วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 354

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 354 มิติวิญญาณ (1)

เย่หวูเฉินเกร็งประสาทสัมผัสพุ่งตัวขึ้นฟ้าขณะที่นางวาดมือ ดุจศรสีเงินที่พุ่งหนีการโจมตีของเสี่ยวโม่ สายลมทมิฬกวาดผ่านใต้ฝ่าเท้า นำพาอากาศเย็นกัดดุจอยู่ในหลุมน้ำแข็ง

ตูม....เสียงระเบิดดังขึ้นตามมา บ้านที่อยู่ด้านหลังเย่หวูเฉินถูกพลังทมิฬกลืนกินอย่างรวดเร็ว หลังสายลมเย็นเยียบผ่านพัด ด้านหลังก็เหลือเพียงเศษซากพังทลาย เสี่ยวโม่แหงนศีรษะมองเย่หวูเฉินที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ แค่นเสียงด้วยความโกรธ ผลักฝ่ามือสองข้างในอากาศไปทางเย่หวูเฉิน

พลังฉีกกระชากหนักหน่วงพุ่งเข้าใส่เย่หวูเฉินทันที รุนแรงจนแทบไร้พลังต่อต้าน เย่หวูเฉินราวกับกลายเป็นหุ่นเชิด ถูกดึงร่างกลางอากาศร่วงตรงมาที่เสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่เหยียดยิ้มอีกครั้ง มองเย่หวูเฉินที่ใกล้เข้ามาขณะกล่าว “พี่ชาย ตอนนี้ถึงเวลาตายแล้ว....”
เย่หวูเฉินถูกดึงใกล้เข้าทุกขณะ เขาไม่ได้ดิ้นรนใดๆ เพราะภายใต้พลังของเสี่ยวโม่ ต่อให้ดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์ ทว่าแววตาของเขาไม่ได้แตกตื่นอย่างที่เสี่ยวโม่คิดไว้ มันกลับดูคมกล้าและหนักแน่นโดยที่นางไม่อาจเข้าใจ

“เซียงเซียง เอาเลย!” เย่หวูเฉินตะโกนในใจ

จิ้งจอกมังกรที่ตื่นจากเสียงดังพุ่งออกจากอ้อมแขนของเย่หวูเฉินทันที ด้วยคำสั่งทางใจของเขา มันพุ่งเข้าใส่เสี่ยวโม่อย่างเกรี้ยวกราด จิ้งจอกมังกรรวดเร็วอย่างมาก ในการต่อสู้กับทงซินในครั้งอดีต มันรวดเร็วเสียยิ่งกว่าทงซิน เวลานี้มันใช้ความเร็วเต็มที่ กลายเป็นดุจแสงขาวที่พุ่งออกไป ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างประชิด เสี่ยวโม่จึงไม่ทันตั้งตัว เพียงตกใจก็ถูกเซียงเซียงเข้าปะทะร่างแล้ว แสงขาวสว่างวาบออกจากตัวเซียงเซียง ห่อหุ้มร่างของเย่หวูเฉินและเสี่ยวโม่เอาไว้

................

................

“แคว่ก” ปิงเอ๋อร์ฉีกผ้าเป็นเส้นยาวแถบหนึ่ง จากนั้นพันที่เท้าของเล่งหยาโดยไม่มีทีท่ารังเกียจ เล่งหยามองนางพันเท้าตัวเองด้วยแววตาสั่นไหว นางขยับมืออย่างคล่องแคล่ว ฉีกผ้าจากชุดสตรีของตนเองอีกหลายครั้ง จนเท้าของเล่งหยาถูกพันไว้หนา “หลังเท้าของเจ้าถูกแทงทะลุ ข้าไม่รู้กล้ามเนื้อเท้าของเจ้าเสียหายมากแค่ไหน แต่วางใจได้ ข้าจะทำให้พวกเขาไปเอายาดีๆมาจากแม่หมอเอง และยิ่งรวมเข้ากับพลังเพลิงวิญญาณของข้า เพียงไม่กี่วันจากนี้เจ้าก็คงหายแล้ว เฮอะ โชคดีที่เจ้าวิ่งมาเจอข้า ไม่อย่างนั้น ต่อให้เจ้าวิ่งได้ก็คงถูกจับตัว แล้วยิ่งเท้าของเจ้าใช้งานไม่ได้แบบนี้ เจ้าควรจะขอบคุณข้าไว้ให้มาก”

ปิงเอ๋อร์พันเท้าเล่งหยาเสร็จก็ตบมือเบาๆ จากนั้นกล่าว “เอาล่ะ ตอนนี้พันผ้าไว้แล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงว่าแผลจะไปโดนอะไร แต่ว่าเจ้าอย่าเพิ่งรีบขยับเท้า.... ห้ามเหยียบเท้าลงพื้นด้วย ข้าอุตส่าห์ทำแผลให้เจ้าจนเสร็จ ถ้าแผลเปิดออกอีกครั้งข้าจะไม่สนใจแล้ว”

เล่งหยา “......”

“เฮ้! เจ้าตอไม้! ต่อให้เจ้าไม่อยากพูด อย่างน้อยก็ตอบสักคำก็ได้” ปิงเอ๋อร์ผลักเท้าของเล่งหยาออกทันที เล่งหยามุมปากบิดด้วยความเจ็บปวด ตั้งแต่เขาเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ เขาหลุดรอดวิกฤตเพราะนางช่วยปิดบัง ตอนนี้นางยังช่วยรักษาให้อย่างเอาใจใส่ ความมีน้ำใจนี้ ทำให้เขาโง่งมและรู้สึกขอบคุณ ดังนั้น เขาจึงตอบนางเบาๆว่า “อืม” คำหนึ่ง

 “.....ที่แท้ก็เป็นตอไม้จริงๆ เย่หวูเฉินให้เจ้ามาที่นี่จริงๆเหรอ?” ปิงเอ๋อร์เลิกสนใจและเปลี่ยนเป็นหัวข้ออื่น นางถูกขังอยู่ที่นี่มาสามปีและไร้อิสระ ยากนักที่นางจะหาคนคุยได้ ตอนนี้เมื่อเล่งหยาอยู่ต่อหน้า นางจึงกล่าวคำไม่หยุดด้วยหัวใจที่อัดอั้น แตกต่างจากเล่งหยาที่เงียบงันอยู่ตรงหน้าโดยสิ้นเชิง

“ใช่”

“ประหลาดจริง เจ้าก็ดูเก่งกาจอยู่บ้างหรอกนะ แต่ฝีมือแค่นี้เจ้าไม่มีทางลอบเข้ามาได้.... เจ้าผ่านผงเพลิงวิญญาณเข้ามาได้ยังไง? หรือว่าเจ้าบินได้? ไม่สิ ถ้าหากบินเข้ามาจะต้องถูกตรวจจับพลังได้ทันที.... เจ้าเข้ามาได้ยังไงนะ? ใช่แล้ว เย่หวูเฉินผู้เก่งกาจคนนั้นพาเจ้าเข้ามาใช่หรือไม่? ยังมีเขาเข้ามาด้วยอีกคน....วะ ว้าว! เสียงที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ ต้องเป็นเขาทำแน่ เขาเข้ามาด้วย....”

ปิงเอ๋อร์จ้องตาโตที่เล่งหยา ขณะพูดพร่ำกับตัวเองก็มองด้วยดวงตาเป็นประกายดาราอย่างคาดหวัง เล่งหยาไม่ทราบว่าสมควรตอบอย่างไร เขาเงียบงันไม่กล่าวแม้คำเดียว กำลังครุ่นคิดว่าควรทำยังไงต่อ ทว่าปิงเอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้า จากวาจาและท่าทางของนางจนถึงตอนนี้ เขาก็มองเห็นว่านางมีจุดประสงค์ใด

ผืนดินที่สั่นสะเทือนเลือนหายไปนานมากแล้ว ไร้เสียงใดๆในคุกสงัดแห่งนี้อีก มีเพียงปิงเอ๋อร์ที่พูดจาน้ำไหลไม่รู้จบ ขณะกล่าวคำนางไม่ได้ลดเสียงลง เห็นได้ชัดว่าในคุกแห่งนี้มีเพียงนางที่ถูกขังอยู่

“ทำไมเจ้าถึงช่วยข้า?” เล่งหยามองนัยน์ตานางและเอ่ยถาม

“ฮ่าห์ ในที่สุดเจ้าเอ่ยปากบ้างซะที.... อืม ทำไมข้าถึงช่วยเจ้า? อย่างแรกเลย เพราะเจ้าตามหาคุณหนู ข้าจึงคิดทันทีว่าคนที่เก่งกาจขนาดนี้ ทั้งยังตามหาคุณหนูจะต้องเป็นเย่หวูเฉินที่คุณหนูชมชอบ อย่างที่สอง ข้าคิดว่าเมื่อเจ้ามีทางลอบเข้ามา เจ้าย่อมมีทางออกไป และข้าต้องการให้เจ้าพาข้าออกไปด้วย.... เฮอะ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเก่งกาจเพียงเล็กน้อย หากไม่มีคนอื่นคอยช่วย เจ้าก็คงเข้ามาไม่ได้ รวมถึงไม่มีทางออกไป”

เล่งหยา “......”

“ฮี่ ข้าดูแลปกป้องเจ้าอย่างดี เย่หวูเฉินต้องซาบซึ้งน้ำใจข้ามากแน่ๆ ดังนั้นเขาจะต้องพาข้าไปด้วยตอนที่มารับเจ้า ข้าถูกขังอยู่ในนี้มานานเกินไปแล้ว อยากออกไปตามหาคุณหนูเสียที ไม่รู้ว่าลูกของนางจะเกิดแล้วหรือยัง.... อ๊า ไม่สิๆ ต้องเกิดออกมาแล้ว ข้าอยากจะเห็นจังว่าลูกของนางจะน่ารักขนาดไหน....”

รอยยับย่นสามเส้นปรากฎบนหน้าผากของเล่งหยา ดูเหมือนว่า นางจะอยู่กับตัวเองและไม่มีอะไรให้ทำมานานมากเกินไป

“ถ้าเขาขี้ตืดไม่ยอมพาข้าออกไป อะแฮ่ม.... ข้าจะไม่บอกเขาว่าคุณหนูอยู่ที่ไหน ข้าคือน้องสาวสุดที่รักของคุณหนู มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าคุณหนูอยู่ไหน” ใบหน้าเล็กๆดูภูมิใจ ขณะกล่าวคำอย่างเจ้าเล่ห์

เล่งหยาคล้ายรู้สึกไร้พลัง การที่นางกล่าวคำเช่นนี้ย่อมหมายถึง.... อย่าคาดคั้นว่าคุณหนูอยู่ไหนจากข้าเสียให้ยาก! นอกจากข้าจะพูดออกมาเอง

ต่อหน้าหญิงสาวที่ช่วยเหลือและดูแล เขาย่อมไม่อาจกระทำคุกคามต่อนางในสถานการณ์นี้ แม้ว่าปิงเอ๋อร์จะดูแลเขาอย่างดี แต่นางคือผู้ที่นำเขามาสู่สถานการณ์นี้เช่นกัน หญิงสาวนางนี้มีสติปัญญาหลักแหลมไม่ธรรมดา

เล่งหยาหันมองทางเหนือและเงี่ยหูฟังเสียงจากทิศนั้น เขาไม่รู้ว่าเย่หวูเฉินค้นพบอะไรบ้าง จากเสียงเมื่อครู่นี้ เขารู้ว่าเย่หวูเฉินถูกพบตัวแล้ว แต่เขาไม่ห่วงความปลอดภัยของเย่หวูเฉินแต่อย่างใด สามารถตัดมิติพันลี้ในพริบตา ไม่ว่าสถานการณ์แบบใดย่อมไม่อาจล้อมจับเขาได้ อย่างน้อยตอนนี้ เล่งหยาก็ทำได้เพียงรอคอยให้เย่หวูเฉินหาเขาจนพบและพาออกไป ไม่อย่างนั้น ด้วยเท้าขวาที่บาดเจ็บเขาย่อมไม่อาจออกไป และต่อให้ไม่บาดเจ็บ ตัวเขาเพียงลำพังก็ไม่อาจออกจากสำนักจักรพรรดิเหนือได้ ยิ่งพาปิงเอ๋อร์ไปด้วย ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่

“พวกมันกลับมาแล้ว” เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าบางดังมาจากที่ไกล เล่งหยาก็กล่าวเสียงต่ำ

ปิงเอ๋อร์เมื่อได้ยินคำก็ลุกขึ้นอย่างรีบร้อน นางดึงเล่งหยาลุกขึ้น ประคองไปตรงมุมห้องและนั่งลง นางกล่าวอย่างจริงจัง “ตอนที่พวกเขาเดินมา ห้ามส่งเสียงเด็ดขาด เข้าใจมั้ย.... แต่วางใจเถอะ พวกเขาจะไม่เข้ามา”

นางปล่อยให้เล่งหยานั่งอยู่ตรงมุมห้องโดยไร้สิ่งปิดบัง เห็นได้ชัดว่านางมั่นใจอย่างยิ่งว่าคนอื่นจะไม่เข้ามาในห้อง เล่งหยาไม่เปลืองวาจามากนัก เขาพยักหน้าเล็กน้อย ปิงเอ๋อร์เดินผละออกมาทันที เมื่อมาถึงประตูไม้ นางก็พลิกฟางที่เปื้อนเลือด เอาฟางแห้งที่อยู่รอบๆมากลบไว้ จากนั้นหยิบกระบี่ที่เปื้อนเลือดขึ้นมา กัดฟันและหลับตาแน่น แล้วกรีดลงที่แขนตัวเอง

“เจ้า!” เล่งหยาตกใจ ขณะที่เขากำลังจะขยับกายโดยไม่รู้ตัว กระบี่ก็กรีดแขนของปิงเอ๋อร์แล้ว มีรอยแผลยาวและเลือดไหลออกมา มันหยดลงบนพื้นเล็กน้อย

“ข้าบอกว่าอย่าส่งเสียง!” ปิงเอ๋อร์สูดหายใจอย่างเจ็บปวด หากไม่ลืมทำตาเขียวดุใส่เล่งหยา นางขยับกายไปที่ประตูไม้และเคลื่อนมันอย่างรวดเร็ว

“ช่วยด้วย! พวกเจ้าสองคนรีบมาหาข้าที.... เร็วเข้า ช่วยข้าด้วย!!”

ปิงเอ๋อร์ตะโกนเสียงแหลมขณะที่ปิดประตูไม้ น้ำเสียงแฝงด้วยความเจ็บปวด ยามเฝ้าสองคนที่เพิ่งกลับมาถึงไม่อาจยืนนิ่งอยู่กับที่ พวกเขาหยุดคุยเรื่องเหตุการณ์ใหญ่ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ จากนั้นพุ่งเข้ามาทันที แม้ว่าปิงเอ๋อร์จะเป็นเพียงสาวใช้ ทั้งยังถูกขังที่นี่มานานกว่าสามปี แต่ฮูหยินแห่งประมุขออกคำสั่งเน้นย้ำว่าห้ามปฏิบัติต่อนางไม่ดี และพวกเขาสองคนย่อมไม่กล้าฝ่าฝืน

เมื่อเลี้ยวผ่านหัวมุม พวกเขาก็เห็นปิงเอ๋อร์ยืนอยู่หน้าประตู ที่เท้ามีกระบี่เปื้อนเลือดตกอยู่ แขนเสื้อของนางยังเป็นรอยเลือดสีแดง พวกเขาตื่นตกใจทันทีและตะโกนถาม “คุณหนูปิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น!”

“เฮ้! พวกเจ้ามาได้ซะที.... ฮ่าย ตอนที่ข้าฝึกกระบี่หอกหักนี่อยู่ ไม่ทันระวังตัวเผลอทำบาดตัวเอง.... พวกเจ้ารีบไปเอายารักษาชั้นยอดจากแม่หมอมาเร็วเข้า เอายารักษาภายในมาด้วย เร็วเข้า ไปเอามาเร็ว อ้อ เอามาเยอะๆยิ่งดี!”

“หา? อ่า!” เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังงุนงง พวกเขาอยากหัวเราะด้วยเหตุผลที่นางบาดเจ็บ ทว่าพวกเขาไม่อาจหัวเราะได้ เพราะไม่เข้าใจว่าเหตุใดยอดฝีมือปิงเอ๋อร์ถึงเอากระบี่มาตัดตัวเองได้.... หรือว่าเพราะอัดอั้นที่ไม่ได้จับกระบี่มานานเกินไป เลยตื่นเต้นและไม่คุ้นมือ?

ทว่าไม่ว่าจะเพราะเหตุใด ความจริงก็คือนางบาดเจ็บ และกระบี่ก็วางเบื้อนเลือดอยู่บนพื้น ทั้งสองหันมองหน้ากัน หนึ่งในพวกเขารีบวิ่งออกไป ส่วนอีกคนกล่าวอย่างหมดหนทาง “คุณหนูปิงเอ๋อร์ เจ้าทำตัวเองบาดเจ็บจริงเหรอ? ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”

“เฮ้! เจ้าไม่ได้เอาลูกกะตามาด้วยหรือไง ข้าถูกพวกเจ้าทิ้งไว้ที่นี่คนเดียว ถ้าข้าไม่ได้ทำตัวเองบาดเจ็บ งั้นก็คงเป็นเจ้าสินะ? อือ.... เจ็บชะมัด เจ้ายังจะถามข้าแบบนี้อีก?” ปิงเอ๋อร์ยกแผลขึ้นมาเลียด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว

ชายคนนั้นย่นคอลงและกล่าว “ด้วยพลังของคุณหนูปิงเอ๋อร์ แผลแค่นี้ย่อมไม่นับเป็นสิ่งใด.... แค่ก แค่ก ข้าไม่ได้ว่าเจ้านะ เดี๋ยวยาของแม่หมอก็มาแล้ว ผิวพรรณดุจทองของคุณหนูปิงเอ๋อร์ย่อมไม่เหลือแผลเป็น”

“ฮึ่ม.... จริงสิ เสี่ยวปา เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น? มีเรื่องใหญ่อันใด?” ปิงเอ๋อร์ยังทำสีหน้าเจ็บปวดอยู่ ขณะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

ทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ เสี่ยวปาก็วางสีหน้าภาคภูมิทันที เขาพยักหน้าและกล่าวอย่างจริงจัง “เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก มีคนบุกรุกเข้ามาในสำนักจักรพรรดิเหนือของพวกเรา และก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้ตัวเลย”

“เอ๋? เป็นใครกัน?” แม้ว่าจะพยายามรักษาสีหน้า แต่ปิงเอ๋อร์ก็ไม่อาจอดห้ามประกายดาราในดวงตา หากยังโชคดีที่เสี่ยวปาไม่ได้สังเกตเห็นมัน



<<<PREV    .    NEXT>>>