วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 386

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 386 หิมะขาวโพลน

ที่นี่คือตอนใต้ของอาณาจักรชางหลาน หากยังคงสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความหนาวเย็น

นี่เป็นสถานที่ที่อยู่ใกล้อาณาจักรชางหลานมากที่สุดที่เย่หวูเฉินเคยมา แม้ว่าเขาไม่เคยไปเยือนอาณาจักรชางหลานมาก่อน แต่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเสวี่ยเฟยเยี่ยน เขาจึงตรวจสอบที่ตั้งของวังสตรีหิมะในปีที่ผ่านมา แม้ว่ายามนี้ดวงตาจะมืดบอดลง แต่แผนที่ยังคงปรากฎชัดในใจ เขากำหนดเส้นทางที่จะนำไปสู่วังสตรีหิมะ

เสวี่ยเฟยเยี่ยน.... รอยยิ้มเจ้าเล่ห์และทรงเสน่ห์ยั่วยวนดึงดูดจิต เขามักนึกถึงนางอยู่บ่อยๆ กระทั่งในปีที่ผ่านมา เขายังอยากไปเยือนวังสตรีหิมะเพื่อพบนางอย่างห้ามไม่ได้ สามปีก่อน เหนือแม่น้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง ภายใต้หิมะโปรยปราย ถ้อยคำที่สลักบนผืนน้ำแข็งและรอยยิ้มบนใบหน้านั้น เขายังคงจำได้ชัดเจนราวกับเห็นอยู่ตรงหน้า

เขาห้ามตัวเองไม่ให้ตามหานาง เพียงเพราะอารมณ์ในใจที่เกิดขึ้น เขากังวลและหวั่นเกรงเล็กน้อยต่อสตรีผู้นี้ นางเป็นสตรีผู้เดียวที่เขาได้ใกล้ชิดอยู่นาน แต่กลับไม่อาจทำความเข้าใจได้โดยสิ้นเชิง ที่เขาห่วงคือกลัวว่าตัวเองจะไม่อาจต่อต้านเสน่ห์ยั่วยวนของนาง สามปีที่ไม่ได้พบเจอ ยามใดที่คิดถึงการล่วงล้ำโดยไม่ได้ตั้งใจในคืนนั้น เขายังคงรู้สึกถึงสัมผัสร่างกายนั้นได้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับกลุ่มเพลิงราคะที่ลุกโชนขึ้นในกาย

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาสงสัยอย่างมากก็คือ หากเหยียนจื่อเมิ่งถูกพาตัวไปโดยเสวี่ยเฟยเยี่ยน แล้วเหตุใดพวกนางจึงไม่ตามหาเขา ทั้งที่เขาได้กลับสู่ตระกูลเย่เป็นเวลานานแล้ว เรื่องราวของเขาพวกนางน่าจะได้ยิน.... หรือว่ามีความลับบางสิ่งที่เขายังไม่รู้

“ท่านพ่อ ดวงตาของท่านจะกลับมาเป็นปกติไหม?” เสี่ยวโม่เงยศีรษะขึ้นมองบุรุษร่างสูงโปร่ง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“ต้องกลับเป็นปกติ” เย่หวูเฉินยิ้มตอบ

“คนผู้นั้น คือเทพที่มาตามหาพวกนางใช่หรือเปล่า?” เสี่ยวโม่ถามต่อ คำว่าพวกนางที่เสี่ยวโม่เอ่ยถึง ย่อมหมายถึงหนิงเสวี่ยและทงซิน

“ถูกต้อง ชื่อของมันคือเจวี๋ยเทียน” เย่หวูเฉินตอบ

“เจวี๋ยเทียน....” เสี่ยวโม่เลิกคิ้วบางขึ้นเล็กน้อย ทวนชื่อสองพยางค์นี้ซ้ำ สักพักหนึ่งนางก็พึมพำเสียงเบา “ชื่อนี้.... ข้าคิดว่า ฮึ เป็นหนึ่งในแปดเทพขุนพลแห่งทวีปเทวะ เทพขุนพลผู้มียศสูงสุดในหมู่เทพทหารแดนใต้” จากความทรงจำเมื่อร้อยปีก่อน ในที่สุดนางก็พบชื่อของเจวี๋ยเทียน น้ำเสียงยังกลายเป็นเย็นเยียบเล็กน้อย

“แปดเทพขุนพล?”

“แปดเทพขุนพลคือทหารยศสูงสุดจำนวนแปดคนที่อยู่ใต้บัญชาเทพจักรพรรดิแห่งทวีปเทวะ ทั้งแปดคนประจำอยู่ในทิศ เหนือ , ใต้ , ตะวันออก , ตะวันตก รวมทั้งทิศ อีสาน , อาคเนย์ , พายัพ และ หรดี รวมทั้งหมดเป็นแปดทิศ หากข้าจำไม่ผิด เจวี๋ยเทียนเป็นขุนพลผู้คุมกองทัพในอาณาจักรเทพแดนใต้ ทั้งแปดคนมีพลังทัดเทียมกัน ต่างบรรลุขอบเขตเหนือเทพขั้นสูงสุดเมื่อร้อยปีก่อน” เสี่ยวโม่ขุดค้นความทรงจำในใจ ขณะกล่าวอย่างจริงจัง

แต่ละถ้อยคำของเสี่ยวโม่ไหลซึมเข้าสู่หูของเย่หวูเฉิน จากนั้นประทับฝังไว้ลึกในใจ เขาจับมือของเสี่ยวโม่ไว้และกล่าว “พวกเราไปทางเหนือกัน”

พลังของเขาเพิ่งฟื้นฟูได้เล็กน้อย ทำให้ยังยากต่อการบิน เสี่ยวโม่นำร่างของเขาทะยานขึ้นผ่านสายลม นางสัมผัสได้ถึงความหวังและความกังวลในใจเขา ความเร็วที่นางใช้ออกจึงเร็วยิ่ง

“แปดเทพขุนพล เมื่อเป็นถึงผู้นำทหาร มียศสูงสุดในอาณาจักรเทพ เช่นนั้นพวกมันทั้งแปด คือผู้แข็งแกร่งสูงสุดในอาณาจักรเทพใช่หรือไม่?” เย่หวูเฉินเอ่ยถามในระหว่างบิน

เสี่ยวโม่สั่นศีรษะและกล่าวตอบ “แน่นอนว่าไม่ใช่ นอกจากพวกมันแล้ว อาณาจักรเทพยังมีอีกเจ็ดตัวตนที่ทรงอำนาจทัดเทียมไม่ด้อยกว่ากัน พวกมันเรียกว่า ‘เทพราชัน’ ทว่าเหนือคนเหล่านี้ขึ้นไป ยังมีสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์ เป็นตัวตนที่น่าหวาดหวั่นที่สุด ไม่ว่าแปดเทพขุนพลก็ดี หรือเจ็ดเทพราชันก็ดี เมื่ออยู่ต่อหน้าสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์เพียงคนหนึ่งคนใด ก็ย่อมย่อยยับในการโจมตีเดียว!”

เย่หวูเฉิน “......”

ย่อยยับในการโจมตีเดียว.... ประโยคนี้ทำให้เย่หวูเฉินสั่นสะท้านอย่างรุนแรง


“ต่อให้แปดเทพขุนพลร่วมมือกัน ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ก็ยังสามารถเอาชนะได้ หากจะล้มหนึ่งในสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงต้องใช้แปดเทพขุนพลร่วมมือกับเจ็ดเทพราชันเท่านั้น อาณาจักรปีศาจของข้าและอาณาจักรเทพรบพุ่งกันเป็นธรรมดา แม้พวกมันมีเพียงสามคน ทั้งมิได้มีตำแหน่งสั่งการบัญชาทัพใดๆ แต่ทั้งสามคือตัวตนที่อาณาจักรปีศาจของข้าหวาดหวั่นมากที่สุด พลังของพวกมันก็คือพลังของทวีปเทวะ! เฮอะ.... พวกมันทะลวงผ่านวิถีเหนือเทพ บรรลุสู่วิถีศักดิ์สิทธิ์ ทั่วทั้งห้วงมิติโกลาหล จะมีสักกี่คนที่ทำได้? ในทวีปเทวะนอกเหนือจากเทพจักรพรรดิแล้ว พวกมันคือราชันสูงสุด! แปดเทพขุนพลและเจ็ดเทพราชันเมื่อพบพวกมันทุกครั้ง ยังต้องแสดงความนอบน้อม” เสี่ยวโม่ตอบกลับเสียงเบา หากเย่หวูเฉินไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ นางคงไม่คิดกล่าวถึงเรื่องที่นางไม่ชอบใจ

ทะลวงผ่านขอบเขตเหนือเทพ....

อากาศเย็นที่พัดผ่านใบหน้า ตอนนี้ไหลเข้าปาก เย็นเยือกไปถึงก้นบึ้งจิตใจ

ขอบเขตเทวะคือระดับสูงสุดที่มนุษย์สามารถบรรลุ ในขณะที่ยอดฝีมือไร้ต้านของมนุษย์ยืนอยู่บนจุดสูงสุด โหยหาถึงวิธีทะลวงผ่านวิถีเทวะเพื่อบรรลุขอบเขตเหนือเทพในตำนาน ทวีปเทวะกลับปรากฎตัวตนที่ทะลวงผ่านวิถีเหนือเทพ.... นี่คือความห่างชั้นระหว่างสวรรค์และปฐพี

“แล้วเทพจักรพรรดิล่ะ? ในเมื่อเป็นจักรพรรดิ แสดงว่าต้องมีพลังไม่ด้อยไปกว่าสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์?” เย่หวูเฉินถามต่อ

เสี่ยวโม่แววตาสั่นไหวเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้.... คนผู้นั้นไม่เคยต่อสู้กับเทพจักรพรรดิ ไม่มีผู้ใดเคยเห็นเทพจักรพรรดิลงมือ ทวีปปีศาจของพวกเราและทวีปเทวะต่อสู้กันแต่ละครั้ง ล้วนไม่เคยเห็นเทพจักรพรรดิสำแดง”

เย่หวูเฉิน “......”

เพื่อสังหารเทพขุนพลหนึ่งตน เขาต้องลากสำนักจักรพรรดิใต้ให้ใช้ไพ่สุดท้ายในมือ เปลี่ยนศูนย์กลางสำนักจักรพรรดิใต้ให้กลายเป็นดินแดนล่มสลาย นอกจากผู้โชคดีรอดชีวิตทั้งสองคน ยอดฝีมือในฉากล้วนมอดม้วยจนสิ้น ทงซินยังสูญเสียพลังทั้งหมดไป ตัวเขายังต้องยิง ‘ศรตามจิตโลหิตดำ’ เพื่อสังหารเจวี๋ยเทียน ทำให้สูญเสียสายตาเป็นราคาที่ต้องจ่าย สามปีถัดจากนี้ เมื่อเทพขุนพลตนใหม่ลงมายังทวีปเทียนเฉินอีกครั้ง เขาสมควรรับมือด้วยวิธีใด

แต่ว่า สองเทพขุนพลตกตายในทวีปเทียนเฉินตามติดกัน ผู้ที่จะมาในครั้งหน้า จะยังเป็นเทพขุนพลเหมือนเดิมจริงๆหรือ?

ขุนพลศักดิ์สิทธิ์.... สองคำนี้ค่อยๆปรากฎชัดในใจของเย่หวูเฉิน แรงกดดันหนักหน่วงถาโถมใส่ดวงจิตจนแทบพังทลาย พลังที่ก้าวข้ามขอบเขตเหนือเทพ บรรลุขอบเขตศักดิ์สิทธิ์อันไร้ผู้ใดอาจเอื้อม ขุนพลศักดิ์สิทธิ์แห่งทวีปเทวะ ตัวตนที่เอาชนะเทพขุนพลได้อย่างง่ายดาย เขาควรทำเช่นใดเพื่อปกป้องไม่ให้หนิงเสวี่ยและทงซินถูกพรากตัวไปจากเขา

ร้อยกว่าปีที่ผ่านมา องค์หญิงเฮยเย่ และ องค์หญิงไป่เย่ หลังจากมายังทวีปเทียนเฉินก็ไม่ได้กลับไปอีก ทวีปเทวะสมควรตามหาพวกนางตั้งแต่ตอนนั้น ทว่าด้วยกฎที่จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือได้สร้างไว้ ทำให้ทวีปเทวะส่งคนมายังทวีปเทียนเฉินได้เพียงคนเดียวในทุกๆสามปี ทว่าเนื่องจากหนิงเสวี่ยและทงซินถูกคำสาปแห่งมิติและเวลาจากศาสตราปีศาจของเสี่ยวโม่ ทำให้เหล่าเทพที่มาตามไม่อาจหาพวกนางพบ ต่อมาเมื่อ 23 ปีก่อนสตรีเทพพิโรธได้ปรากฎกายขึ้น นั่นคือเวลาที่ทงซินหลุดออกจากคำสาปแห่งมิติและเวลา หวนคืนสู่ทวีปเทียนเฉินและสร้างหายนะน่าสะพรึงด้วยกริชเทพพิโรธ จากนั้นเพียงไม่นานนางถูกผนึกไว้ด้วยโซ่ตรวนผนึกปีศาจ โดยการร่วมมือของยอดฝีมือระดับสูงสุดแห่งทวีปเทียนเฉิน แม้ว่าโซ่ตรวนปีศาจจะไม่อาจผนึกพลังธาตุทมิฬและมรณะของนาง แต่มันสามารถผนึกกลิ่นอายเทพของนางได้ ทำให้คนของทวีปเทวะไม่อาจหานางเจอ ในขณะที่หนิงเสวี่ย นางตื่นขึ้นก่อนหน้าเขาที่หลับลึกกว่าสิบปีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ปรากฎตัวขึ้นอย่างลึกลับในดินแดนที่ถูกผนึกจากอำนาจกระบี่หนานฮวง นางหลุดออกจากคำสาปแห่งมิติและเวลา และปรากฎตัวขึ้นในนั้น

พลังของหนิงเสวี่ยถูกผนึกโดยสมบูรณ์ เทพขุนพลจึงไม่อาจตรวจพบการคงอยู่ของนาง ทว่าทงซินถูกเย่หวูเฉินนำตัวออกจากโซ่ตรวนผนึกปีศาจ ทำให้นางกลายเป็นเป้าหมายของเทพขุนพลแห่งทวีปเทวะ สามปีก่อนลู่เทียนตกตาย ตอนนี้เป็นเจวี๋ยเทียนที่ตาย แปดเทพขุนพลตกตายถึงสองคนในทวีปเทียนเฉิน การสูญเสียระดับนี้ อาณาจักรเทพย่อมไม่อาจยอมรับได้โดยง่าย ดังนั้นคนต่อไปที่จะมาจากอาณาจักรเทพ จะต้องเป็นตัวตนที่แกร่งกล้ากว่าแปดเทพขุนพล

ฟู่ว.... เย่หวูเฉินพ่นลมหายใจออก เขาหลับตาลง ระงับหัวใจที่ปั่นป่วนในโลกมืดมิด บางสิ่งเมื่อตัดสินใจเลือกแล้ว ย่อมมีชะตาต้องประสบโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง และเขาไม่เคยหลีกเลี่ยงมัน

“เสี่ยวโม่ พ่อของเจ้า เป็นราชันแห่งทวีปปีศาจใช่หรือไม่?” เย่หวูเฉินถามอย่างนุ่มนวล

เงียบงัน.... เสี่ยวโม่ได้ตอบกลับ เพียงพาเขาบินตรงไปยังทางทิศเหนือ ความเร็วของนางเหนือล้ำ ด้วยความเร็วของนาง รุ่งสางของวันพรุ่งนี้คงไปถึงตอนเหนือของอาณาจักรชางหลาน

เมื่อเทียบกันแล้ว อาณาจักรชางหลานมีจำนวนพืชพันธุ์น้อยกว่าอาณาจักรเทียนหลงอย่างมาก ทั้งจำนวนประชากรยังน้อยกว่าราวเท่าตัว ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในทางตอนใต้ของอาณาจักร ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากสภาพอากาศ ในทางตอนใต้หนาวเย็นน้อยกว่าที่อื่น อย่างน้อยก็ไม่ถูกหิมะปกคลุมตลอดปี กล่าวคือมีสภาพใกล้เคียงกับทางตอนเหนือของอาณาจักรเทียนหลง ทว่าหากมุ่งหน้าตรงขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ อุณภูมิจะลดลงรวดเร็วอย่างน่าตกใจ กระทั่งถึงระดับที่มนุษย์ไม่อาจอยู่รอด

เวลาไหลผ่านอย่างเงียบงันพร้อมสายลมที่ผ่านพัด เย่หวูเฉินและเสี่ยวโม่ต่างรู้สึกหนักใจในเรื่องที่คิดอยู่ ระหว่างนั้น พวกเขาลอยลงจากฟ้า นั่งลงบนผืนหน้าและทานอาหารมื้อใหญ่ จากนั้นเดินทางไปยังทางเหนือต่อ

สำหรับเย่หวูเฉินในยามนี้ ไม่มีความแตกต่างระหว่างกลางคืนกับกลางวัน เมื่อสัมผัสถึงธาตุแสงที่เริ่มจางลง เขาก็รู้ว่าราตรีกำลังมาถึง อากาศที่พัดผ่านหน้ายิ่งเย็นลง ยิ่งพวกเขาตรงขึ้นเหนือไปเท่าใด ร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์ก็ยิ่งน้อยลง กระทั่งสัตว์อสูรยังยากจะมองเห็น พืชพันธุ์ยิ่งมายิ่งบางตา

โดยไม่ทันรู้ตัว พวกเขาก็บินมาเกินครึ่งราตรีแล้ว ความเร็วของเสี่ยวโม่ยังคงเดิม ไร้วี่แววอ่อนล้าใดๆ หลังจากผ่านพ้นราตรี ท้องฟ้าก็เริ่มมีแสงสว่างเจือจาง ในเวลานี้เอง สายลมที่ผ่านพัดได้เปลี่ยนไป มันกลายเป็นอากาศเย็นกัดในฉับพลัน เย่หวูเฉินไร้ผลกระทบใดๆ ทว่าเสี่ยวโม่ที่ไม่ทันตั้งตัว ก็ตัวหดลงเล็กน้อย หลังจากปรับพลังคุ้มร่างก็กลับสู่สภาพปกติ

เพียงอาศัยแสงสว่างเจือจาง โลกเบื้องหน้าที่ปรากฎนั้น ปรากฎปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนทั่วทุกแห่งหน

อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ฉับพลันราวกับเปลี่ยนจากฤดูร้อนเป็นฤดูหนาว แม้ว่าเย่หวูเฉินไม่เกรงกลัวต่อความหนาวเย็น แต่เขายังรู้สึกถึงการเปลี่ยนอุณภูมิได้เช่นเดียวกับคนทั่วไป อุณภูมิอากาศที่ลดต่ำลงฉับพลัน ทำให้เขามุ่นคิ้วเล็กน้อยและครุ่นคิด

“หิมะนี่นา” เสี่ยวโม่มองแผ่นผืนหิมะไร้ขอบเขตตรงหน้า สีสันที่ทวีปปีศาจไม่เคยสัมผัส ในปากร้องอุทานอย่างไม่อาจอดใจ อย่างไรเสีย หัวใจนางยังคงเป็นเพียงสาวน้อย เป็นเด็กสาวที่ชื่นชอบเรื่องสนุก มีความดื้อรั้นเป็นบางครั้ง และชมชอบสิ่งสวยงามไร้มลทิน

“อืม ข้าสัมผัสถึงมันได้ คงเป็นภาพที่งดงามมากใช่หรือไม่?” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง

“....งดงามมาก ข้าอยาก....”

“อยากลงไปเล่นใช่ไหม?”

“อื้ม....” เสี่ยวโม่ตอบอย่างลังเล นางสัมผัสได้ว่าเย่หวูเฉินกังวลใจ และต้องการไปถึงวังสตรีหิมะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้



<<<PREV    .    NEXT>>>