วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 349

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 349 หนึ่งศรทลายฟ้า (2)

เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันน่าหวาดหวั่นที่ทำให้แทบไม่อาจหายใจอีกครั้ง เหยียนซีหมิงก็มีสีหน้ากลับกลายอย่างใหญ่หลวง.... เวลานี้ในสำนักจักรพรรดิเหนือมีเพียงเขาผู้เดียวที่เคยเห็นฉากน่าตะลึง คือฉากที่จักรพรรดิมารปล่อยศรแยกผาดาวตก และความรู้สึกในเวลานี้ เป็นเช่นเดียวกับที่จักรพรรดิมารปล่อยศรในครานั้น.... ราวกับว่าอากาศถูกพรากออก รวมถึงวิญญาณที่ถูกพรากตาม เหนือขึ้นไปจนสูงเสียดฟ้า ราวกับมีภาชนะมหึมากดครอบไว้ ทำให้ผู้คนแทบไม่อาจหายใจ

สำนักจักรพรรดิเหนือทุกผู้คนล้วนรู้สึกเช่นนี้ กระทั่งรวมถึงตัวตนสูงสุดอย่างยอดฝีมือเทวะเหยียนต้วนหุนและอีกสองคน เทวะสองคนที่ไล่ตามชะงักร่างกลางอากาศ สีหน้าตกใจขณะมองที่จักรพรรดิมาร ม่านตาหดลีบเท่ารูเข็มในฉับพลัน จ้องตรึงอยู่ที่มือขวาของเย่หวูเฉินที่ค่อยๆขยับเคลื่อน

เกิดความรู้สึกที่พวกเขาไม่เคยสัมผัส เป็นแรงกดดันที่พวกเขาไม่เคยจินตนาการถึง แกร่งกล้าจนแทบไร้ศัตรูใดในทวีปเทียนเฉินที่ไม่หวาดกลัว ราวกับว่าเมื่อเผชิญหน้ากับพลังนี้ ตัวตนต่ำต้อยอย่างพวกเขาย่อมไร้พลังต่อต้าน เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้น

ทว่าเป้าหมายของศรโลหิตที่พาดอยู่บนคันศรเป่ยตี้ ปลายแหลมที่มันชี้อยู่....กลับเป็นเหยียนต้วนหุน!

“ระวัง มันเคยใช้ศรนี้.... แยกผาดาวตกมาแล้ว!”

ขณะที่เหยียนซีหมิงเอ่ยปากแต่ละคำ เขารู้สึกราวกับแรงกดทับบนร่างขยายอย่างหนักหน่วง เมื่อเขากล่าวคำจบลง ก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนแทบไร้เรี่ยวแรง

ศรที่ยิงแยกผาดาวตก ในทวีปเทียนเฉินมีใครบ้างไม่รู้จักหนึ่งศรสะเทือนฟ้าของจักรพรรดิมาร เมื่อได้ยินแต่ละครั้ง ความกลัวจะทะลักล้นจนไม่อาจระงับ พลังแกร่งกล้าปานใดถึงจะแยกผาดาวตกเป็นสองเสี่ยง เวลานี้ เหล่ายอดฝีมือผู้ทอดตามองโลก ผู้ไม่รู้จักความหวาดกลัว กลับเริ่มปากสั่นอย่างคาดไม่ถึง เมื่อรู้สึกได้ว่าความตายกำลังใกล้มาถึง

“ปกป้องท่านประมุข!” สองยอดฝีมือเทวะฟื้นกลับจากความตื่นตกใจ  พวกเขาไม่พุ่งเข้าไปโจมตีเย่หวูเฉินอีก หากหมุนกายแล้วพุ่งลงมาทันที หยุดยืนอยู่ข้างเหยียนต้วนหุน พร้อมตะโกนเสียงดัง ยอดฝีมือนับสิบที่อยู่เบื้องหลังเหยียนต้วนหุนก็ตื่นจากฝันเช่นกัน ต่างพุ่งมาเบื้องหน้า ป้องกันเหยียนต้วนหุนกับเหยียนซีหมิง พลังที่พวกเขาโคจรออกมา แสดงให้เห็นว่าศรที่จะปล่อยออกมานั้นทรงพลังเพียงใด ต่อให้ผู้ที่ถูกยิงเป็นยอดฝีมือเทวะ ก็มีโอกาสอย่างมากที่จะถูกสังหาร และศรนี้กำลังเล็งไปที่เหยียนต้วนหุน พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงให้เหยียนต้วนหุนหลบเลี่ยงด้วยตัวเอง จึงใช้พลังและร่างของตนเข้าปกป้องอยู่เบื้องหน้า

เงาอันหนักหน่วงพร้อมกลิ่นอายสังหารผสานกันในอากาศ นี่คือศาสตราต้องห้ามที่แผ่พุ่งแรงกดดันอันไร้ต้าน เวลานี้ หากเย่หวูเฉินมีพลังขอบเขตเทวะ แรงกดดันที่แผ่ออกย่อมเหนือล้ำกว่านี้หลายเท่า กระทั่งอาจมากถึงสิบเท่า

สิ่งที่พวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับ ‘ศรแยกฟ้าสังหารโลหิต’ ของคันศรเป่ยตี้นี้ก็คือ แม้ว่ามันมีพลังอันไร้ที่เปรียบ แต่จุดอ่อนที่เด่นชัดคือต้องใช้เวลารวบรวมพลัง ในช่วงเวลาอันยาวนานนี้ หากเย่หวูเฉินถูกจู่โจม กระบวนท่าย่อมถูกยกเลิก และมันยังเป็นจุดอ่อนเดียวกับกระบวนท่าที่สองของคันศรเป่ยตี้

หากยอดฝีมือเทวะทั้งสองไม่ได้ตัดสินใจกลับไปปกป้องข้างกายเหยียนต้วนหุน และเลือกที่จะโจมตีเย่หวูเฉินต่อ กระบวนท่า ‘แยกฟ้าสังหารโลหิต’ ย่อมยากที่จะใช้ออก ทว่าภายใต้สถานการณ์ยามนี้ พวกเขาก็คล้ายไม่มีทางเลือกที่สอง

“ในเมื่อพวกเจ้าบังอาจหยาบคายต่อเราจักรพรรดิ เช่นนั้นพวกเจ้าจงน้อมรับโทสะของจักรพรรดิผู้นี้....”

ฟู่ม~~~~~~~

ท้องฟ้ามืดลงฉับพลัน ในสายตาทุกผู้เห็นแสงแดงก่ำพุ่งลงมายังโลก มันขยายขนาดในแววตาอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาทั่วหล้าก็เหลือเพียงแสงแดง ไร้ลมหายใจ ไร้เสียง มีเพียงความหยุดนิ่ง....

“ปกป้องท่านประมุข!!”

“ย้าก!”

“ต้านไว้!!”

“ย๊าก!”

.............

............

ตูม!!!!

เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ผืนปฐพีสั่นไหวอย่างรุนแรง ฝุ่นดินรอบทิศฟุ้งตลบขึ้นฟ้า บดบังจนไม่อาจเห็นสิ่งใดชัดเจนอีก มีเพียงเสียงฝุ่นทรายร่วงกราว และเสียงร้องโอดครวญ

.............

.............

ในอีกที่หนึ่ง

เหงื่อผุดบนหน้าผากของเล่งหยา หากมันไม่ได้ร่วงลงมา ชุดที่แนบกายเปียกโชกด้วยหยดเหงื่อ เขาขดร่างตัวเองและแทรกกายในกองไม้ที่อยู่ตรงมุม สองคู่ดวงตาหรี่ลง เงียบงันไร้เสียงและคอยฟังทุกการเคลื่อนไหวที่อยู่ด้านนอก

เขาไม่ทราบว่าตนเองเข้ามาในสำนักจักรพรรดิเหนือได้นานเพียงใดแล้ว แต่หากมีคนมาบอกว่าเขาอยู่ที่นี่ได้ครบสิบวันสิบคืนแล้ว เขาก็คงไม่สงสัย ในที่แห่งนี้ ทุกครั้งที่ก้าวเดินหรือขยับกายเพียงเล็กน้อย ล้วนเต็มไปด้วยความกดดันหนักหน่วง เป็นความเสี่ยงอันใหญ่หลวง ต้องจดจ้องทุกขณะเวลาด้วยความระวังสูงสุด ไม่กล้าเผลอแม้เพียงชั่วขณะ หากผ่านหนึ่งวันคงราวกับหนึ่งปี ไม่มีสิ่งใดที่กดดันได้เสมอเหมือน

ไกลออกไป เขาได้ยินเสียงดังอลม่านมาจากทางเหนือ ผู้คนพากันวิ่งออกไปขวักไขว่ ตรงไปยังจุดกำเนิดเสียง เขาเดาได้ทันทีว่าเกิดสิ่งใด ยามนี้เขาไร้ความกังวลหรือลังเล ดึงความสนใจกลับมาทันที และค่อยๆตรงไปยังทิศทางของคุก เสียงดังโกลาหลถึงเพียงนั้น ยอดฝีมือส่วนใหญ่ของสำนักจักรพรรดิเหนือย่อมไปรวมกันอยู่ที่นั่น และเหลือเพียงผู้ต่ำต้อยที่ประจำตำแหน่งตนโดยไม่อาจละทิ้งไปที่ใด เล่งหยาคลายความกดดันลงทันที เขาเร่งฝีเท้าขึ้น ยังคงรักษาความระวังไว้ในระดับสูงสุดไม่ผ่อนลง

เวลานี้ เขาซ่อนตัวอยู่ในกองฟืนที่อยู่ตรงข้ามกับประตูคุก หน้าปากประตูมียามเฝ้าถือกระบี่ยาวยืนอยู่สองคน ใบหน้าจริงจังไม่วอกแวก เล่งหยาขดกายอยู่ในนั้นเป็นเวลานาน ยังไม่อาจหาโอกาศเหมาะได้

นี่คือบุรุษผู้ยืนกรานถึงขีดสุด ภายใต้สถานการณ์ยามนี้ เขาควรเลี่ยงออกมาและไปยังจุดอื่น ทว่าเขายังคงรอคอยโอกาสที่จะเข้าไป

เวลาผ่านไปทีละขณะนาที เหงื่อบนศีรษะของเล่งหยาหยดร่วงบนพื้นและไม้แห้ง อาจเพราะที่นี่อยู่ใกล้กับหนองน้ำ พื้นดินยังชื้นแฉะและมีกลิ่นโคลน ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นใครเดินมาใกล้บริเวณคุกเล็กๆแห่งนี้ ซึ่งแม้มันทำให้เขาสะดวกขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาลดความระวังลง เขายังคงขดร่างซ่อนตัวอยู่ ระงับกลิ่นอายไว้ราวกับคนตาย ต่อให้มียอดฝีมือเข้าใกล้ในระยะสามก้าว หากไม่ก้มเอวลงมองดูอย่างละเอียด ก็ไม่มีทางที่จะพบเขาได้

“เฮ้! พวกเจ้าสองคน มานี่เร็วเข้า!!”

ในคุกที่เดิมทีเงียบสงบ ฉับพลันมีเสียงสตรีตะโกนเสียงแหลมออกมา ฟังจากน้ำเสียงที่ตะเบ็งแล้ว เจ้าของเสียงสมควรอยู่ห่างออกไปไกล เมื่อเสียงมาถึงเล่งหยามันเบาลงอย่างมาก ทว่าเขายังคงได้ยินชัดเจน

ชายทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าประตู เมื่อได้ยินเสียงก็มิได้มีท่าทีสงสัยใดๆ พวกเขาหันศีรษะมองกันและเผยยิ้มแห้ง จากนั้นลากกระบี่ในมือเดินเข้าไปอย่างไม่เต็มใจ มีเพียงพระเจ้าที่รู้ว่าพวกเขาเข้าไปเพื่อดูนาง หรือเพื่อฟังนางสั่งสอนกันแน่

เล่งหยาขมวดคิ้ว หัวใจกลายเป็นเงียบสงบ เมื่อพวกเขาหายไปจากสายตา ชั่วเวลานั้นเขาดีดเท้าราวพายุพุ่งตรงไปที่ประตู เมื่อไปถึงทางเข้าก็หยุดลงชั่วขณะสั้นๆ จากนั้นกัดฟันและพุ่งเข้าไป

แม้ที่นี่จะเป็นคุก ทว่ากลับไม่อาจเรียกว่าเป็นคุกได้ เพราะด้านในไม่มีลูกกรงเหล็กใดๆ ไม่มีกลิ่นเหม็นฉุน ทุกสิ่งทั้งหมดเป็นไม้ ผนัง , หน้าต่าง และประตูล้วนทำมาจากไม้ทั้งหมด พื้นปูด้วยฟางหนา หลังจากที่เล่งหยาสำรวจเพียงสั้นๆที่ทางเข้า เขาไม่พบผู้ใดอีกนอกจากชายทั้งสองคน ดังนั้นจึงเข้าไปโดยไม่ลังเล

นี่คือคุกสำหรับคนของสำนักจักรพรรดิเหนือที่ไม่ได้ทำความผิดร้ายแรง สำหรับยอดฝีมือเหล่านี้ หน้าต่างเหล็กหรือหน้าต่างไม้ก็ล้วนไม่ต่างกัน หากพวกเขาต้องการหลบหนีย่อมออกมาได้ง่ายดาย ทว่าที่คุมขังแห่งนี้คือเพื่อให้สำนึกในความผิด ดังนั้นจึงไม่มีใครบ้าพอจะหลบหนีออกมา ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกลงโทษหนักขึ้น ด้วยเหตุดังกล่าว คุกแห่งนี้จึงไม่ได้ทำขึ้นจากเหล็ก ในส่วนของคนที่กระทำความผิดใหญ่หลวง หรือคนที่ถูกจับกุมมาจากภายนอก พวกเขาจะถูกนำไปคุมขังที่คุกใต้ดินฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นที่คุมขังหนาแน่นอย่างแท้จริง

เท้าเหยียบลงบนฟางหนา เกิดเสียง ‘สวบสาบ’ ดังเล็กน้อย เขาก้าวเดินอย่างระวัง ยังคงไม่เห็นผู้ใด ในหูได้ยินเสียงสนทนาเบาบางระหว่างสตรีและสองคนนั้น เล่งหยายืนเงียบงันอยู่ชั่วขณะ แผ่ความรู้สึกสำรวจรอบๆ จากนั้นเดินไปยังต้นกำเนิดเสียงช้าๆ

เสียงสนทนาหยุดลงพร้อมกับฝีเท้าของเล่งหยาที่หยุดลงฉับพลัน เขาดีดเท้าเบาหวิว ทะยานร่างขึ้นราวกับตุ๊กแกดำ เกาะอยู่บนเพดานไม้ไว้มั่นไม่เคลื่อนไหว

ทันใดนั้น มีเสียงฝีเท้าจากที่ไกลดังเข้ามาใกล้ คนทั้งสองบ่นพึมพำอย่างขัดเคืองขณะที่เดินออกมา เพดานคุกแห่งนี้สูงมาก เมื่อพวกเขาเดินมาถึงใต้ร่างเล่งหยาก็ยังไม่รู้ตัว จากนั้นเดินห่างออกไปโดยไม่ทราบสิ่งใด พวกเขาเลี้ยวอีกสองหัวมุมและกลับไปป้องกันที่ประตูหน้า

เล่งหยามองกลับไปยังทิศทางที่สองคนนั้นเพิ่งเดินออกมา มันเป็นห้องขังไม้ ประตูห้องที่ทั้งสองเพิ่งออกมายังไม่ได้ปิด เขาไม่อาจมองเห็นคนที่อยู่ข้างใน เล่งหยาใจเต้นรัวทันที ในห้องนั้นขังสตรีไว้ เขาไม่อาจอดห้ามความสนใจ สูดหายใจบาง ค่อยๆเกาะไม้บนเพดานแล้วไต่ไปอย่างเงียบงัน เมื่อไปถึงหน้าปากประตูไม้ เขาก็ปล่อยมือออกและทิ้งกายให้ร่วงลงมา

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ร่างของเขาร่วงลงมาได้เพียงครึ่งทาง ประตูไม้ก็พลันเปิดออก เผยให้เห็นหญิงสาวร่างค่อนข้างเตี้ยในชุดเหลือง นางกำลังจะก้าวออกมา ทว่าฉับพลันก็ต้องหยุดเท้า จ้องตาค้างกับร่างที่ร่วงลงมาตรงหน้า นางกรีดร้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“อ๊า”



<<<PREV    .    NEXT>>>