วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 384

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 384 ไม่อาจอดทน

“ทว่าฉุ่ยหยุนหลันกับฉุ่ยเสวียนฟงมิได้ตกตาย ยิ่งกว่านั้น ฉุ่ยหยุนหลันยังบาดเจ็บไม่มากนัก หลายวันมานี้คงเพียงพอให้มันรักษาจนหายดี ฉุ่ยเสวียนฟงบาดเจ็บสาหัส แม้ว่ารักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่มันได้สูญสิ้นพลังหยกวารีลง และกลายเป็นเพียงคนพิการผู้หนึ่ง” ใกล้หูของเย่หวูเฉิน มีเสียงเอื้อนเอ่ยของฉุ่ยเมิ่งฉาน เย่หวูเฉินประหลาดใจแต่ก็ไม่มากนัก นางเข้ามาที่นี่ได้ ย่อมหมายถึงได้รับความยินยอมและไว้ใจจากตระกูลเหยียน ไม่อย่างนั้น พวกแซ่เหยียนย่อมไม่ยอมให้คนนอกเข้ามาในที่แห่งนี้ได้

“ตอนนี้พวกมันอยู่ไหน?”

“ใกล้ชายแดนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้” ฉุ่ยเมิ่งฉานกล่าวตอบ

“....พวกท่านตอนนี้เหลือคนอยู่เท่าไหร่?”

ฉุ่ยเมิ่งฉานครุ่นคิดเล็กน้อยและกล่าวตอบ “เหลืออยู่ราวสองในสิบส่วนของสำนักจักรพรรดิใต้ทั้งหมด แต่ว่าเป็นยอดฝีมือหลักและบุคคลสำคัญเกินกว่าครึ่งหนึ่งของสำนักจักรพรรดิใต้ หลังจากที่สำนักถูกทำลายลงจนราบ สำนักจักรพรรดิใต้ก็กลายเป็นเม็ดทรายกระจัดกระจาย ต้องใช้เวลานานหากจะฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ไม่ทราบว่าต้องใช้เวลากี่ปี หากสำนักจักรพรรดิเหนือลงมือเต็มกำลังในยามนี้....”

ฉุ่ยเมิ่งฉานกล่าวเพียงครึ่งเดียว ความหมายของอีกครึ่งประโยคที่เหลือก็ชัดเจนในตัวมัน

“....กลับกลายเป็นว่า ท่านคือเจ้านายที่แท้จริงของกระบี่หนานฮวง” ฉุ่ยเมิ่งฉานกล่าวคำด้วยสีหน้าซับซ้อน

“อา.... เช่นนั้น ท่านคิดหรือไม่ว่าการแลกเปลี่ยนกับข้าเป็นเรื่องที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง?” เย่หวูเฉินยิ้มบาง

ฉุ่ยเมิ่งฉาน “......”

การแลกเปลี่ยน จำเป็นด้วยหรือที่พวกเขาจะต้องแลกเปลี่ยนกัน จากถ้อยคำบรรพชนที่สั่งสอนสืบทอดกันมา นายแห่งกระบี่หนานฮวงก็คือนายของนาง นางย่อมควรทำทุกอย่างเพื่อเขา กระทั่งตัวนางก็สมควรเป็นสมบัติส่วนตัวของเขา เหยียนเทียนเว่ยและคนอื่นๆมาถึงหลังจากที่ฉุ่ยหยุนเทียนพ่อลูกได้พบกัน หลังจากยืนยันตัวตนของแต่ละฝ่าย พวกเขาก็ปลดวางความเป็นปฏิปักษ์ลง เนื่องจากพวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน เป็นพ่อลูกผู้สืบสายโลหิตตรงแห่งจักรพรรดิใต้ ภักดีต่อนายแห่งกระบี่หนานฮวงฝังไว้ในสายเลือด ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอื่นใด ไร้ความคิดที่เป็นมลทินแม้แต่น้อย ดุจผูกชะตาประทับแน่นหนาในหัวใจ ไร้สิ่งใดให้ต้องกังวลอีก คงด้วยเพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงอนุญาตให้ฉุ่ยเมิ่งฉาน ธิดาของฉุ่ยหยุนเทียนเข้ามาในนี้ได้

ทว่าเมื่อฉุ่ยเมิ่งฉานได้รู้เรื่องราวของเย่หวูเฉิน ที่ไม่เพียงไม่ใช่คนพิการ แต่ยังเป็นถึงจักรพรรดิมารผู้อยู่เหนือสำนักมาร หัวใจตกตะลึงจนจินตนาการได้ รากฐานสำนักจักรพรรดิใต้ถูกทำลาย จากการสอบถามฉุ่ยหยุนเทียนดุจน้ำหลาก เท่าที่ฟังดูราวกับว่า เย่หวูเฉินกลับเป็นผู้วางแผนการ ลอบนำหายนะมาสู่สำนักจักรพรรดิใต้อย่างคาดไม่ถึง โดยที่จักรพรรดิมารยังไม่ได้เคลื่อนกำลังระดับสูงยันต่ำแม้สักคน....

สำนักจักรพรรดิใต้แกร่งกล้าเพียงใด ไหนเลยนางจะไม่รู้ ทว่าเมื่อเย่หวูเฉินกล่าวว่าจะช่วยพวกนางในวันนั้น นางจำต้องเชื่อมั่นอย่างไร้ทางเลือก นางไม่อาจอดห้ามความสงสัยในใจ แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อวันนั้นมาถึง เขากลับมุ่งเข้าสู่สำนักจักรพรรดิใต้ที่รวบรวมยอดฝีมือและพลังเกินครึ่งสำนัก ทำลายล้างทุกอย่างจนย่อยยับ เว้นไว้แต่ฉุ่ยหยุนหลันและฉุ่ยเสวียนฟงที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ คนอื่นไม่มีผู้ใดเหลือรอด นั่นทำให้หัวใจนางตกตะลึงถึงขีดสุด

แม้ว่าที่แห่งนั้นคือสำนักจักรพรรดิใต้ของตระกูลฉุ่ย ทว่านอกจากความตกตะลึง นางไม่เสียใจหรือโศกเศร้าใดๆ ฉุ่ยเมิ่งฉานถูกส่งมาอยู่ที่เมืองเทียนหลงตั้งแต่ยังเด็กมาก น้อยครั้งที่จะกลับไปยังสำนัก แม้เมื่อกลับไปแต่ละครั้งก็จะอยู่กับมารดาเป็นส่วนใหญ่ การติดต่อกับคนอื่นในสำนักจึงน้อยครั้งยิ่ง ห่างไกลกับความรู้สึกผูกพัน ยิ่งสายสัมพันธ์ ‘พ่อลูก’ ระหว่างนางกับฉุ่ยหยุนหลันยิ่งเจือจางดุจน้ำ ขณะที่ฉุ่ยอู๋เชวขบถต่อทุกคนในสำนักจักรพรรดิใต้นอกจากมารดาและพี่สาว เขายิ่งห่างไกลจากความเศร้า ฉุ่ยหยุนเทียนยิ่งหนักกว่าเพราะสะสมความเกลียดชังมานานกว่า 20 ปี

“เรื่องนี้.... ที่แท้ ท่านก็เป็นจอมราชัน....” ฉุ่ยอู๋เชวดูคล้ายอับอายขณะหาคำกล่าว เขาดูตื่นตระหนกเล็กน้อยเมื่อนึกถึงการปะทะอารมณ์กับเย่หวูเฉินเมื่อก่อนหน้า “แล้วก็ ฮี่ ฮี่.... สมแล้วที่เป็นท่านจอมราชัน เป็นนายแห่งสำนักมาร เป็นจักรพรรดิมารผู้โดดเด่นผู้นั้น” ใบหน้ายังยิ้มร่าขึ้นอีกขณะกล่าว “กระบี่ตัดดาราและคันศรบาปวิบัติไม่เคยปรากฎร่องรอยมาก่อน ตอนนี้เมื่อพวกมันปรากฎขึ้น ยังถึงขนาดยอมรับเจ้านายเดียวกัน....”

“กระบี่ตัดดาราและคันศรบาปวิบัติไม่เคยปรากฎออกมา เพราะพวกมันไม่เคยพบบุคคลที่คู่ควรเป็นเจ้านาย ตอนนี้เมื่อเจ้านายปรากฎตัวขึ้น ความหวังสูงสุดของพวกมันได้มาถึง พวกมันจึงไม่ยอมอยู่เงียบอีกต่อไป ต่างจดจ่อรอยอมรับต่อเจ้านาย ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลก” เหยียนเทียนเว่ยกล่าวอย่างจริงจัง ใบหน้าซ่อนไว้ด้วยอารมณ์หนักหน่วง

“ฮือ....พี่นายท่าน เป็นอย่างที่พวกนั้นพูดจริงๆหรือ ที่ท่านมองไม่เห็นสิ่งใด? พวกเขาบอกว่าดวงตาท่านไม่ได้เสียหาย ท่านต้องแกล้งทำแน่ๆ ใช่มั้ย? พี่นายท่าน ไหนขอข้าดูตาท่านหน่อย” เหยียนกงรั่วแทบจะแนบร่างนุ่มนวลหอมหวานติดชิดกับเย่หวูเฉิน ดวงตาม่านหมอกกระพริบมองนัยน์ตาเขา ยังคงเป็นดวงตาน่าหลงใหลที่นางคุ้นเคย ทว่านางเห็นแต่เพียงโพรงดำที่ไร้สีสัน

“ซื่อหยา อย่ากังวลเลย เจ้านายจะต้องไม่เป็นไร” เหยียนกงเยว่ดึงชุดสตรีของเหยียนกงรั่ว กัดเม้มริมฝีปากและกล่าวแผ่วเบา ในดวงตางามเต็มไปด้วยความกังวล นางปลอบโยนน้องสาวทั้งที่หัวใจตัวเองเจ็บปวดจนแทบหลั่งเลือด

“พี่นายท่าน ท่านแกล้งทำจริงๆใช่มั้ย? เห็นอยู่ว่าท่านสามารถรักษาแผลสาหัสได้ในพริบตา ท่านต้องรักษาดวงตาตัวเองได้ ใช่มั้ย?” เหยียนกงรั่วเขย่าแขนของเย่หวูเฉิน เมื่อมองดวงตาว่างเปล่าไร้สีสัน หัวใจนางก็แทบแตกเป็นเสี่ยง

เหยียนต้วนชางถอนหายใจยาวและกล่าว “พลังของเจ้านายใช้รักษาอาการบาดเจ็บทั่วไปได้จริงๆ แต่ว่า.... ก่อนนี้ข้ากับท่านพ่อตรวจดูด้วยพลังของพวกเรา ก็ล้วนพบเป็นอย่างเดียวกัน ดวงตาของเจ้านายไร้ความเสียหายใดๆ เป็นอย่างที่หมอหลวงเหล่านั้นพูดไว้ กล่าวอีกอย่างก็คือ มีพลังแกร่งกล้าไร้ตัวตนปิดกั้นสายตาของเจ้านายไว้ ข้ากับท่านพ่อประสานพลังกันลองลบล้างมันดูหลายครั้ง ทว่าไม่อาจสั่นสะเทือนมันได้แม้แต่น้อย วิธีฟื้นฟูการมองเห็นของเจ้านายให้กลับคืนมานั้นเรียบง่ายมาก คือเพียงลบล้างผนึกนั้นออก”

“ผนึก?” เหยียนกงรั่วเมื่อได้ยินคำ ก็เผยอาการตกใจ ผนึกการมองเห็น นี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางได้ยินการผนึกที่แสนประหลาด แต่หากจะว่าไปแล้ว นี่เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่อธิบายได้ว่า เหตุใดเขาจึงไม่อาจมองเห็นทั้งที่ดวงตาไม่ได้เสียหาย

“วางใจเถอะ สามารถทำให้กระบี่ตัดดาราและคันศรบาปวิบัติยอมรับเป็นนาย เจ้านายย่อมไม่ใช่บุคคลธรรมดา บางทีในอีกไม่นาน เจ้านายอาจคลายผนึกได้ด้วยตัวเอง” เมื่อเห็นสีหน้าสงบของเย่หวูเฉิน เหยียนต้วนชางจึงกล่าวอย่างสงบ

“แต่ว่า แต่....”

“ท่านลุงเกิ้นกล่าวถูกแล้ว วันหนึ่งข้าย่อมฟื้นฟูการมองเห็นกลับมา ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล” เย่หวูเฉินยิ้มอย่างปลอดโปร่ง ปลอบประโลมหัวใจของทุกคน วันนั้นจะมาถึงเมื่อใด เขาไม่อาจรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ การจะฟื้นฟูการมองเห็นนั้น จำต้องใช้พลังที่เหนือล้ำกว่า ‘ศรตามจิตโลหิตดำ’ ซึ่งอาจเป็นพลังของผู้อื่นหรือของตัวเอง.... วันที่ว่าดูคล้ายจะอยู่ห่างไกล ไกลจนแทบไม่อาจมองเห็น เนื่องจากผู้ที่มีพลังถึงระดับนั้น อาจมีเพียงเหล่าเทพแห่งทวีปเทวะ

เหยียนต้วนชางและเหยียนเทียนเว่ยมองหน้ากันอีกครั้ง ลอบถอนหายใจอย่างเงียบงัน ผนึกกั้นดวงตาของเย่หวูเฉินเกิดจากพลังบาปวิบัติ พวกเขารู้ดีว่ามันแกร่งกล้าจนแทบถึงระดับสิ้นหวัง

“เจ้านาย คนผู้นั้นเป็นใคร? ฟังจากที่น้องฉุ่ยพูด ดูเหมือนว่ามันจะมาจากทวีปเทวะ นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?” เหยียนต้วนชางถามคำถามที่ทุกคนสงสัย ทว่าทุกคนมัวกังวลกับสายตาของเย่หวูเฉิน ยามนี้เมื่อคลายความกังวลลง พวกเขาจึงเริ่มจดจ่อกับประเด็นข้อใหญ่

เย่หวูเฉินพยักหน้า “ถูกต้อง นั่นคือเทพจากทวีปเทวะจริงๆ แต่ตอนนี้มันตายไปแล้ว มันคือใครและเหตุใดจึงปรากฎตัวขึ้น ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว” เขาบีบมือหนิงเสวี่ยอย่างเงียบงัน ขณะที่เสี่ยวโม่มุ่นคิ้วเล็กน้อย จดจ้องที่หนิงเสวี่ยปราดหนึ่ง จากนั้นเคลื่อนสายตาออก

เมื่อเห็นเย่หวูเฉินไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีก จึงทราบว่านี่เป็นความลับเกินกว่าคนธรรมดาจะรู้ได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครสอบถามอีก เหยียนต้วนชางกล่าว “เรื่องที่สำนักจักรพรรดิใต้ถูกทำลาย ย่อมกลายเป็นข่าวใหญ่กระจายไปทั่วโลก คนของสำนักจักรพรรดิใต้ที่แฝงตัวตามที่ต่างๆในโลกล้วนปกปิดที่อยู่ เข้าสู่สภาพปกป้องตัวเอง สำนักจักรพรรดิเหนือย่อมเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในเวลาไม่ช้า อย่างไรเสียนี่คือโอกาสทองในตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากพลาดโอกาสนี้ ปล่อยให้สำนักจักรพรรดิฟื้นฟูกลับมาได้ ย่อมไม่อาจหาโอกาสเช่นนี้ได้อีกครั้ง”

เย่หวูเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย กล่าวคำแผ่วเบา “กระจายทั่วโลกงั้นเหรอ? อ่า.... ข้าว่าหลังจากวันนี้ เรื่องที่ข้าตาบอดคงกระจายไปรวดเร็วยิ่งกว่าอีก”

บรรยากาศนิ่งงันทันที เหยียนกงลั่วขมวดคิ้ว “เจ้านาย ท่านหมายถึง?”

“สำนักจักรพรรดิใต้แม้ประสบหายนะ ทว่าหลายพันปีที่กระจายขุมกำลังทั่วไปทวีปเทียนเฉิน หากคิดซ่อนตัวสำนักจักรพรรดิเหนือหวังกำจัดย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย สำนักจักรพรรดิเหนือเองก็ย่อมเข้าใจตรงจุดนี้ ดังนั้นตลอดหลายวันจึงยังไม่เคลื่อนไหว แม้ว่าสองฝ่ายจะต่อสู้กันมาหลายสมัย แต่ต่างย่อมเข้าใจ ว่าคิดหวังทำลายอีกฝั่งให้ย่อยยับสมบูรณ์แทบไม่อาจเป็นไปได้ ทว่า....” เย่หวูเฉินสีหน้าทะมึนลง เผยน้ำเสียงเหยียดหยัน “ในความเห็นของพวกมัน การทำลายคนพิการผู้หนึ่งซึ่งตาบอด รวมทั้งไร้สตรีเทพพิโรธคอยปกป้องอยู่ข้างกาย ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายกว่ามาก”

เมื่อหมอหลวงมาที่นี่เพื่อตรวจดูดวงตาของเย่หวูเฉิน พวกเขาย่อมเห็นทงซินที่นอนข้างกาย ดังนั้น ผู้คนที่สายตาเฉียบแหลมย่อมมองออกว่า ทงซินกำลังนอนไร้สติหลังเผชิญเรื่องสาหัสบางอย่าง.... อีกทั้ง หากไม่ใช่เพราะสตรีเทพพิโรธข้างกายเย่หวูเฉินได้พ่ายแพ้ลง ไหนเลยสายตาของเขาจะถูกทำลายได้

“ข้าเข้าใจแล้ว หลายวันนับจากนี้ พวกเราจะคอยอยู่ปกป้อง รอให้พวกมันพามาหาด้วยตัวเอง” เหยียนเทียนเว่ยสีหน้าทะมึนลงเช่นกัน กล่าวคำบางเบา

“ฮึ่ม! ข้าเองก็จะอยู่ปกป้องพี่นายท่าน หากใครกล้าทำร้ายพี่นายท่าน ข้าจะทำให้มันเสียใจยิ่งกว่าตกตาย” เหยียนกงรั่วคว้าแขนของเย่หวูเฉินไว้และกล่าวอย่างจริงจัง

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย “พวกมันจะมาในไม่ช้านี้.... แต่ข้ามีที่แห่งหนึ่งต้องไป”

“ที่ไหนเหรอ?”

“อาณาจักรชางหลาน วังสตรีหิมะ”

ในใจปรากฎภาพของเสวี่ยเฟยเยี่ยน มารเสน่ห์ผู้ยั่วยวนโลก เช่นเดียวกับดวงหน้าของนางเซียนเหยียนจื่อเมิ่ง โฉมสะคราญล่มอาณาจักร ในใจเกิดคลื่นกระเพื่อมหวั่นไหว นี่คือสิ่งกังวลสูงสุดในใจ หากไม่อาจตามหาพวกนางพบ เขาย่อมไม่อาจหลับนอนเป็นสุข ทว่าขณะที่เขาเตรียมตัวเดินทางไปยังอาณาจักรชางหลาน เจวี๋ยเทียนก็พลันปรากฎตัว ทำให้เขาต้องเลื่อนเวลาออกไป.... ตอนนี้เขาไม่อาจอดทนรอได้อีกแม้เพียงชั่วขณะเดียว



<<<PREV    .    NEXT>>>