วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 370

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 370 เจวี๋ยเทียน (1)

เพียงไม่กี่คำของเย่หวูเฉินก่อนหน้านี้ ก็ทำให้ฉุ่ยหยุนเทียนครุ่นคิดอย่างหนัก หัวใจกระเพื่อมรุนแรง เขาไม่รู้ว่าเย่หวูเฉินจะใช้วิธีการใดเพื่อทำลายสำนักจักรพรรดิใต้ทั้งหมด แต่เขาเลือกเชื่อเย่หวูเฉินโดยไม่มีเหตุผล มันคือสิ่งที่ผู้สืบสายเลือดจักรพรรดิใต้พึงกระทำต่อจอมราชันแห่งจักรพรรดิใต้ มันประทับในกระดูกไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใด จะไม่มีวันแปรผันความภักดี

เย่หวูเฉินกล่าว “หากเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็เบาใจแล้ว” เขาหยุดชั่วขณะหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ขุมกำลังของสำนักจักรพรรดิใต้กระจายไปทั่วหล้า ความกว้างขวางของมันเจ้าย่อมรู้ชัดยิ่งกว่าข้า แม้ที่นี่จะเป็นจุดศูนย์รวม ทว่าอย่างไรก็มีคนน้อยกว่าหนึ่งในห้าส่วน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด เป็นรากฐานของสำนักจักรพรรดิใต้ที่ทอดสายตามองโลก ตราบใดที่รากฐานของสำนักจักรพรรดิใต้ถูกทำลาย สำนักจักรพรรดิใต้ทั้งหมดย่อมสับสน เป็นเวลานานไม่อาจหยัดยืนขึ้น กระทั่งอาจถึงขั้นแตกกระจัดกระจาย”

“จอมราชัน ท่านต้องการที่จะ....”

ตั้งแต่เย่หวูเฉินเข้ามาในนี้ เขาก็ใช้กระบี่หนานฮวงปล่อยเขาเป็นอิสระ แต่เขาไม่เคยเอ่ยถามถึงสถานการณ์ รวมทั้งไม่บอกรายละเอียดใดๆ เขาไม่บอกว่ารู้จักที่นี่และเข้ามาได้อย่างไร เขาไม่ได้พาตนเองออกไปจากนี่ทันที เขาไม่สนสิ่งอื่นและถามคำถามร้ายกาจ ฉุ่ยหยุนเทียนพลันรู้สึกตัวทันที ราวกับว่าเขาไม่ใช่คนที่ถูกคุมขังเป็นเวลา 23 ปีแล้วเพิ่งถูกเย่หวูเฉินช่วยไว้ ทว่าคล้ายกับเขาได้ติดตามและภักดีต่อเย่หวูเฉินมานานแล้ว เวลานี้ขณะกล่าวถึงเรื่องสำคัญของสำนัก จิตสมาธิของเขาจดจ่ออยู่กับคำพูดของเย่หวูเฉินอย่างแน่นหนา ผสานกับความปรารถนาในจิตใจที่หวังได้เห็นโลกอีกครั้ง

“วันนี้ ที่แห่งนี้.... สถานที่อันเป็นรากฐานของสำนักจักรพรรดิใต้ ต่อให้ไม่ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ อย่างน้อยก็จะถูกทำลายจนเกือบสิ้น” เย่หวูเฉินชี้ไปที่พื้น เอ่ยวาจาที่ทำให้ฉุ่ยหยุนเทียนตกใจจนไร้คำกล่าว

“นี่มัน....”

“ไม่จำเป็นต้องถามอีก อีกไม่นาน เจ้าจะได้รู้แล้ว” เย่หวูเฉินยกมือขึ้นหยุดคำ ฉุ่ยหยุนเทียนพยักหน้าเล็กน้อย ในใจสงสัยไร้สิ้นสุด หากเขาไม่ได้ถามอีก

เย่หวูเฉินยื่นมือซ้ายออก แหวนเทพกระบี่เปล่งแสง ส่งของใช้หลายอย่างที่เตรียมไว้เมื่อหลายวันก่อนออกมา หนึ่งในนั้นคือชุดท่องราตรีสีดำสนิท เช่นเดียวกับกรรไกรและหวีไม้ และสุดท้ายเรียกถังน้ำขนาดใหญ่ออกมา ไม่ต้องรอให้เย่หวูเฉินกล่าวคำ ฉุ่ยหยุนเทียนก็ทราบว่าเขาต้องทำสิ่งใด

“แหวนเทพกระบี่” ฉุ่ยหยุนเทียนมองที่มือซ้ายของเย่หวูเฉิน อย่างไรก็ตาม เขาถอนหายใจและกล่าว “ในอดีตข้าเคยพบกับอาวุโสฉู่โดยบังเอิญ และประทับใจในจิตวิญญาณของเขาเป็นอย่างยิ่ง เสียใจก็แต่ข้าไม่ได้พบเขาเร็วกว่านี้ เวลา 20 กว่าปีที่ไม่ได้เจอใคร หลายสิ่งย่อมเปลี่ยนไป ไม่ทราบจะเหลือกี่คนที่ข้ายังคงจดจำ และจะมีสักกี่คนที่ยังจำข้าได้”

เย่หวูเฉินจับมือทงซิน หันหลังกลับและเดินออกมาเล็กน้อย ด้านหลังขของเขา ฉุ่ยหยุนเทียนส่งเสียงออกมา “จอมราชัน เหตุใดพวกเราถึงไม่ออกไปทันที”

“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” เย่หวูเฉินทราบดีว่าเขาจะถามคำถามนี้ เขาไม่ได้หันกลับไปและกล่าวตอบ “ตรงนี้คือที่หลบภัยที่ดีที่สุด เมื่อเรื่องทุกอย่างซาลง ข้าจะพาเจ้าออกไป ตอนนี้ที่เจ้าต้องทำคือเปลี่ยนชุดทันที หลังจากวันนี้ ผู้คนจะไม่รู้ว่าเจ้าจากไปแล้ว จะเพียงคิดแค่ว่าเจ้าได้ตกตาย ยิ่งกว่านั้น ลูกชายเจ้าฉุ่ยอู๋เชวยังอยู่กับข้า ภรรยาเจ้าฉุ่ยฟู๋เอ๋อร์ถูกนำตัวไปเมื่อสองวันก่อน ลูกสาวเจ้าฉุ่ยเมิ่งฉานลอบพานางออกไปจากสำนักจักรพรรดิใต้ ศพของเหล่าคนที่ภักดีต่อบิดาเจ้าได้ถูกย้ายออกไปแล้วเช่นกัน ดังนั้น เรื่องที่จะเกิดขึ้นกับสำนักจักรพรรดิใต้ในวันนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใด”

หลังจากได้ฟังคำของเย่หวูเฉิน สิ่งรบกวนในใจของฉุ่ยหยุนเทียนก็ถูกปัดเป่าหายไปทันที.... กลายเป็นว่า ทุกสิ่งที่เขากังวลในตลอดหลายปีมานี้ ได้ถูกจัดการด้วยวิธีการอย่างดียิ่ง ดังนั้น ไม่ว่าวันนี้สำนักจักรพรรดิใต้จะประสบสิ่งใด เขาก็ไม่จำเป็นต้องห่วงอีก ต่อให้ทั้งสำนักถูกทำลาย ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเขา.... เพราะนี่ไม่ใช่ ‘สำนักจักรพรรดิใต้’ ของเขาอีกต่อไป ความเกลียดชังหลายปีได้ฝังลึกลงกระดูกดำ หากที่นี่ถูกทำลายสิ้น ตรงกันข้ามเขาคงรู้สึกยินดี

เสียงน้ำกระฉอกเริ่มดังขึ้น ฉุ่ยหยุนเทียนชำระร่างและสระผมด้วยร่างกายที่สั่นเทาเล็กน้อย เพราะเขารู้ว่า นับจากวันนี้ไป เขาฉุ่ยหยุนเทียนจะได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เขาสามารถรวบรวมทุกสิ่งที่สมควรเป็นของตนกลับคืนมา และปลดปล่อยตัวเองจากความชิงชังที่สั่งสมในจิตใจมากว่า 20 ปี

เย่หวูเฉินอุ้มทงซินขึ้นจากพื้น นางซุกศีรษะเล็กๆไว้ในอก มองตรงไปยังแสงเลือนรางเบื้องหน้า เขากล่าวอย่างอ่อนโยนที่ข้างหูนาง “ทงซิน.... หากวันนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้น เจ้าต้องคอยปกป้องเสวี่ยเอ๋อร์ไว้ รู้ใช่มั้ย?”

ทงซิน “.....”

ในอดีต เมื่อฟังคำพูดของเย่หวูเฉินบางครั้งนางจะไม่เข้าใจ นางเพียงมองเขาด้วยแววตาที่สงสัย ทว่าวันนี้ นางซุกร่างตัวเองในอ้อมแขนของเขา เอามือจับเสื้อของเขาไว้แน่น ไม่รู้ตัวเลยว่ากำแน่นจนเสื้อเขาขาด แม้ว่านางรู้ช้ากว่าเย่หวูเฉินมาก แต่นางยังคงสัมผัสได้ถึงวิกฤตการณ์ที่กำลังใกล้มาถึง นางเริ่มตระหนักได้ว่ามันคือสิ่งใด กริชเทพพิโรธเล่มเล็กที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อนาง ยามนี้สะท้อนรังสีกระหายเลือดอย่างโหดเหี้ยม

เวลาไหลผ่านทีละขณะ ทุกวินาทีช่างยาวนานนัก เย่หวูเฉินรอคอยอย่างเงียบงัน นอกจากจะหวังให้เวลาเคลื่อนผ่านช้าลง ตรงกันข้ามยังหวังให้เวลาเคลื่อนผ่านราวกับโบยบิน เพื่อจะได้จบเรื่องหายนะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

เวลานี้ สำนักจักรพรรดิใต้ไม่ได้เงียบสงัด มีเสียงทำงานทุกประเภทเพื่อซ่อมแซมความเสียหายที่ทงซินและสี่สุดยอดแห่งสำนักจักรพรรดิใต้สร้างไว้ ไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าสตรีเทพพิโรธได้เข้ามาในสำนักจักรพรรดิใต้แล้ว ไม่มีใครคาดคิดว่าหายนะครั้งใหญ่กำลังจะหล่นใส่หัวสำนักจักรพรรดิใต้

“จอมราชัน”

เมื่อได้ยินเสียงเรียก เย่หวูเฉินก็หันศีรษะกลับไป มองดูฉุ่ยหยุนเทียนที่แต่งกายเรียบร้อยแล้ว เขาสลัดชุดขาดวิ่นทิ้งจากร่าง แทนที่ด้วยชุดท่องราตรีที่พอดีตัว ผมเผ้าและหนวดเครายาวที่ห้อยรุงรังมากว่า 20 ปีได้ถูกตัดออกอย่างเรียบร้อย ทั่วร่างตอนนี้ไร้ความสกปรกมอมแมมอีก

“ที่แท้ก็เหมือนกันจริงๆ” เย่หวูเฉินจ้องฉุ่ยหยุนเทียนที่อยู่ตรงหน้า กล่าวคำพลางถอนหายใจ

20 กว่าปีที่ไม่ได้เห็นแสงตะวัน ทั่วร่างของเขาขาวซีดไร้สีสัน ทว่าไม่อาจปิดบังความองอาจที่สืบทอดมาแต่กำเนิด ร่างกายได้รูปทรงสมส่วน ใบหน้าผ่าเผย คิ้วตรงปลายชี้ขึ้นเล็กน้อย ลักษณะไม่ได้ก้าวร้าวด้วยโทสะ ทว่าองอาจดุจผืนน้ำ ทั้งลักษณะและหน้าตาล้วนเหมือนกับฉุ่ยหยุนหลันที่เย่หวูเฉินเคยเห็น ทว่าเขาคนนี้ คือฉุ่ยหยุนเทียนผู้เป็นประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ที่แท้จริง

“เหตุบังเอิญอัศจรรย์นี้ ทำให้เจ้าต้องพบหายนะครั้งใหญ่ เจ้าเคยเกลียดชังโชคชะตาที่นำพาเจ้าเป็นอย่างทุกวันนี้หรือไม่?” เย่หวูเฉินถอนหายใจ

ฉุ่ยหยุนเทียนยิ้มกล่าว “เพราะข้าและเจ้าบัดซบฉุ่ยหยุนหลันมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิด พวกมันเลยอาศัยจุดนี้เพื่อวางแผน ทว่าต่อให้ไม่มีเหตุบังเอิญอัศจรรย์นี้ พวกมันก็คงเลือกใช้วิธีอื่นอยู่ดี แต่ว่า.... บรรพชนข้าไม่รู้กี่ชั่วรุ่นตามหาจอมราชันอย่างยากลำบาก หลายพันปีไม่เคยบรรลุผล ข้ากลับมีวาสนาได้เจอจอมราชันและกระบี่หนานฮวง ชั่วชีวิตของข้านี้ ต่อให้ประสบเรื่องเลวร้ายก็นับว่าสวรรค์เมตตาแล้ว”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เย่หวูเฉินหัวเราะ ถอนหายใจและกล่าวอย่างชื่นชม “นั่นสินะ สมแล้วที่เป็นประมุขแห่งสำนักจักรพรรดิใต้”

ฉุ่ยหยุนเทียนส่ายศีรษะ และกล่าวอย่างจริงจัง “เทียบกับจอมราชันแล้ว ข้ายังคงห่างไกลนัก สามารถได้รับการยอมรับจากกระบี่หนานฮวง....”

ฉุ่ยหยุนเทียนกล่าวคำยังไม่ทันจบ ก็เห็นเย่หวูเฉินหันร่างฉับพลัน หัวคิ้วขมวดมุ่นแหงนหน้ามองตรึงขึ้นบนฟ้า ใบหน้าสงบนิ่งเผยความกดดันหนักหน่วง ทงซินที่ซุกอยู่ในอกยังเงยหน้าขึ้นฉับพลันเช่นกัน สองม่านตาเป็นประกายทมิฬน่าหวาดหวั่นทันที

ฉุ่ยหยุนเทียนทราบทันทีว่าทั้งสองพบบางสิ่ง ฉับพลันนั้นมีเสียงลั่นขึ้น ทำให้รับรู้กันทั่วทุกบริเวณ

เวลานี้เอง เหนือท้องฟ้าสำนักจักรพรรดิใต้ มีแขกผู้หนึ่งมาเยือนอย่างคาดไม่ถึง การมาของมัน ทำให้สำนักจักรพรรดิใต้ตั้งแต่สูงยังต่ำที่ยังไม่ทันลืมเงาสตรีเทพพิโรธเกิดความแตกตื่นทันที ยิ่งกว่านั้น การแต่งกายคนผู้นี้....

เกราะหนาสีม่วงสวมทับอกและขา ข้อมือสองข้างสวมห่วงสองเส้น ใต้เท้าสวมรองเท้าบูทสงครามสีม่วง ครึ่งแขนและครึ่งขาทั้งสองข้างเผยออกมา ปรากฎเป็นผิวเรียบดุจโลหะ ศีรษะสวมหมวกเกราะสีม่วง ใต้หมวกเกราะนั้น เป็นใบหน้าธรรมดา ทว่าภายใต้ใบหน้าธรรมดานี้ ราวกับว่าซ่อนพลังลึกล้ำไร้ต้านอยู่ ทำให้ผู้คนที่ได้เห็นเพียงปราดตา ต่างรู้สึกกดดันจนยากจะหายใจ

ร่างของมันชรากว่าผู้คนโดยเฉลี่ย ประมาณจากสายตาคนผู้นี้สูงมากกว่าสามเมตร ในมือถือหอกยาวพอประมาณ รอบหอกมีประกายปลาบแปลบของสายฟ้าสีม่วง ผสานกับเสียงแตก “เปรี๊ยะ” ของสายฟ้า ด้านหลังของเขา เป็นผ้าคลุมไร้ปกสะบัดพัดในอากาศ ราวกับเทพที่ร่วงลงจากฟ้า ทอดสายตาแกร่งกล้ามองหยันหมื่นชีวิตเบื้องล่าง

การปรากฎตัวของมันนำพาแรงกดดันท่วมฟ้า ผู้คนในสำนักจักรพรรดิใต้ ทั้งฉุ่ยหลุนหลันและหลายคนที่ปิดตัวรักษาตนเมื่อหลายวันก่อน ตลอดจนถึงคนใช้ทุกผู้คน เวลานี้สีหน้าแปรเปลี่ยนทันที ในหมู่พวกเขา ไร้ผู้ใดเคยสัมผัสแรงกดดันรุนแรงถึงเพียงนี้มาก่อน รวมถึงไร้ผู้ใดเคยคิดฝัน ว่าหนึ่งคนผู้เดียวจะแผ่แรงกดดันได้ถึงเพียงนี้

สามารถอยู่ในศูนย์กลางสำนักจักรพรรดิใต้ แน่นอนล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งหมด พวกเขาพุ่งออกจากห้องด้วยสีหน้าแตกตื่นมองขึ้นไปที่คนบนฟ้า.... ท้องฟ้ากระจ่างชัดไร้เมฆ หากกลับรู้สึกถึงเงาทะมึนที่ครอบคลุมท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน แผ่ความกดดันร้ายกาจบีบคั้นหัวใจคนทุกผู้

ตำแหน่งที่มันลอยตัวอยู่นั้นสูงลิ่ว สำนักจักรพรรดิใต้จ้องมองขึ้นไปขณะที่มันจ้องมองลงมา มีเพียงสายตาของมันที่เคลื่อนไหว ราวกับกำลังมองหาบางสิ่ง

แม้เห็นได้ชัดว่าไร้การเคลื่อนไหว หากแรงกดดันกลับทำให้เหล่ายอดฝีมือหวาดกลัวจับจิต แต่ละคนหอบหายใจ ไม่ทราบสูญเสียพลังมากกว่ายามปกติกี่เท่า แรงกดดันนี้ เมื่อเทียบกับสตรีเทพพิโรธที่แผ่พลังทมิฬกลับน่าหวาดหวั่นกว่าไม่รู้กี่เท่า

เหล่ายอดฝีมือแห่งสำนักจักรพรรดิใต้หลั่งเหงื่อเย็นเยียบบนหนังศีรษะ เสียงเหงื่อหยดเริ่มได้ยินกระจ่างชัดขึ้น ไม่มีผู้ใดในสำนักจักรพรรดิใต้กล้ากล่าวคำ ใครจะเชื่อว่าจะมีตัวตนเช่นนี้ดำรงอยู่

และตอนนี้ ตัวตนนั้นได้ปรากฎต่อหน้าพวกเขาแล้ว

มัน....เป็นใคร!?



<<<PREV    .    NEXT>>>