรืองรอง เกิดภาพอัศจรรย์ดุจสวรรค์สรรสร้าง งามจับตาเหนือสิ่งสวยงามใดๆ แน่นอนว่าฉากงดงามตามธรรมชาติในห้วงมิตินี้ ย่อมไม่อาจพบเจอได้ในทวีปเทียนเฉิน

นี่เป็นอีกทวีปหนึ่งซึ่งไม่ใช่ทวีปเทียนเฉิน ชื่อของมันคือทวีปเทวะ

เบื้องหน้าสายตา เป็นปราสาทแห่งหนึ่งสะท้อนแสงทองระยิบ มีขนาดกว้างขวางใหญ่โต เหนือกว่าปราสาทใดๆในทวีปเทียนเฉินไปห่างไกล ปราสาทมีความยาวทั้งสิ้นกว่า 300 เมตร สถาปัตยกรรมเรียบง่ายเช่นเดียวกับทวีปเทียนเฉิน ตัวปราสาทแผ่ความรู้สึกสงบ ที่เบื้องหน้าปราสาท มีบุคคลในชุดเกราะทองหรือไม่ก็ชุดเกราะเงินคอยป้องกันอย่างน้อยก็หลายร้อยคน พวกเขาจับหอกยาวสีหน้าสงบ ยืนนิ่งไม่ไหวติงในตำแหน่งตัวเอง ตั้งเป็นแถวงดงามเรียบร้อย แผ่ความขึงขังและหนักแน่น

วิหารเทวะ อาณาจักรเทพ ที่แห่งนี้คือใจกลางอำนาจสูงสุดของอาณาจักรเทพ เป็นสถานที่สำหรับเทพจักรพรรดิใช้จัดการทุกสิ่งในทวีปเทวะ ระหว่างความสงบเงียบเหนือธรรมดา ความกดดันไร้ตัวตนก็แผ่ปกคลุม หากมนุษย์ธรรมดาแห่งทวีปเทียนเฉินมายังที่แห่งนี้ เพียงธาตุธรรมชาติและกลิ่นอายเทวะของที่นี่ ก็เพียงพอทำให้หายใจไม่ออกและกดดันหนักหน่วงราวกับแบกหินนับพัน เมื่อมองขึ้นไปยังวิหารเทวะอันกว้างขวางและว่างเปล่า ในนั้นจะพบเพียงคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งสีทองขนาดใหญ่

เส้นผมสีทองยาวสยายคลุมบ่า เกราะท้องสีทองโอภาพันไว้รอบร่างอย่างแนบแน่น มงกุฎทองหรูหราสูงค่าสวมอยู่บนศีรษะ ด้านหน้าของมงกุฎมีส่วนแขนงยื่นออกมาครอบกรอบดวงตาไว้ ทั่วร่างมีแสงรัศมีสีทองจาง เรืองรองออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่ามันเปล่งออกมาจากร่างนาง

เกราะท้องสีทองสวมไว้แนบแน่น แนบชิดจนเห็นเรือนร่าง ปรากฎเส้นขอบของทุกสัดส่วนบนร่างกายอันสมบูรณ์ บั้นท้ายและทรวงอกเด่นตระหง่าน องค์เอวอ้อนแอ้นดุจลำหลิว ท่อนแขนขาวราวดุจหยก กระจ่างชัดต่อให้ไร้แสง ไม่ว่าจะเป็นท่อนแขนขาวหรือลำคองามที่เผยออกมา ต่างสว่างสดใสดุจแสงศิลาเรือง ปรากฎงดงามดุจภาพมายา ใต้กรอบดวงตาเป็นริมฝีปากเชอร์รี่กลีบบางสีชมพูที่โค้งขึ้นอย่างอ่อนโยน คางงามเสลาดุจหยกสลัก สมบูรณ์แบบจนไม่อาจหาจุดตำหนิใดๆ

นี่เป็นอิสตรีผู้หนึ่ง แม้ว่านางจะเผยออกมาเพียงครึ่งใบหน้า ทว่าจะมองอย่างไรก็ไม่สงสัย ว่านี่คือสตรีเลอโฉม ความงามที่ปรากฎออกมายังเหนือล้ำกว่าสตรีทุกผู้ในทวีปเทียนเฉิน เรือนกายนางอยู่ในท่วงท่านั่งอันงดงาม ไม่มีสิ่งใดปิดบังความงามของนางได้ ยากจะหาคำใดบรรบายความงามอันเหนือล้ำแผ่นฟ้าปฐพี ร่างของนางแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ ที่ทำผู้คนไม่อาจเงยหน้ามองตรง ทั้งปรารถนายอมสยบจากจิตใต้สำนึก ไม่กล้าเกิดจิตล่วงเกินความงามอันศักดิ์สิทธิ์ ในขณะเดียวกัน ยังเป็นสิ่งยืนยันถึงสถานะสูงส่งไร้ใดเทียบของนางในทวีปเทวะ

เทพจักรพรรดิ จักรพรรดิแห่งเหล่าทวยเทพกลับเป็นอิสตรีผู้หนึ่ง!

ตึก.... ตึก.... ตึก....

ในความเงียบสงบ ที่ทางเข้าวิหารเทวะมีเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอและสงบดังขึ้น รองเท้าบูทสงครามสีทองเข้มก้าวเข้าไปในวิหารเทวะ สืบเท้าตรงไปช้าๆพร้อมเสียงย่ำที่ดังสะท้อน

เป็นบุรุษที่หล่อเหลาเกินธรรมดา รูปร่างหน้าตาสมบูรณ์แบบจนบุรุษทุกผู้ต้องอิจฉา ร่างสูงใหญ่ใต้เกราะสีทองเข้ม ผมยาวสีทองปล่อยลงจนจรดแผ่นหลัง บนใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยอารมณ์หนักแน่น แผ่นหลังสะพายทวนยาวสีทองไขว้กันสองเล่ม ปลายแหลมโผล่พ้นเหนือไหล่ขึ้นไปสูง หากมองสองจุดปลายโดยตรงจะเห็นแสงเย็นเยียบน่าหวั่นกลัว ปลายอีกด้านหนึ่งโผล่พ้นเอว ปรากฎเป็นปลายแหลมส่งประกายสีทองเย็นเยียบเช่นเดียวกัน สองทวนเพียงสะพายอยู่บนร่าง ทว่าขอบคมทั้งสี่ปลดปล่อยพลังออกมาอย่างเข้มข้น ขับส่งอุณภูมิให้สูงขึ้น ตลอดทางที่ชายผมทองเดินเข้ามา อากาศร้อนก็บังเกิดขึ้นติดตามที่เบื้องหลัง นำพาอุณภูมิโดยรอบให้สูงขึ้นทันที และเมื่อบุรุษเคลื่อนร่างผ่านไป อุณภูมิตรงนั้นก็ค่อยๆลดลงสู่ปกติ

ในคู่ดวงตาสีทองยังปรากฎสีแดงผสานกัน.... หากสบเข้ากับสายตานั้น สติเบื้องลึกย่อมเกิดความรู้สึกเหมือนถูกไฟเผา.... ดวงตาของบุรุษผู้นี้ ดูคล้ายตะวันสีทองแห่งการเผาไหม้

ตึก.... ตึก.... ตึก....

วิหารเทวะทอดยาวเป็นทางไกล ฝีเท้าของบุรุษเชื่องช้ายิ่ง ทว่าฝีเท้านี้ที่เชื่องช้าและหนักแน่นอย่างเห็นได้ชัด กลับสืบเท้าเพียงไม่กี่ครั้งก็ไปถึงเบื้องหน้าเทพจักรพรรดิ สายตาของบุรุษมองตรง คุกเข่าลงข้างหนึ่งและก้มศีรษะลง ส่งเสียงอันองอาจออกไปช้าๆ “องค์เทพจักรพรรดิ ท่านเรียกพบข้าหรือ?”

เทพจักรพรรดิพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบไม่อาจสังเกต นางเปิดริมฝีปากบางและกล่าว “เจวี๋ยเทียนตายแล้ว”

น้ำเสียงของนางอ่อนนุ่มอย่างมาก นุ่มนวลถึงระดับที่บุคคลไม่กล้าเชื่อลง เป็นเสียงที่ทำส่วนลึกสุดในใจของผู้คนให้อ่อนระทวย อบอุ่นนุ่มนวลที่สุดเมื่อเทียบกับสิ่งใดๆในโลก โน้มนำหัวใจส่วนลึกของผู้คนให้ไม่อาจอดห้ามความสงสาร ปรารถนาใช้ทุกอย่างปกป้องเจ้านาย กระทั่งตกตายเป็นพันๆครั้งก็ยอม

น้ำเสียงพลังเวทย์ ปรากฎบนร่างนางด้วยพลังที่น่ากลัวถึงขีดสุด

“ตาย?!” บุรุษผมทองเงยศีรษะขึ้นมองด้วยความแปลกใจในผลลัพธ์ คิ้วทองเลิกขึ้นและกล่าวคำอย่างหนักหน่วง “สามปีก่อนลู่เทียนก็ตายที่นั่น ตอนนี้ยังรวมถึงเจวี๋ยเทียน.... พวกมันเป็นได้เพียงขยะไร้ค่าจริงๆ”

เทพจักรพรรดิกล่าวคำบางอย่างเสียไม่ได้ “เย่หมิง ดูเหมือนว่าการตายของลู่เทียนเมื่อสามปีก่อนจะไม่ใช่อุบัติเหตุ มิเช่นนั้นคงไม่เกิดเหตุซ้ำอีกครั้ง ทวีปเทียนเฉินสมควรมีสิ่งลึกลับบางอย่างที่พวกเราคิดไม่ถึงซ่อนอยู่”

บุรุษผมทองที่เรียกว่า ‘เย่หมิง’ ก้มศีรษะลงอีกครั้ง กล่าวคำอย่างแผ่วเบา “องค์เทพจักรพรรดิ วันนี้ท่านเรียกข้ามาด้วยเหตุใด?”

“ที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้ เจ้าเดาไม่ออกจริงๆหรือว่าเพราะเหตุใด?” เทพจักรพรรดิลุกขึ้นจากที่นั่ง ขยับฝีเท้าเบามายืนอยู่ข้างเย่หมิงอย่างเงียบงัน เวลานี้เมื่ออยู่ในท่วงท่ายืน เรือนร่างใต้เกราะท้องสีทองเผยเสน่ห์ที่ไม่ถูกอิริยาบทบดบังอีกต่อไป เป็นความงามสมบูรณ์ที่ไม่อาจปรากฎในโลกมนุษย์ ผู้ใดก็ตามที่เห็นเรือนร่างนี้ ย่อมไม่อาจเชื่อลงว่าในโลกหล้าจะปรากฎสตรีที่งามสมบูรณ์ได้ถึงเพียงนี้

เย่หมิงยังคงคุกเข่าไม่เงยหน้าขึ้น กล่าวคำแห้งแล้งไร้ความลังเล “ข้าขอปฏิเสธ!”

“เจ้าปฏิเสธ เพราะคิดว่าการไปเยือนทวีปเทียนเฉินเท่ากับการหมิ่นหยามสถานะและพลังของเจ้า ใช่หรือไม่?” แม้มีกรอบทองบังดวงตาอยู่ แต่สายตาของเทพจักรพรรดิยังคงทอประกายสีทอง หลังจากหยุดมองที่ร่างของเย่หมิง นางก็เคลื่อนสายตาออกช้าๆ

เย่หมิงขยับร่างเล็กน้อย ตอบกลับเพียงคำสั้นๆ “ถูกต้อง!”

เทพจักรพรรดิแหงนมองขึ้นด้านบน เผยลำคอดุจหยกสลักสมบูรณ์แบบ เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่ชะโลมถึงกระดูก “สำหรับทุกคนในที่แห่งนี้ ทวีปเทียนเฉินเป็นสถานที่ต่ำด้อยและด้อยค่า ทว่าหากไม่นับการตายของลู่เทียนและเจวี๋ยเทียน.... หากไม่ใช่เพราะเทพจักรพรรดิไม่อาจลงไปยังทวีปเทียนเฉิน ข้าคงไปเยือนที่นั่นด้วยตัวเองแล้ว”

เย่หมิง “....เป็นเพราะพวกมันไร้ประโยชน์เกินไป”

“พวกเราต่อสู้กับ ชาโหว มาหลายครั้ง ทำได้เพียงป้องกันตัวไม่เคยเอาชนะได้ ตอนนี้กลับต้องสูญเสียลู่เทียนกับเจวี๋ยเทียน พลังของพวกเราจึงไม่อาจเปรียบเทียบกับชาโหวได้ หากไม่รีบพาตัว ไป่เย่ กับ เฮยเย่ กลับมาโดยเร็ว พลังของพวกเราย่อมไม่อาจต้านทานพวกมันได้อีก”

เย่หมิงเงยศีรษะขึ้นและกล่าวแผ่วเบา “แล้วเหตุใดถึงไม่ให้ ฉิงเทียน , ฝาเทียน , หรือราชันม่วงหวังจิ้ง พวกนั้นไปแทน กลับให้ข้าผู้เป็นหนึ่งในสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์ลงไปสู่ดินแดนต่ำชั้น เพื่อตามหาองค์หญิงเฮยเย่และองค์หญิงไป่เย่ด้วยตัวเอง แบบนี้แล้ว ไหนเลยข้าจะไม่กลายเป็นที่หัวเราะของผู้คน”

เทพจักรพรรดิหันกายออกไป น้ำเสียงยังคงนุ่มนวลอ่อนหวาน หากคล้ายแฝงด้วยความเย็นเยียบ “ฉิงเทียน และ ฝาเทียน ผลัดกันลงไปสู่ทวีปเทียนเฉินตลอดหนึ่งร้อยปี ทว่ากลับไม่อาจบรรลุผลลัพธ์ใด การตายของ ลู่เทียน และ เจวี๋ยเทียน ทำให้ข้าไม่อาจเย็นใจได้ ชาโหวกดดันเข้ามาทีละก้าว ทวีปเทวะของพวกเราไม่อาจรอนานกว่านี้ได้อีก ไม่อาจทนรับการสูญเสียมากกว่านี้ได้ เย่หมิง ด้วยพลังของเจ้าไม่จำเป็นต้องรอจนถึงสามปี ในอีกหนึ่งปีเจ้าจะสามารถก้าวผ่านกฎของสวรรค์ เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าต้องนำเฮยเย่และไป่เย่กลับมา รวมทั้งมุกเซียนโกลาหลทั้งสี่เม็ด นี่คือความหวังสุดท้ายที่พวกเราจะเอาชนะชาโหวได้ เจ้ายังปฏิเสธได้ลงอยู่อีกหรือ?”

เย่หมิง “......”

“ด้วยพลังของเจ้า เพียงยกมือเดียวก็สามารถทำลายทวีปเทียนเฉินให้พินาศสิ้น ทว่า จงอย่าได้ประมาท! เจ้าไปได้แล้ว”

เย่หมิงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น สีหน้ากลับกลายเล็กน้อย หลังจากเงียบงันอยู่เนิ่นนาน ก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง “พะยะค่ะ”

เย่หมิงลุกขึ้นยืน นำคลื่นอากาศร้อนออกไปจากวิหารเทวะ คู่ดวงตาประหลาดยังคงแผดเผาดุจดวงตะวัน

สำหรับเย่หมิงแล้ว ทวีปเทียนเฉินเป็นดินแดนชั้นต่ำ เป็นของมนุษย์ผู้อ่อนแอและต่ำต้อย มันสามารถทำลายทิ้งได้ง่ายๆ มุมมองต่อที่แห่งนั้นล้วนมีแต่ความเหยียดหยาม ตอนนี้ตัวมันผู้เป็นถึงหนึ่งในสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์แห่งทวีปเทวะ กลับต้องไปยังที่แห่งนั้นด้วยตัวเอง สำหรับตัวมันแล้ว นี่เป็นเรื่องอัปยศอย่างยิ่ง



<<<PREV    .    NEXT>>>