วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 361

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 361 หลบหนี

ระหว่างที่รอคอยด้วยความตึงเครียด เวลาก็เคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้ตัว ราตรีได้ย่างเยือนเข้ามาช้าๆ  ท้องฟ้ามืดดำด้วยเมฆทะมึน ทว่าแสงสว่างภายในสำนักจักรพรรดิเหนือยังคงเรืองรอง บางแห่งสว่างคล้ายกลางวัน

“เสี่ยวปา เสี่ยวจิ่ว มานี่หน่อย!”

เสียงเล็กแหลมของปิงเอ๋อร์ดังขึ้น เสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วปวดหัวทันที พวกเขาวิ่งเข้าไปหาอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมส่งเสียงตะโกนมาแต่ไกล “คุณหนูปิงเอ๋อร์ เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น?”

ซู่ว~~

สายลมเย็นบางผ่านพัด สำผัสที่ลำคอของพวกเขา เกิดความรู้สึกเย็นเยียบและปวดแปลบแผ่ลามที่ลำคอ พวกเขาพลันรู้ตัวถึงบางสิ่งและหยุดฝีเท้าลง หันหน้าเข้ามองกัน และพลันพบว่าที่ลำคอของอีกฝ่ายปรากฎเส้นสีแดง

เสียงตื่นตระหนกยังไม่ทันตะโกนออก สติของพวกเขาก็ดับวูบลง ดวงตาของพวกเขาเหลือกขึ้น ร่างกายร่วงลงพื้น

ปิงเอ๋อร์เดินออกมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาจดจ้องที่เล่งหยาราวกับว่าเพิ่งรู้จัก “ว้าว.... ที่แท้เจ้าก็เก่งกาจถึงเพียงนี้ เมื่อครู่เจ้ารวดเร็วมากจนข้ามองตามไม่ทัน ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าลอบเข้ามาถึงนี่ได้โดยลำพัง ทีแรกข้าอุตส่าห์กลัว แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกคลายใจลงมากแล้ว”

เล่งหยาย่อกายลง ลงมือจัดการกับเสื้อผ้าของเสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่ว

ปิงเอ๋อร์สายตาละห้อย จับมือของพวกเขาและช่วยปิดตาทีละคน สีหน้ารู้สึกผิดขณะกล่าวเสียงแผ่ว “เสี่ยวปา เสี่ยวจิ่ว.... ข้าขอโทษนะ ข้ามันเห็นแก่ตัวจริงๆ เป็นคนที่ไม่ดีเลย พวกเจ้าจะโกรธข้า เกลียดข้ายังไงก็ได้ หลังจากที่ข้าหนีออกไปแล้ว ข้าจะภาวนาให้พวกเจ้าทุกวัน ให้ได้เกิดใหม่ในชีวิตที่ดีขึ้น”

พวกเขาเปลี่ยนชุดของเสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่ว หยิบกระบี่ยาวของพวกเขา จากนั้นสงบจิตใจลงและเดินออกไปที่นอกประตู

ลมเย็นราตรีโชยกระทบสัมผัส ทว่าเล่งหยาและปิงเอ๋อร์ไม่รู้สึกเหน็บหนาวใดๆ เมื่อไร้ห้องหับคอยกำบัง ปิงเอ๋อร์ก็พาเล่งหยาเดินไปตามทาง หากถูกตรวจพบ พวกเขาก็มีแต่ตายเท่านั้น พวกเขาได้แต่ภาวนาขอให้สวรรค์อำนวยพร ขอให้หลุดรอดสายตาสำนักจักรพรรดิเหนือออกไปได้

ราตรีในสำนักจักรพรรดิเหนือเงียบสงบอย่างมาก ไร้เสียงใดๆให้ได้ยิน ไม่มีแม้กระทั่งเสียงพูดคุย แม้ว่าปิงเอ๋อร์ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวไม่คิดไม่หวนกลับ เตรียมใจที่จะตายเอาไว้แล้ว ทว่านางยังคงไม่อาจระงับหัวใจลง หัวใจยังคงเต้นกระหน่ำรุนแรง จนแทบจะเต้นออกจากลำคอ ร่างกายขยับชิดเล่งหยาโดยไม่รู้สึกตัว มือข้างหนึ่งจับเสื้อของเขาไว้แน่น

“สวรรค์โปรดคุ้มครอง ท่านพ่อท่านแม่โปรดอวยพรให้ลูกหนีรอดออกไปได้ด้วยเถิด.... หากข้าหนีออกไปได้และได้พบกับคุณหนู ข้าเหยียนปิงเอ๋อร์ภายหลังจะจุดธูปชั้นเลิศถวายทุกวัน....”

“อย่าส่งเสียง” ตรงกันข้าม เล่งหยาสงบนิ่งอย่างมาก เขาก้มหน้าผากลงเล็กน้อย สีหน้าไร้ความผิดปกติใดๆ

ปิงเอ๋อร์ตวัดตามองเขาทันที ทว่ายังคงยอมปิดปากไม่ส่งเสียงสักคำ ทั่วร่างกำลังเหงื่อตก

แสงจันทร์ส่องกระจ่าง ทั้งสองยังคงเดินต่อไปไม่หยุด ไม่ได้ปรับฝีเท้าให้เบาลงแต่อย่างใด พวกเขาก้าวย่างปกติอย่างมั่นคง หลังออกจากคุกมาแล้วก็เจอหน้าหลายคน ทว่าคนเหล่านั้นเพียงปราดตามองเล่งหยาและปิงเอ๋อร์เพียงผ่านๆ ไม่ไต่ถามถึงสิ่งใด ทั้งสองคนสวมเครื่องแบบคนใช้ที่ต่ำต้อยที่สุดในสำนักจักรพรรดิเหนือ ทำให้น้อยคนนักที่จะสนใจเอ่ยถาม แม้ว่าสำนักจักรพรรดิเหนือจะมีการป้องกันแน่นหนา ทว่าด้วยความสงบเงียบมานานจึงอาจหละหลวม ตอนนี้ หากเพียงพวกเขาตั้งใจมองปิงเอ๋อร์กับเล่งหยาให้ดี ทุกสิ่งก็จะถูกเปิดเผย

เมื่อคนพวกนั้นเดินออกห่าง ปิงเอ๋อร์ก็โล่งใจในที่สุด ยกมือทาบอกที่ยังสั่นกลัว นางกล่าวเสียงเบา “เห็นมั้ย ข้าบอกแล้วว่าวิธีนี้ต้องได้ผล....”

“อย่าส่งเสียง” เล่งหยากระซิบอีกครั้ง ไม่กี่คนที่เขาพบเมื่อครู่นั้น แต่ละคนแผ่กลิ่นอายที่ทำให้เขาต้องหวาดหวั่น.... ในสำนักจักรพรรดิเหนือย่อมไร้บุคคลที่ไร้พรสวรรค์ เย่หวูเฉินและเล่งหยาเคยฟังมาจากเหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางแล้ว ทว่าเมื่อเข้ามาในสำนักจักรพรรดิเหนือด้วยตนเอง เขาจึงรู้แจ่มแจ้งว่าสำนักจักรพรรดิเหนือแกร่งกล้าเพียงใด จำนวนยอดฝีมือที่อยู่ในนี้ มากมายจนน่าเหลือเชื่อ ตั้งแต่ลอบเข้ามาจนถึงขณะที่กำลังเดินอยู่ในตอนนี้ ทุกคนที่เขาได้พบล้วนแต่น่าตกใจ สถานที่แห่งนี้มียอดฝีมือเดินทั่ว เพียงเสียงพูดคุยเล็กน้อยย่อมพอต่อการได้ยิน

ปิงเอ๋อร์พึมพำอย่างขัดเคืองเล็กน้อย เวลานี้เอง เบื้องหน้ามีคนผู้หนึ่งค่อยๆเดินใกล้เข้ามา ปิงเอ๋อร์สัมผัสได้ว่าเล่งหยาร่างแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด

คนผู้นี้ใบหน้าเย็นชา แววตานิ่งสงบเหมือนกระบี่ ชุดดำทำให้เขากลืนเข้ากับความมืดในราตรี เวลาที่เขาเดินไร้สุ้มเสียงแม้แต่น้อย แม้เล่งหยาแผ่จิตสัมผัสระวังยิ่งยวดยังไม่อาจได้ยิน ในใจของเล่งหยาเย็นเยียบในฉับพลัน เพียงเท่านี้ก็บอกได้แล้ว ว่าพลังของคนตรงหน้าสูงส่งกว่าเขาหลายเท่า อย่างน้อย ก็ย่อมไม่ต่ำกว่าหัวหน้าผู้คุมกฎอาวุโสเหยียนเจิ้งที่ปรากฎในงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน

ขณะที่เล่งหยามองเห็น ปิงเอ๋อร์ก็มองเห็นตาม แสงสว่างจากเรือนที่ส่องมาบางเบา ทำให้นางไม่อาจมองเห็นคนผู้นั้นได้ชัด ทว่าทันทีที่เห็นชุดของเขา หัวใจนางก็ดิ่งวูบทันที รีบก้มศีรษะลง ฝีเท้ายังคล้ายชะงักงัน เล่งหยาลอบขมวดคิ้วและดึงนางเบาๆ ปิงเอ๋อร์สะดุ้งรู้สึกตัว ก้มหัวต่ำและพาตัวเองเดินตรงไปยังคนผู้นั้น

สิบเมตร ห้าเมตร.... สวนกัน

เมื่อคนผู้นั้นลับสายตาไปเบื้องหลัง ปิงเอ๋อร์ก็ราวกับตื่นจากฝันร้ายในที่สุด ทั่วร่างผุดเหงื่อเย็น ทว่านางยังไม่ทันได้ผ่อนคลายดีนัก ด้านหลังก็มีเสียงทุ้มต่ำดังเข้ามาในหู หัวใจราวกับถูกสายฟ้าฟาด

“หยุด!”

เล่งหยาและปิงเอ๋อร์หยุดเท้าทันที พวกเขาไม่ได้หันศีรษะกลับไป เพียงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้น ขบฟันไว้แน่นอย่างเงียบงัน

ชายชุดดำหันกลับมา สองตาเป็นประกายคมกล้ามองแผ่นหลังของคนทั้งสอง มุมปากแค่นเสียงเย็น “หันหน้ามา”

เล่งหยากำมือแน่น กระบี่คร่าสายลมเลื่อนลงจากแขนเสื้อช้าๆ วินาทีถัดไป เขาสามารถพุ่งร่างเข้าตัดลำคอคนที่อยู่เบื้องหลังได้ทันที

ปิงเอ๋อร์ใจเต้นโครมคราม นางแลมองที่ร่างของเล่งหยา จับมือเขาไว้และลอบหยิก ส่งสัญญาณว่าอย่าลงมือวู่วาม นางหันกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแหย “ท่านลุงชาง.... แฮะๆ ข้าเอง”

สำหรับยอดฝีมือระดับสูง ราตรีไม่อาจบดบังสายตาของพวกเขา บุรุษวัยกลางคนมองเห็นใบหน้าของปิงเอ๋อร์ได้อย่างชัดเจน เขาชะงักงันวับหนึ่ง จากนั้นสีหน้าหม่นลงทันที ทว่าในความหม่นมัวนี้ ยังแฝงความจนใจเล็กน้อย เขายิ้มฝืนและกล่าว “ปิงเอ๋อร์ เจ้ายังจะสร้างปัญหาอีก ข้าได้ยินจากท่านหญิงว่าวันพรุ่งนี้ เจ้าก็จะได้ออกจากศาลาสำนึกผิดแล้ว เหตุใดถึงยังก่อปัญหาอีก ฮึ่ม เจ้าก็รู้ว่าถ้าหากนายน้อยรู้เข้า เจ้าจะต้องถูกลงโทษสถานหนักแน่”

ปิงเอ๋อร์พลิกลิ้นกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้าผิดไปแล้ว.... ข้าเพียงแค่ไม่อาจอดใจเลยออกมาดูก่อน ท่านลุงชาง เมื่อครู่ท่านไม่ได้มองข้าแท้ๆ แล้วเหตุใดถึงรู้ว่าเป็นข้า?”

“เฮอะ!” เหยียนชางแค่นเสียงหนักคำหนึ่ง “แม้ข้าจะไม่ได้มองเจ้า แต่หัวใจเจ้าเต้นเร็วอย่างมาก ฝีเท้ายังชะงักงัน เห็นได้ชัดว่ากำลังหวาดกลัวที่จะถูกคนอื่นพบ”

“ว้าว.... ท่านลุงชางเก่งกาจจริงๆ ไม่มีอะไรซ่อนจากสายตาท่านได้ เอาละ เอาละ ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวกลับก่อน ท่านลุงชางอย่าไปบอกท่านหญิงนะ” ปิงเอ๋อร์ทำตัวเป็นเด็กดี หันกายกลับไปหาเล่งหยาและกล่าว “เสี่ยวปา กลับกันเถอะ”

“ช้าก่อน” พวกเขากำลังจะเดินจากไป ทว่าเหยียนชางกลับส่งเสียงเรียกอีกครั้ง เขากล่าวเสียงต่ำ “ปิงเอ๋อร์ เจ้ากลับไปได้ ข้าจะทำเป็นไม่เห็นสิ่งใด แต่เจ้าคนรับใช้ผู้นี้กลับขวัญกล้านัก....”

เหยียนชางไม่เพียงกล่าวคำดุดันเท่านั้น แต่หางคิ้วยังชี้ขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด สองตาเป็นประกายดำเมื่อมจดจ้องเล่งหยาดุจคมกระบี่ น้ำเสียงลดต่ำขณะตะคอกออกไป “เจ้าหันกลับมานี่”

เล่งหยาและปิงเอ๋อร์แข็งเกร็งไปทั่วร่าง ปิงเอ๋อร์รีบหันกลับมาโบกไม้โบกมือ “ท่านลุงชาง เขาคือเสี่ยวปาที่คอยเฝ้าศาลาสำนึกผิด ท่านอย่าสนใจเขาเลยนะ.... เขาถูกข้าบังคับมา ท่านช่วยละเว้นเขาสักครั้งได้ไหม?”

เหยียนชางหูดับลงเรียบร้อย เขาค่อยๆก้าวเท้าตรงมาที่เล่งหยา.... เมื่อครู่เขาสำรวจกลิ่นอายของคนผู้นี้เพียงผ่านๆ ทว่ากลับต้องตกตะลึง ในร่างของเขาไม่มีกลิ่นอายเพลิงวิญญาณ ยิ่งกว่านั้น เขายังยืนนิ่งไม่หันกายมา หัวใจยังเต้นสงบเงียบถึงขีดสุด ทั้งหมดนี้ ทำให้เหยียนชางหัวใจทะมึนลง ถึงแม้ว่าลึกๆแล้ว เขาไม่เชื่อว่าจะมีผู้ใดลอบเข้ามาในสำนักจักรพรรดิเหนือได้

“ไป!” เล่งหยาเอ่ยเสียงต่ำอย่างสงบ เขาคว้าปิงเอ๋อร์และพุ่งไปยังทิศตรงข้ามกับเหยียนชางอย่างฉับพลัน ดุจศรทมิฬที่พุ่งผ่านในม่านราตรี หายวับไปกับความมืดในทันที

เหยียนชางชะงักงันชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าทะมึนลง “เฮอะ ที่แท้ก็มีฝีมือ แต่คิดหรือจะไปไหนพ้น!!”

“ไปไหนพ้น...” คำนี้ถูกคำรามออกดังสนั่น ดุจสายฟ้าฟาดผ่านรัตติกาลอันสงบในสำนักจักรพรรดิเหนือ ปลุกผู้คนจำนวนมากที่หลับไหลให้ตื่นขึ้นมา ยอดฝีมือแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือยังไม่ทันสงบใจจากเรื่องจักรพรรดิมารเมื่อหลายวันก่อน ดังนั้น เมื่อได้ยินเสียงนี้ก็พุ่งออกมาโดยไร้ลังเลไปที่ต้นกำเนิดเสียง

ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ไม่ว่าจะเร็วเพียงใด ก็ต้องใช้เวลาเร่งความเร็วในช่วงเริ่มต้น จากศูนย์จนถึงสูงสุด ระยะสั้นๆที่ใช้ทำความเร็วคือช่วงที่ช้าที่สุดของบุคคล หากเปรียบเป็นศรธนู ก็คงเป็นช่วงจังหวะที่ปล่อยสาย ทว่าที่ทำให้เหยียนชางต้องชื่นชมจากใจ ก็คือเล่งหยาราวกับเร็วเต็มที่ทันที โดยตรงจากหยุดนิ่ง ราวกับไร้ช่วงทำความเร็ว ทั้งยังรวดเร็วเกินจินตนาการ พลังที่ระเบิดออกฉับพลัน กล่าวได้ว่าเหยียนชางเพิ่งเคยเห็น กระทั่งยอดพรสวรรค์แห่งสำนักจักรพรรดิเหนือยังไม่อาจเทียบได้สักคน

เขาไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเล่งหยาลอบเข้ามาด้วยวิธีใด แต่ในเมื่อกล้ารุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของสำนักจักรพรรดิเหนือ ก็ล้วนไม่ต่างจากการแส่หาที่ตาย!



<<<PREV    .    NEXT>>>