วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 358

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 358 “พ่อและลูกสาว”

“.....เป็นพ่อข้าแล้ว ท่านต้องปกป้องข้า ดีต่อข้าตลอดไป ถ้าทำไม่ดีต่อข้า หรือหลอกลวงข้า ข้าจะกำจัดท่านทิ้งเหมือน ‘พ่อ’ คนก่อนๆ” เสี่ยวโม่ยื่นลูกอมอย่างมีความสุข นางยิ้มกล่าวอย่างจริงจัง

เย่หวูเฉินไม่ลังเล อ้าปากงับลูกอมที่สาวน้อยยื่นให้ กล่าวคำด้วยเสียงแปลกแปร่งอย่างไม่อาจปิดบัง “ตกลง ถ้าเสี่ยวโม่ต้องการ งั้นข้าจะเป็นพ่อของเสี่ยวโม่เอง”

จิตใจของสาวน้อยปีศาจตนนี้ เขาไม่อาจเข้าใจทั่วอยู่ชั่วขณะ นางโหยหาความรักและต้องการครอบครัวมากเกินไป โดยไม่มีเหตุผลใดอื่น

“ฮี่....” เสี่ยวโม่ยิ้มอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ความหม่นหมองในน้ำเสียงได้หายไป นางหัวเราะอย่างไร้เสแสร้ง มีเพียงความร่าเริงไร้เดียงสาของเด็กสาว นางยื่นมือขวาและชูนิ้วก้อย โบกต่อหน้าเย่หวูเฉินและกล่าว “มาสิ....เกี่ยวก้อยสัญญาว่าจะไม่หลอกกัน”

“ตกลง” เย่หวูเฉินยื่นมือออกมาและเกี่ยวนิ้วก้อยกับนาง เขาแกว่งนิ้วก้อยน้อยๆนั้นและกล่าว “ข้าจะปกป้องเสี่ยวโม่ จะชอบเสี่ยวโม่ จะดูแลเสี่ยวโม่ จะไม่รังแกเสี่ยวโม่ จะไม่ยอมให้ใครรังแกเสี่ยวโม่.... แต่ถ้าหากเสี่ยวโม่ทำผิด ข้าจะโกรธและจะลงโทษนาง จะช่วยให้นางอยู่ในทางที่ถูกต้อง เพราะตอนนี้.... ข้าคือพ่อของเสี่ยวโม่ และเสี่ยวโม่คือลูกของข้า”

เสี่ยวโม่มองที่ดวงตาขณะฟังเขากล่าว แต่ละคำก้องกังวาลในหัวใจ ความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นจากคำพูดแต่ละคำ เมื่อเขาเอ่ยคำว่า ‘เสี่ยวโม่’ แต่ละครั้ง หัวใจจะพองโตและอบอุ่น ทันใดนั้น จมูกเริ่มคล้ายสะอื้นเล็กน้อย เมื่อฉับพลันได้พบสิ่งที่ขาดหายมานาน ปรารถนาและหวังถึงสัมผัสอันล้ำค่ามายาวนาน นางงอนิ้วก้อยเกี่ยวไว้มั่น และกล่าวอย่างจริงจัง “งั้นท่านอยู่กับข้าที่นี่....ตกลงมั้ย? ท่านพ่อ....”

เมื่อกล่าวคำว่า ‘พ่อ’ ออกมา ความรู้สึกอัดอั้นตันใจก็พวยพุ่งขึ้น ไม่อาจห้ามน้ำใสที่ไหลคลุมตา นางกระพริบดวงตาดาราที่เปียกปอน นางเรียกหาคนมากมายว่า ‘พ่อ’ ทว่านอกจากพ่อของนางแล้ว คนเหล่านี้เป็นเพียงคนที่ไร้ชีวิต เป็นหุ่นเชิดที่นางใช้พลังทมิฬควบคุม วันนี้ นางเรียกคนที่รู้จักตัวตนทั้งหมดของนางว่า ‘พ่อ’ เป็นคนที่ไม่รังเกียจนาง ปรารถนาจะเป็นเพื่อน และเมื่อกลายเป็น ‘พ่อ’ ก็ต้องการปกป้องนาง อยู่ร่วมกับนางและคอยดูแล

สิ่งที่นางต้องการนั้น บริสุทธิ์และเรียบง่ายอย่างยิ่ง

เย่หวูเฉินรู้ดีว่าอะไรคือความเดียวดายที่แท้จริง.... เขาเองก็มาจากโลกอื่น และไม่อาจกล่าวถึงโลกอื่นกับผู้ใด ความเดียวดายชนิดนี้ เขารู้สึกถึงมันอยู่เสมอ ยิ่งกว่านั้น สาวน้อยผู้นี้ยังโดดเดี่ยวมากว่าร้อยปี

จากสายตาที่สั่นไหวของนาง เย่หวูเฉินรู้ว่านางปลดวางความระแวงและสงสัยลงแล้ว เขายิ้มและส่ายศีรษะโดยไม่ลังเล “ข้าไม่อยากโกหกเสี่ยวโม่ มีคนอีกมากที่รอข้าอยู่ ข้าไม่อาจอยู่ที่นี่ตลอดไป เสี่ยวโม่ เจ้าอยากไปจากที่นี่พร้อมข้ามั้ย? ข้าจะพาเจ้าไปรู้จักกับเพื่อนมากมาย พวกเขาจะต้องชอบเจ้า”

เสี่ยวโม่ไม่ได้ผิดหวัง ตรงกันข้ามนางยิ่งยิ้มดีใจ “ฮี่ ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ว่าหากเมื่อครู่ท่านตอบตกลง ข้าคงกำจัดท่านทันที เพราะข้ารู้ว่าท่านมีสหายและผู้คนรอบกาย และท่านไม่มีวันละทิ้งพวกเขา หากท่านตอบตกลงก็เท่ากับโกหกข้า และสิ่งที่พูดมาก่อนหน้านั้นก็ต้องเป็นเรื่องโกหก.... พอท่านตอบมาแบบนี้ ข้าก็ดีใจนัก”

“ถ้าอย่างนั้น.... ท่านพ่อก็อยู่กับข้าที่นี่สักสามวัน.... ในสามวันนี้ ข้าอยากให้มีเพียงท่านและข้าเท่านั้น หลังจากนั้น ไม่ว่าท่านพ่อจะไปแห่งใด ข้าก็จะไปด้วย” เสี่ยวโม่เกี่ยวนิ้วแน่นขึ้น นางส่งคำเตือนสุดท้ายพร้อมความปรารถนาออกมา ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายความหวัง

“ตกลง ข้าสัญญากับเสี่ยวโม่ ในสามวันนี้ข้าจะไม่ไปไหน จะอยู่กับเจ้าที่นี่.... หากในสามวันนี้เสี่ยวโม่ไม่ชอบใจที่ข้าเป็นพ่อ เช่นนั้นเจ้าก็กำจัดข้าได้เลย” เย่หวูเฉินกล่าวตอบโดยไม่ลังเล ในสถานการณ์นี้ ภายใต้แววตาของสาวน้อย เขาไม่อาจปฏิเสธนางได้ลง รวมถึงเซียงเซียง.... ก่อนนี้นางใช้พลังตัดมิติหลายครั้ง แทบใช้พลังจนหมดสิ้นและไร้เรี่ยวแรง แต่นางจำต้องสร้างมิติวิญญาณขึ้นมาอีก กลายเป็นนางต้องใช้พลังเกินตัว เวลานี้เซียงเซียงจึงอยู่ในสภาพหลับลึก ตลอดสามวันย่อมไม่ตื่นขึ้นมา ดังนั้นต่อให้เย่หวูเฉินไม่ตอบตกลง เขาก็ไม่อาจอาศัยพลังเซียงเซียงกลับไปยังสำนักจักรพรรดิเหนือ เพื่อรับตัวเล่งหยาออกมาได้ ทว่า.... หากไม่มีเขา เล่งหยาแม้ไม่ถูกสำนักจักรพรรดิเหนือพบตัว เขาก็ไม่อาจออกมาได้ ทางใต้ของสำนักมีหนองน้ำหลายสิบลี้ทอดอยู่ ด้านอื่นๆมีผงเพลิงวิญญาณโปรยไว้ ปิดกั้นเส้นทางไม่ให้เขาได้ออกมา

เล่งหยา.... ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร ในสามวันนี้เจ้าต้องรักษาชีวิตตัวเองไว้ให้ได้!

เสี่ยวโม่เมื่อได้รับคำตอบดังใจ ก็กระโดดอย่างมีความสุข นางโยนตัวเองไปอยู่ตรงหน้าเย่หวูเฉิน ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข “ท่านพูดแล้วนะ เป็นพ่อห้ามโกหกลูกสาว.... สามวันแม้จะสั้นไปหน่อย.... ฮี่! ท่านเป็นพ่อของข้าแล้ว ไหนเลยข้าจะฆ่าท่านได้ ข้าเองก็จะปกป้องท่านพ่อเช่นกัน รวมถึงเชื่อฟังคำของท่านพ่อด้วย....”

แววตาของเสี่ยวโม่ในตอนนี้ รวมทั้งความยินดีที่แสดงจากใจ ทำให้เย่หวูเฉินหวั่นไหวจับใจด้วยบางสิ่ง จากจิตใต้สำนึกของตัวเอง เขายื่นมือโอบร่างนางไว้ในอ้อมแขน กระชับนางมั่นและสัมผัสหัวใจของเด็กสาวอย่างเงียบงัน เวลานี้ เขาเข้าใจทันทีว่านางต้องการสิ่งใด....

เสี่ยวโม่ตกอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างเชื่องเชื่อ นิ่งงันขณะสัมผัสความอบอุ่นที่นางโหยหามาตลอด เป็นความสุขสบาย ผ่อนคลายและเกียจคร้านอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน นางเอนกายนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา ไม่คิดถึงสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดให้หวั่นกลัว หลับไหลไปอย่างไร้กังวล....

“ท่านพ่อ....” ราวกับฝันละเมอ นางส่งเสียงแผ่ว

“ท่านพ่อ.... ข้าอยากให้ท่านอุ้มข้า....”

“อื้ม ตกลง!”

“ข้าอยากให้ท่านเล่านิทานให้ข้าฟัง และเล่าเรื่องราวที่ท่านรู้”

“อื้ม!”

“ข้าอยาก....”

ดังนั้น เด็กสาวที่อายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี จึงได้กลายเป็นลูกสาวของบุรุษที่เพิ่งอายุเพียง 20 ปี และนี่คืออีกสิ่งที่จะกลายเป็นต้นเหตุของการพลิกผันเปลี่ยนเมฆ 

..................

..................

“ขอบคุณมากน้องหญิงเสี่ยวจู ไว้ข้าจะไปเยี่ยมเจ้านะ” ปิงเอ๋อร์ยืนอยู่หน้าห้องของตัวเอง ทักทายสตรีที่แต่งกายในชุดสาวใช้อายุราว 20 ปี ปิงเอ๋อร์ถือถาดอาหารเย็นที่เสี่ยวจูเพิ่งมาส่ง สตรีที่เรียกว่า ‘น้องหญิงเสี่ยวจู’ ยิ้มให้นางและพยักหน้าเงียบๆ จากนั้นถอยออกมาอย่างอ่อนน้อม

“เฮ้อ เสี่ยวจูน่าสงสารจริงๆ ชีวิตนี้นางไม่อาจพูดได้” มองดูแผ่นหลังที่ห่างออกไปไกล ปิงเอ๋อร์กระซิบคำที่ไม่ทราบพูดมาแล้วกี่ครั้ง นางส่ายศีรษะและกลับเข้ามาในห้อง ปิดประตูไว้แน่น สตรีที่ชื่อเสี่ยวจูเป็นใบ้มาตั้งแต่เกิด นางทำหน้าที่เตรียมอาหารตามที่สำนักจักรพรรดิเหนือมอบหมาย

“เฮ้ เจ้าตอไม้ อาหารมาแล้ว” ปิงเอ๋อร์ทำตาเขียวมองเล่งหยา จากนั้นวางถาดอาหารลงตรงหน้า เป็นเวลานานแล้วที่เขานั่งหลับตาเงียบอย่างกับคนตาย ปิงเอ๋อร์รู้ว่าเขาพยายามฟื้นฟูบาดแผลที่เท้าให้หายเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมถึงฟื้นฟูพลังตนเอง นางจึงไม่รบกวนเขา ทว่าเพียงได้แต่ดูโดยไม่อาจพูด ทำให้นางรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก

“ที่จริงเพราะเจ้าตกสู่รังของคุณหนูผู้นี้หรอกนะ ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้ามีร้อยชีวิต” ปิงเอ๋อร์กระซิบเสียงแผ่ว คำพูดของนางไม่ได้กล่าวเกินจริง กล่าวได้ว่าสถานที่แห่งนี้ปลอดภัยที่สุดในสำนักจักรพรรดิเหนือ ปกติไม่มีใครเข้ามาที่นี่ตามอำเภอใจ แถมยังมียามเพียงสองคนที่พลังต่ำต้อยที่สุดในสำนักจักรพรรดิเหนือ อย่างไรเสีย สถานที่นี้ก็มีไว้เพื่อให้สำนึกผิดเท่านั้น สิ่งที่ต้องการคือความสงบ ไม่ได้ต้องการยามเฝ้าแต่อย่างใด

อาหารส่งกลิ่นเนื้อลอยกระทบจมูกของเล่งหยา เขาลืมตาขึ้นและมองดูที่ถาดอาหาร มีกล่องข้าว และกับข้าวสามอย่าง อาหารในคุกนี้ยอดเยี่ยมไม่ธรรมดา หลังจากกดดันและเหน็ดเหนื่อยมาตลอดวัน รวมทั้งเจ็บปวดจากบาดแผล เล่งหยาจึงหิวโซอย่างหนัก เขาไม่ลังเลหยิบถาดอาหารขึ้นมา คว้าตะเกียบและนั่งกินอย่างมูมมาม

ปิงเอ๋อร์เบ้ปาก นางนั่งบนเตียงเล็กๆมองเขากินอาหาร ไม่ลืมที่จะบ่นพึมพำเสียงต่ำ “....มารยาทการกินน่าเกลียดชะมัด.... เฮ้! ค่อยๆกินก็ได้ เจ้าจะเป็นผีตายอยากกลับชาติมากินไม่ได้นะ”

เล่งหยาหูดับไปเรียบร้อย เขากินด้วยความเร็วสูงสุดเพราะความหิว ยิ่งกว่านั้น นานแล้วที่เขาไม่ได้หิวมากขนาดนี้ หลายชั่วโมงที่เพ่งประสาทสัมผัสจดจ่อด้วยความระวังสูงสุด ทำให้ร่างกายของเขาแทบจะถูกใช้งานเกินขีดจำกัด เขาจึงต้องการพลังงานอย่างเร่งด่วน เพียงอยู่กับปิงเอ๋อร์เป็นเวลาสั้นๆ เขาก็คล้ายเข้าใจอารมณ์นางและไม่สนใจคำพูดของนางอีก ปล่อยให้นางบ่นไป

ปิงเอ๋อร์แค่นเสียง “ฮึ่ม” เบาๆ และหันศีรษะออก ไม่มองไปที่เขาอีก จดจ้องอยู่ที่ผนังและยกเปียผมที่ยาวมากขึ้นมาเล่นในมือ ไม่นานนัก เสียงกลืนอย่างตะกละก็จบลงในที่สุด ปิงเอ๋อร์หันมามอง ฉับพลันก็จ้องตาแทบถลน ส่งเสียงตะกุกตะกัก “จะ เจ้า.... เจ้ากินทั้งหมดได้ยังไง!”

เล่งหยาเงยศีรษะขึ้นมองนาง ท่าทางงุนงงเล็กน้อย

“นั่นมันอาหารของข้า.... เห็นสภาพเจ้าน่าสังเวชและบาดเจ็บอยู่ เลยจะให้เจ้ากินครึ่งหนึ่งก่อน เจ้า....กลับกินลงไปจนหมด เฮ้! เจ้าไม่มีตาหรือยังไง ถึงไม่เห็นว่ามีอาหารอยู่เพียงถาดเดียว และข้ายังไม่ได้กินเลยด้วย!” ปิงเอ๋อร์ลุกขึ้นพรวด ใบหน้าโกรธขึ้งและเจ็บปวดจากความไม่ยุติธรรม นางชี้ที่เล่งหยาขณะดุด่า พอกล่าวจบก็รีบยกมือปิดปากตัวเอง หลังจากฟังเสียงข้างนอกอยู่พักหนึ่ง นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ราวกับเล่งหยาได้ตื่นขึ้นจากความงุนงง เขามองที่ถาดอาหารอันสะอาดเอี่ยมที่ตนกวาดเรียบราวพายุ จากนั้นหันมองไปที่ปิงเอ๋อร์และรอบๆตัวนาง สีหน้าเขาเปลี่ยนทันที ริมฝีปากขยับพะงับๆแต่ไม่มีเสียงใดออกมา บุรุษผู้หนึ่งจัดการอาหารทั้งหมดที่สตรีแบ่งปันให้โดยไม่เหลือไว้ให้นาง.... ต่อให้เขาคือเล่งหยา ก็ไม่อาจควบคุมสีหน้าที่กำลังซีดลง และไม่อาจกล่าวคำเพราะอับจนคำพูด

เห็นสีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็งกลายเป็นอับอายอย่างคาดไม่ถึง ปิงเอ๋อร์ไม่อาจรักษาอารมณ์โกรธเกรี้ยวได้ต่อ นางปิดปากและหัวเราะคิกคัก “ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่.... ตอไม้ใหญ่ เจ้าก็อายเป็นกับเขาด้วย.... ฮิ วางใจเถอะ ข้าไม่ได้ตั้งใจดุว่าเจ้า เจ้าบาดเจ็บอยู่ก็ควรกินให้มากหน่อย ข้าอดสักมื้อสองมื้อไม่หิวตายหรอก.... เฮ้! อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้า ไม่ได้พูดเพื่อให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นหากเย่หวูเฉินอารมณ์ดี เขาจะต้องพาข้าออกไปด้วย และข้าไม่อยากหอบหิ้วเจ้าออกไปเหมือนเด็ก หากเจ้ายังเจ็บอยู่”

เล่งหยา “.....” ปากของเขาขยับ หากยังคงไม่อาจกล่าวคำ



<<<PREV    .    NEXT>>>