วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 377

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 377 ร่างอัสนีเทวะ

ไม่นานนักสายฟ้าก็เริ่มจางลง ในชั่วไม่กี่อึดใจหลังสายฟ้าสลายไปจนสิ้น เหนือผืนดินยังคงมีเสียงสายฟ้าแตก ‘เปรี๊ยะ’ ลั่นอยู่ทุกทิศทาง ผืนดินเป็นสีดำเป็นวงกว้าง ทั่งอาณาบริเวณสำนักจักรพรรดิใต้ไม่มีผู้ใดยืนอยู่อีก ผู้ที่เหลือรอดจากสายฟ้าระลอกสองมีอยู่ไม่ถึงหนึ่งในสิบ ทว่าทั้งหมดไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ทั้งหมดบาดเจ็บไม่มากก็น้อย ต่างนอนนิ่งอยู่กับพื้นด้วยแรงกระแทกของสายฟ้า ร่างกายอยู่ในสภาพน่าอเนจอนาถ

โลหิตจากแขนซ้ายยังคงหยดลง ความเจ็บปวดยังเสียดแทงไม่เคยหยุด ทว่าเจ็บกายยังไม่อาจเทียบได้กับโทสะในใจที่แทบระเบิดออก แม้แต่ในทวีปเทวะ มันยังนับเป็นตัวตนที่ผู้คนหวาดกลัว เป็นหนึ่งในแปดเทพขุนพลใต้บัญชาเทพจักรพรรดิ ชีวิตผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน มีทั้งชนะและพ่ายแพ้ แต่ไม่มีครั้งใดบาดเจ็บสาหัสอย่างวันนี้ ภายใต้น้ำมือมนุษย์ต่ำต้อยในทวีปเทียนเฉิน มันกลับต้องสูญเสียแขนข้างหนึ่งอย่างคาดไม่ถึง

ความโกรธสุมแน่นพร้อมกับความอัปยศ ไม่สำคัญอีกแล้วว่าองค์หญิงเฮยเย่จะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ มันลืมกระทั่งเหตุผลที่ตัวเองปรากฎตัว เพียงหวังสังหารผู้คนในนี้ให้หมดสิ้นด้วยวิธีการโหดเหี้ยมที่สุด....

เมื่อมองเห็นมนุษย์ที่ยังไม่สิ้นชีวิต เจตนาสังหารในหัวใจที่ยังไม่จางลงก็พวยพุ่งขึ้นอีกครั้ง ส่งเสียงต่ำช้าๆดุจภูติผีชั่วร้าย “ขุมนรก....รอพวกเจ้าอยู่....”

“อัสนีโลกันตร์ดับวิญญาณ!”

สี่คำเหล่านี้ คือสี่คำสุดท้ายที่เหล่าผู้โชคดีรอดชีวิตแห่งสำนักจักรพรรดิใต้จะได้ยิน

ร่างของเจวี๋ยเทียนกลายเป็นสีม่วง หอกยาวในมือมีสายฟ้าสีม่วงพันรอบ.... มันค่อยๆขยายขึ้น เห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า หอกยาวขยายออกจนยาวหลายเมตร เป็นสิบเมตร และหลายสิบเมตร

เหนือด้ามหอกยาว สายฟ้าที่พันรอบยิ่งหนาแน่น ราวกับแผ่นฟ้าและปฐพีถูกพลังน่าสะพรึงห่อหุ้มใกล้ถล่มลง อากาศหยุดไหลเวียน ฝุ่นที่ลอยฟุ้งถูกกดไว้จนไม่ปรากฎให้เห็นในตอนนี้

หนึ่งร้อยเมตร!

หอกม่วงขยายออกจนยาวร้อยเมตร ความหนาของด้ามหอกหนาเกินกว่าร่างของเจวี๋ยเทียน เจวี๋ยเทียนแค่นเสียงโหดเหี้ยมมองยังมนุษย์ที่ตื่นตระหนกอยู่เบื้องล่าง มันเหวี่ยงหอกยาวร้อยเมตรด้วยมือเดียวลงพื้นเบื้องล่าง

ตูม!!!!

หอกร่วงปะทะพื้นดินจนสั่นไหว โลกโดยรอบถูกบดบังด้วยฝุ่นเหลือง แผ่นดินกระจายขึ้นสูงหลายสิบเมตร สำนักจักรพรรดิใต้ที่ยังมีสิ่งก่อสร้างหักพังหลงเหลืออยู่ ตอนนี้กลายเป็นธุลีปลิวว่อนโดยสมบูรณ์ ไม่หลงเหลือสิ่งใดอีก

สำนักจักรพรรดิใต้ในระยะหลายลี้ ผืนดินได้ยุบลงหลายสิบเมตร เป็นเจวี๋ยเทียนที่ทำลายผืนปฐพี!

ก้อนหิน , ซากศพ , อาวุธที่แตกหัก , ฝุ่นทราย.... ทุกอย่างกระจายขึ้นสูง ผสมรวมกันชั่วคราวในอากาศ เมื่อขึ้นไปถึงจุดสูงสุดก็หยุดค้างชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นร่วงลงกลับสู่ผืนปฐพี

เมื่อฝุ่นทรายตกลงมา ผู้คนสำนักจักรพรรดิใต้ก็ถูกฝังกลบอยู่ใต้นั้น ในสายตาที่เห็น เหนือผืนดินไม่อาจพบมนุษย์และรอยเท้าใดๆได้อีก มีเพียงเศษชุดฉีกขาดที่ปลิวว่อนตามสายลม

ผืนดินถูกทำลายและลบล้าง ทั้งสำนักจักรพรรดิใต้ราวถูกแผ่นดินพลิกกลับ ไม่เพียงหมู่ตึกขุนเขาจักรพรรดิใต้ที่ถูกทำลาย ทุกผู้คนในสำนักจักรพรรดิใต้ ไม่ว่ามีชีวิตหรือตกตายต่างถูกฝังลึกอยู่ในใต้ผืนดิน กระทั่งกำแพงผูผาแข็งแกร่งที่ล้อมรอบสำนักจักรพรรดิใต้ซึ่งสร้างขึ้นจากภูมิปัญญาบรรพชนหลายชั่วรุ่นยังทำลายลง หมอกพิษหยกวารีขนาดใหญ่ยังสลายไปไม่เหลือซาก

สำนักจักรพรรดิใต้ ดินแดนที่มีขุมกำลังแกร่งกล้าสูงสุดในทวีปเทียนเฉิน บัดนี้เปลี่ยนเป็นดินแดนล่มสลายจนหมดสิ้น

และนี่เกิดจากฝีมือของคนเพียงผู้เดียว.... ไม่สิ นี่ไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เป็นเทพ เทพจากทวีปเทวะ ทุกสิ่งที่มันสร้างผลงานไว้ เป็นข้อพิสูจน์ว่ามนุษย์กับเทพนั้นห่างชั้นกันเพียงใด

ซู่....

ซู่....

ซู่....

หอกยักษ์ที่เพิ่งสร้างเรื่องสะเทือนฟ้า ตอนนี้หดกลับสู่ขนาดเดิม เจวี๋ยเทียนลอยตัวอยู่บนอากาศ มองลงมาบนผืนดินราบทลายด้วยใบหน้าภาคภูมิ ร่างใหญ่โตและตั้งตรงตอนนี้โค้งงอลงเล็กน้อย ในปากปล่อยเสียงหอบหายใจเสียงดังขึ้น ตรงแขนซ้ายที่ขาดออกมีเลือดไหลไม่หยุด การโจมตีเมื่อครู่คือพลังสูงสุดที่มันสามารถปลดปล่อยได้ในยามนี้ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือบาดแผลสาหัสที่ปริออกอีกครั้ง

แต่ว่า.... ที่นี่ไม่มีคนรอดชีวิตอีกแล้วจริงๆหรือ?

เจวี๋ยเทียนที่หอบหายใจหนักเงยหน้าขึ้นฉับพลัน หันขวับไปทางทิศตะวันตก เหนืออากาศตรงนั้น ไม่ทราบว่าเมื่อใดที่ปรากฎร่างของสองบุคคล เนื่องจากมีระยะห่างที่ไกลมาก ดังนั้นในสายตาจึงเห็นเป็นเพียงสองจุด ทว่ามันยังไม่ปรับสายตาให้มองชัด ใบหน้ามันก็ต้องกลับกลายครั้งใหญ่

กลิ่นอายขององค์หญิงเฮยเย่.... นี่คือเป้าหมายที่มันมายังทวีปเทียนเฉิน กลิ่นอายขององค์หญิงเฮยเย่!

มันหยัดกายตรงขึ้นด้วยร่างที่สั่นเล็กน้อย ทั่วร่างระเบิดพลังออกพุ่งตรงไปยังทิศตะวันตก ในพริบตาเดียว มันก็หยุดร่างลงห่างจากสองเงาร่างนั้นหลายเมตร สายตากวาดผ่านเย่หวูเฉินอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นจับจ้องที่ทงซินไม่ละวาง หลังจากแปลกใจชั่วสั้นๆ มันก็สัมผัสจากกลิ่นอายและเห็นมือนางขยับ เพียงเห็นขอบคมของปลายกริชสีแดงโลหิต คิ้วของมันก็มุ่นลง และกล่าวเสียงต่ำ “องค์หญิงเฮยเย่.... ในที่สุดข้าก็พบท่าน”

เย่หวูเฉิน “......”

ทงซิน “......”

ผืนดินถูกทำลายบังคับให้ทั้งสองออกมาในที่สุด ทว่าถึงแม้ไม่มีการจู่โจมของเจวี๋ยเทียนจากเมื่อครู่ นี่ก็เป็นเวลาที่ทั้งสองต้องออกมาอยู่ดี สำนักจักรพรรดิใต้ย่อยยับโดยแลกกับเจวี๋ยเทียนที่ต้องสูญเสียพลังมหาศาลไป ทำให้มันต้องเสียแขนหนึ่งข้าง สภาพของเจวี๋ยเทียนในยามนี้ คือเหลือพลังราวหนึ่งในสิบส่วนหรืออาจไม่ถึง

ทว่าพลังเพียงหนึ่งในสิบส่วนยังคงนับว่าน่าหวาดกลัวยิ่ง เพียงการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงลิ่วของเจวี๋ยเทียนและพลังกดดันหนักหน่วงดุจขุนเขาของมัน ก็ทำให้เย่หวูเฉินลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ผู้น้อยคือแปดเทพขุนพลแดนใต้เจวี๋ยเทียน.... องค์หญิงเฮยเย่ เทพจักรพรรดิตรัสว่าท่านสูญเสียความทรงจำ ย่อมไม่อาจจดจำข้าได้.... แฮ่ก.... แฮ่ก.... โปรดอภัยที่ผู้น้อยเสียมารยาท วันนี้ไม่ว่าอย่างไร ผู้น้อยก็ต้องพาองค์หญิงเฮยเย่กลับไปให้จงได้!”

การตายของลู่เทียนเมื่อสามปีก่อนทำให้มันระวังตัวยิ่ง มันไม่คิดที่จะโน้มน้าวทงซิน ทว่าสูดหายใจลึกและปรับสมดุลพลังเทพที่เหลืออยู่ มันไม่ลังเลอีกต่อไป และพุ่งตรงไปที่ร่างของทงซิน

“ทงซิน....”

เย่หวูเฉินถูกผลักออกไปอย่างอ่อนโยน จากนั้นทงซินพุ่งไปข้างหน้าทิ้งเงาเส้นสีดำไว้เบื้องหลัง ผสานกับเส้นแสงสีแดงคมกริบ เหวี่ยงวาดฉับพลันเข้าใส่ร่างเจวี๋ยเทียน

เห็นองค์หญิงเฮยเย่จู่โจมใส่ตนเองอย่างไร้ปราณี เจวี๋ยเทียนไม่แปลกใจเท่าใดนัก มันแค่นเสียงหนัก แทงหอกยาวโดยไม่สนการโจมตีของทงซิน แทงตรงไปที่ร่างของนาง

สายลมแรงกล้าวาดเข้ามาใกล้ ทงซินไม่หลบเลี่ยง แทงกริชเทพพิโรธตรงเข้าใส่ปลายหอก.... ปลายแหลมของสองศาสตราปะทะกัน เสียงโลหะกระทบกันดังเสียดโสต สายฟ้าสว่างวาบพร้อมกับคนทั้งสองที่ถอยออกจากกัน ทิ้งระยะห่างกันหลายสิบเมตร

ติ้ง!

ที่ปลายคมหอกสายฟ้าสีม่วง เกิดรอยแตกร้าวอย่างฉับพลัน ภายใต้เสียงบาง มีเศษชิ้นโลหะเล็กๆร่วงลงมา ที่ปลายหอกนั้น ปรากฎเป็นรอยบิ่นเล็กน้อย

ทว่าที่มือของทงซินกำลังสั่นเทา มีเลือดไหลออกมาอย่างเงียบงัน หยดลงจากปลายกริชเทพพิโรธ

“นึกไม่ถึงเลยว่า.... แฮ่ก.... แฮ่ก.... องค์หญิงเฮยเย่ที่ร้อยปีก่อนพลังไม่ด้อยกว่าข้า ตอนนี้พลังกลับลดลงได้ถึงเพียงนี้....” อาวุธเป็นรอยบิ่นเล็กน้อย เจวี๋ยเทียนไม่ได้ตกใจ สีหน้าภาคภูมิยังดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย ลมปราณระงับลงอย่างสงบ มันยืดกายตรงและกล่าวคำแผ่วเบา “ผู้น้อยแม้ว่าไม่ต้องการทำอันตรายต่อองค์หญิงเฮยเย่ แต่บัญชาขององค์เทพจักรพรรดิถือเป็นที่สุด วันนี้ ผู้น้อยต้องขอล่วงเกิน เมื่อใดที่องค์หญิงเฮยเย่ฟื้นคืนพลังและความทรงจำแล้ว ผู้น้อยจะขอน้อมรับทุกการลงโทษ”

เย่หวูเฉินถูกพลักไปไกลกว่าร้อยเมตรด้วยพลังอ่อนโยนของทงซิน เขาลอยอยู่กลางอากาศมองฉากตรงหน้าอย่างสงบ เมื่อครู่นี้หลังจากตรวจสอบการปะทะกันของทงซินและเจวี๋ยเทียน ปราดตาแรกที่เห็นอย่างชัดเจนคือทั้งสองมีพลังเสมอกัน ซึ่งจริงๆก็ควรเป็นเช่นนั้น ถูกโจมตีโดยไพ่ตายสุดท้ายของสำนักจักรพรรดิใต้ถึงสองครั้ง สูญเสียพลังอย่างมากและบาดเจ็บหนัก ใช้แขนข้างเดียวปลดปล่อยพลังสะเทือนฟ้าต่อเนื่องสองครั้ง มันในเวลานี้กลับมีพลังเท่าเทียมกับทงซิน

แล้วเหตุใดยามนี้มันถึงได้มั่นใจอย่างประหลาด.... หรือว่ามันยังไม่ได้ใช่ไพ่สุดท้ายในมือ?

หัวใจของเย่หวูเฉินหนักอึ้งในทันที สายตาจับจ้องไปเบื้องหน้า ไม่เคลื่อนไหวร่างกายแม้แต่น้อย

เจวี๋ยเทียนเหยียดร่างและกล่าวคำช้าๆ “ไม่ทราบว่าองค์หญิงเฮยเย่ยังจำเรื่องนี้ได้หรือไม่ เมื่อใดที่พลังบรรลุถึงระดับอย่างพวกเรา เคล็ดต้องห้ามจะตื่นขึ้นในกายเราโดยอัตโนมัติ องค์หญิงเฮยเย่ครอบครองเคล็ดต้องห้าม ‘ผีเสื้อดำเด็ดสังหาร’ เล่าลือกันว่าเมื่อผสานกับกริชเทพพิโรธ ปลดปล่อยความเกลียดชังและโทสะจนถึงขีดสุด จะสามารถสังหารเทพและปีศาจได้ในพริบตา องค์หญิงเฮยเย่ แม้ว่าท่านไม่เคยใช้มันมาก่อน ทว่าเคล็ดน่าหวาดหวั่นของท่านคือหนึ่งในสามเคล็ดเทวะต้องห้ามที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเทวะ อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้แต่ครั้งจะมีผลสะท้อนกลับ อย่างเช่นเมื่อองค์หญิงเฮยเย่ใช้เคล็ดผีเสื้อดำเด็ดสังหาร พลังของท่านจะหมดสิ้นไปชั่วเวลาหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่อาจขยับตัวได้เป็นเวลานาน ในขณะที่ของผู้น้อย.... คือ....”

“ร่างอัสนีเทวะ!!”

สามคำหลุดออกจากปากของเจวี๋ยเทียนช้าๆ เมื่อคำสุดท้ายจบลง สายฟ้าสีม่วงก็พวยพุ่งออกจากร่างของเจวี๋ยเทียน

เปรี้ยง!

พลังระเบิดออกพร้อมเสียงสายฟ้า ใจกลางร่างเจวี๋ยเทียนราวกับมีพายุบ้าคลั่ง เกราะม่วงที่แตกทำลายปลิวกระจายในพริบตา ทงซินยกมือขึ้นป้องร่างโดยสัญชาตญาณ พลังกระแทกของสายลมทำให้ร่างบอบบางยากจะทนต้าน นางถูกผลักให้ถอยไปหลายสิบเมตรอย่างยากจะฝืน มือขวาจับกริชเทพพิโรธกระชับไว้มั่นอย่างเงียบงัน


เกราะม่วงบนร่างเจวี๋ยเทียนได้หายไป กระทั่งเสื้อผ้าใต้เกราะยังฉีกออก บนร่างเหลือเพียงผ้าชิ้นเดียวที่บดบังไว้ รวมถึงรองเท้าบูทที่ยังคงอยู่บนเท้าขวา ผมสีดำยาวปานกลางกระจายชี้บนศีรษะ ผิวดุจโลหะปรากฎรอยแตก ที่แม้ไม่ลึกมากแต่เป็นแขนงดุจใยแมงมุม มันเกิดขึ้นตอนที่ถูกโล่หยกวารีสังหารเทพแห่งสำนักจักรพรรดิใต้โจมตีครั้งแรก และทิ้งบาดแผลไว้เบื้องหลัง

สิ่งที่เห็นเด่นชัดที่สุดในตอนนี้ คือร่างกายและผมเผ้า รวมถึงหอกยาวในมือ ที่ปะทุด้วยสายฟ้าสีม่วงหนาแน่น ดวงตายังสาดประกายด้วยแสงสีม่วงน่าหวั่นกลัว



<<<PREV    .    NEXT>>>