วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 367

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 367 เป็นนาง!

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะให้เสี่ยวโม่ นางพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง เย่หวูเฉินลอยลงมาอย่าเงียบงันตรงหน้าเล่งหยา เล่งหยากลับมองไม่เห็นเขาโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งเมื่อเดินเกือบชนเย่หวูเฉิน เล่งหยาจึงหยุดลงและมองไปยังคนที่อยู่ตรงหน้า

เมื่อได้พบกับเย่หวูเฉิน เล่งหยาไม่ตื่นเต้นดีใจ ไร้อารมณ์หรือส่งเสียงใดๆ แววตาไร้ระลอกไหว ราวกับว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงกำแพงหิน

“เล่งหยา เกิดอะไรขึ้น?” เย่หวูเฉินถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนสุดขีด หัวใจของเล่งหยาตายลงแล้ว.... ที่เขาสัมผัสได้คือกลิ่นอายทะมึนแห่งความตาย การที่เย่หวูเฉินไปอยู่ดินแดนแห่งความตายหลายวัน นั่นหมายถึงว่าเล่งหยาออกมาจากสำนักจักรพรรดิเหนือเพียงลำพัง ผ่านผงเพลิงวิญญาณออกมา

“ปิงเอ๋อร์.... ตายแล้ว.... ปิงเอ๋อร์.... ตายแล้ว....” เล่งหยากระซิบกล่าวคำไม่ต่อเนื่อง เขาเดินไปข้างหน้าผ่านเย่หวูเฉิน ฝีเท้าสั่นระริกราวชายชราที่อยู่ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต เขาไม่รู้ว่าต้องไปที่ใด หรือควรทำสิ่งใด

ปิงเอ๋อร์....

ในอ้อมแขนของเล่งหยา เป็นสตรีที่เย่หวูเฉินไม่เคยเห็น อายุราว 20 ปี ผมเผ้ากระเซิงใบหน้าเปื้อนเลือด เย่หวูเฉินจึงไม่อาจเห็นใบหน้าของนางชัด ชุดที่นางสวมใส่ค่อนข้างยุ่งเหยิง.... นางคือใครล้วนไม่สำคัญ เย่หวูเฉินแหงนศีรษะมองฟ้า ถอนหายใจบาง เกิดอะไรขึ้นกับเล่งหยา เขาพอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว

กล่าวได้ว่าเขาคือหนึ่งในคนบนโลกนี้ที่เข้าใจเล่งหยามากที่สุด รู้ว่าภายใต้สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ซ่อนความรู้สึกลึกล้ำไว้เพียงใด เขาจะติดตามเจ้านายเพียงคนเดียว ต่อให้เจ้านายของเขากลายเป็นคนโฉดชั่ว หรือกลายเป็นขอทานข้างถนน เขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจ.... เช่นเดียวกับความสัมพันธ์หญิงชายที่เกิดขึ้น ตอนนี้สายใยผูกพันธ์ของเขาได้ขาดสะบั้นลง

โชคชะตามักโหดร้ายกับเล่งหยา ลิขิตให้เขากลายเป็นผู้ไร้ห่วงกังวล มีชีวิตเดียวดายและโชกเลือด

เย่หวูเฉินหันกายแล้วเดินไปที่เล่งหยา ยื่นมือตบลงบนไหล่เขา ไม่กล่าวถ้อยคำใด ทว่าเขาถอนมือกลับทันที มองที่มือตัวเองแล้วมองที่ร่างของเล่งหยาอีกครั้ง

ขณะที่เขาสัมผัสร่างเล่งหยา สัมผัสเย็นเยียบได้เสียดผ่านมาถึงหัวใจ ทำให้เขารู้สึกเช่นเดียวกับครั้งที่เสี่ยวโม่มอบลูกอม.... มันแทบจะเหมือนกัน

“ปราณปีศาจ....” เย่หวูเฉินมองแผ่นหลังของเล่งหยาและพึมพำเสียงเบา เสี่ยวโม่ที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าช้าๆ นางมองเล่งหยาด้วยความงุนงงและคลุมเครือ

เย่หวูเฉินเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง จับไหล่ซ้ายที่อยู่ตรงหน้า รักษาบาดแผลที่ชุ่มเลือดอย่างรวดเร็ว เขากระซิบกล่าว “เรากลับกันเถอะ นางยังคงอยู่กับเจ้าและเฝ้ามองอยู่ เจ้าคงอยากให้นางเห็นเพื่อนๆเจ้า”

ราวกับเล่งหยาไม่ได้ยินสิ่งใด เขายังคงเดินตรงไปเบื้องหน้า เห็นเล่งหยาในเวลานี้ เย่หวูเฉินรู้สึกเจ็บปวดใจ ทั้งรู้สึกสิ้นไร้หนทางอยู่ลึกๆ เนื่องจาก ‘เนตรปีศาจสังหารโลหิต’ อันลึกลับ ทำให้อารมณ์ของเล่งหยาแตกต่างจากคนอื่น เขาไม่ทราบว่าควรปลอบใจเล่งหยาอย่างไร เพราะบางที การปลอบใจอาจไม่มีผลกับเล่งหยา

“เป็นข้าที่ทำร้ายเจ้าเอง.... หากข้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่พาเจ้ามาที่นี่ด้วย” เย่หวูเฉินสีหน้าหดหู่ เขากล่าวคำด้วยน้ำเสียงเบาที่มีเพียงตัวเองได้ยิน เสียงบางสลายไปในสายลมอย่างรวดเร็ว เสี่ยวโม่ที่อยู่ด้านข้างจับมือเย่หวูเฉินไว้ด้วยสองมือ นางกล่าวเสียงแผ่ว “ท่านพ่อ ท่านกำลังเศร้า.... อย่าเศร้าเลยนะ”

เย่หวูเฉินก้มศีรษะลง อย่างไรก็ตาม เขายังคงยิ้มบางและพยักหน้าอย่างอ่อนโยน

....................

....................

เล่งหยานั่งขดกายอยู่ตรงมุมห้อง มองดูคล้ายราวกับซากศพ ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ เขาลืมตากว้าง ตอนนี้มันไร้สีแดงของเนตรปีศาจสังหารโลหิต ทว่ามันแตกต่างจากดวงตาคนธรรมดา มันคล้ายดวงตาคนตายที่มัวหมอง

ด้านข้างเขา มีร่างของปิงเอ๋อร์นอนอยู่ไร้การเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน หลังจากที่เย่หวูเฉินพาเขากลับมายังสำนักมาร เมื่อใดก็ตามที่มีคนคิดนำร่างปิงเอ๋อร์ออกจากข้างกายเขา เนตรปีศาจสังหารโลหิตจะเปิดขึ้นทันที จิตสังหารจะพวยพุ่งขึ้นฉับพลัน เหยียนเทียนเว่ยยังต้องสีหน้าเปลี่ยน และเมื่อออกห่างจากร่างปิงเอ๋อร์ ดวงตาแดงก่ำและจิตสังหารจะคลายออกช้าๆ

จิตสังหารของเล่งหยาเข้มข้นอย่างยิ่ง ครั้งแรกเขาเปิดเนตรปีศาจสังหารโลหิตในงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน เมื่อเทียบกับครั้งนี้นับว่าห่างไกลกันสุดกู่ ทุกคนต่างครุ่นคิดอยู่ในใจ.... ว่าสามวันที่ผ่านมานี้เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่

ในห้องอันมืดสลัว เขานั่งนิ่งตั้งแต่กลางคืนจนถึงรุ่งสาง ประตูห้องปิดไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีใครเปิดเข้ามา ไร้เสียงเดินผ่านจากข้างนอก จนกระทั่งถึงตอนเที่ยง เย่หวูเฉินก็ผลักประตูเปิดจากข้างนอก เขาไม่ได้เข้ามา เพียงมองที่เล่งหยาด้วยสายตาแน่วนิ่ง

ในความเงียบงันดุจป่าช้า ผู้ที่เคลื่อนไหวคนแรกกลับเป็นเล่งหยา จากที่นั่งขดตัวเขาเงยศีรษะขึ้น จากนั้นลุกขึ้นยืน เนื่องจากนั่งขดตัวมานานเกินไป ร่างกายจึงแข็งขัด ความเร็วในการลุกขึ้นจึงเชื่องช้า เขาเงยศีรษะมองตรงไปที่เย่หวูเฉิน จากแววตาของเล่งหยา เย่หวูเฉินไม่เห็นความรู้สึกใดในนั้น

“เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” เย่หวูเฉินถอนหายใจด้วยความเศร้าขณะกล่าว

เล่งหยาอุ้มปิงเอ๋อร์ขึ้นมา เดินผ่านร่างของเย่หวูเฉินและออกจากประตู ตั้งแต่เริ่มจนจบไร้เสียงใด

เหนือสนามหญ้าว่างเปล่า เย่หวูเฉินยืนอยู่หลังเล่งหยาอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาอยู่ในที่ห่างๆมองดูเล่งหยาค่อยๆขุดดินด้วยมือ เขาขุดลงไปจนลึก จากนั้นวางปิงเอ๋อร์ลงไปในสถานที่พักผ่อนสุดท้ายของนาง เล่งหยาอยู่ตรงนั้นมองดูนางเป็นเวลาเนิ่นนาน ในที่สุดเขาค่อยๆผลักมืออันสั่นเทา ดันดินลงหลุมฝังนางไว้จนไม่เห็นอีก กลบใบหน้าที่เขาจะไม่มีวันลืม

“เล่งหยา” เย่หวูเฉินส่งเสียง ทว่านอกจากเรียกชื่อของเขาแล้ว เย่หวูเฉินก็ไม่รู้จะกล่าวคำใดอีก

เล่งหยาหันกลับมา มองเย่หวูเฉินด้วยสายตาหม่นหมองราวกับถ่านไฟมอด “ข้าไม่เคยลืมสัญญาที่ให้ไว้”

เขาบอกว่าชีวิตนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงอีก หลังจากคืนนี้ไปเขาจะไร้ความเศร้า หลังจากได้ฝังปิงเอ๋อร์ด้วยมือตัวเอง เขาจะไร้ความผูกพันธ์อีก ตอนนี้หัวใจของเขาราวกับถ่านไฟมอดเช่นเดียวกับดวงตา ชั่วชีวิตนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

เย่หวูเฉินพยักหน้า เขาไม่กล่าวคำใด เล่งหยาตอนนี้ไม่ใช่เล่งหยาเมื่อหลายวันก่อน เขาเปลี่ยนไปอย่างมาก ทว่าสิ่งที่ฝังอยู่ในกระดูกไม่มีวันเปลี่ยนไป คือความยืนกรานและภาคภูมิของเขา

“นั่งสิ เล่าเรื่องของนางให้ข้าฟัง” เย่หวูเฉินตบไหล่ของเล่งหยาและนั่งลงบนพื้นหญ้า หันหน้าไปที่หลุมศพที่เพิ่งถมเสร็จ เล่งหยานั่งลงเช่นเดียวกันและทอดสายตาไปไกล กล่าวด้วยเสียงราบเรียบธรรมดา “นางเรียกว่าปิงเอ๋อร์”

เย่หวูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย ฟังคำอย่างตั้งใจ และจดจำชื่อของ ‘ปิงเอ๋อร์’ ไว้ในใจมั่น

“นางเป็นสาวใช้และน้องสาวของเหยียนจื่อเมิ่ง นางบอกว่าเหยียนจื่อเมิ่งไม่ได้อยู่ในสำนักจักรพรรดิเหนือแล้ว สามปีก่อน นางตั้งครรภ์ เหยียนซีหมิงต้องการให้นางทำลายเด็ก นางอาศัยหิมะที่ตกหนักจากท้องฟ้ากะทันหัน หลบหนีไปใต้ม่านหิมะ หายไปอย่างไร้ร่องรอย.... ปิงเอ๋อร์ช่วยขัดขวางเหยียนซีหมิงเพื่อให้นางหนีไป นางจึงถูกกักขังเป็นเวลาสามปี และข้าได้พบนางที่นั่น”

เย่หวูเฉิน “......”

เล่งหยากล่าวคำราบเรียบไร้ความรู้สึกใดๆขณะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกรายละเอียด ทุกประโยค ทุกการเคลื่อนไหว ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาคงอยู่ในท่าเดิม ใช้น้ำเสียงเดิม ไร้อารมณ์กระเพื่อมไหวแม้สักครั้ง ราวกับเล่าเรื่องราวของคนอื่น

หัวใจได้ตายลง ไหนเลยอารมณ์จะกระเพื่อมขึ้นได้อีก เวลานี้ ต่อให้มีคมกระบี่มากมายจ่อที่คอหอย ร้อยอสรพิษวางอยู่บนร่าง เขาก็ไม่รู้สึกถึงความกลัวใดๆ

ตั้งแต่ตะวันยามเที่ยง จนตะวันคล้อยเคลื่อนไปตะวันตก ยามค่ำมาถึงอีกครั้งเมื่อเล่งหยากล่าวประโยคสุดท้ายจบลง เย่หวูเฉินยืนขึ้นและเดินลากเงายาวใต้แสงตะวัน ในปากพึมพำถ้อยคำแผ่วเบา....

หิมะ....

“ไปตรวจดูว่าเมื่อสามปีก่อนมีหิมะตกในอาณาจักรคุยชุยหรือไม่!” เย่หวูเฉินกลับมาในห้องโถงและกล่าวอย่างจริงจัง

สิบนาทีต่อมา เขาก็ได้รับคำตอบ เหยียนกงลั่วกลับมาอย่างเร่งรีบและกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจไร้ที่เปรียบ “เจ้านาย อาณาจักรคุยชุยร้อนชื้นตลอดปี อุณภูมิไม่เคยถึงจุดที่หิมะจะตกได้ ไม่ต้องกล่าวถึงสามปีก่อน กระทั่งก่อนหน้านี้สิบปี ยี่สิบปี และสามสิบปี ก็ไม่เคยมีหิมะตกที่นี่”

เย่หวูเฉินผุดลุกจากที่นั่ง เดินกลับไปกลับมาหลายก้าวอย่างไร้จุดหมาย จากนั้นเขาหันมาแล้วกล่าว “รบกวนพี่ใหญ่ฉู่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนเล่งหยาในหลายวันนี้ด้วย ข้าต้องไปแล้ว”

หิมะ.... เป็นนาง ต้องเป็นนางแน่!

“อ๊ะ? เจ้านาย....” เหยียนกงลั่วจ้องตาค้าง เพียงกำลังส่งเสียง ก็เห็นเย่หวูเฉินหายไปในกลุ่มแสงขาวอย่างรีบร้อน

..................

..................

อาณาจักรเทียนหลง มุมหนึ่งที่ถูกลืม

ทงซินสัมผัสถึงการกลับมาของเย่หวูเฉินได้เป็นคนแรก นางพาหนิงเสวี่ยที่กำลังเล่นด้วยกันริมน้ำบินกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเย่หวูเฉินนางก็ลอยลงกลางอากาศอย่างกระวนกระวาย จากนั้นแนบร่างสัมผัสตัวเองเข้ากับเขา

“ท่านพี่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว” หนิงเสวี่ยส่งเสียงอย่างมีความสุข ไม่เผยอาการว่าหลายวันนี้ห่วงหาและกังวลเพียงใด

“หลายวันนี้เล่นกันดีไหม?” เย่หวูเฉินยื่นมือซ้ายสัมผัสใบหน้าหนิงเสวี่ย มือขวาสัมผัสใบหน้าทงซิน และเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน เสี่ยวโม่ไม่เบือนหน้าหนีไปไหน ทั้งไม่เผยสีหน้าขัดเคืองแต่อย่างใด

“อื้ม! หลายวันนี้ข้ากับพี่ทงซินพากันไปในที่ๆท่านกับข้าเคยไปมาก่อน.... ท่านพี่ พี่สาวตัวน้อยนี้เป็นใครเหรอ?” หนิงเสวี่ยมองสาวน้อยที่เย่หวูเฉินพากลับมาอย่างสงสัย นางรู้สึกคุ้นหน้าเล็กน้อย เป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะจำได้ว่าตนเองเคยพบเสี่ยวโม่โดยบังเอิญเมื่อสามปีก่อนที่อาณาจักรต้าฟง ทงซินมองนางปราดหนึ่ง จากนั้นถอนสายตากลับ นางจำเสี่ยวโม่ได้ทันที อย่างไรเสียเมื่อไม่นานมานี้ นางกับเย่หวูเฉินได้เห็นเสี่ยวโม่บนท้องถนน ส่วนสาเหตุที่เสี่ยวโม่มาอยู่ที่นี่ นางไม่สนใจ

“ข้าเรียกว่าเสี่ยวโม่ สามปีก่อนพวกเราเคยพบกันที่เมืองเทียนฟง” เสี่ยวโม่หันศีรษะมา มุมปากยกยิ้มบิดเบี้ยว กล่าวคำด้วยอาการปฏิเสธเล็กน้อย

“อื้ม เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าจำสามปีก่อนที่พวกเราไปยังเมืองเทียนฟงเพื่อช่วยพี่หญิงได้รึเปล่า เด็กหญิงข้อเท้าพลิกที่พวกเราเจอในตอนนั้น?” เย่หวูเฉินโน้มกายลงและกล่าวกับหนิงเสวี่ยด้วยรอยยิ้ม

“อืมม...?” หนิงเสวี่ยครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นเผยรอยยิ้ม “สวัสดี พี่หญิงเสี่ยวโม่ ข้าชื่อหนิงเสวี่ย”

นางจำเรื่องเมื่อสามปีก่อนได้ แต่ยากนักสำหรับนางที่จะจำว่าได้พบเด็กหญิงตัวน้อยเมื่อสามปีก่อน อย่างไรเสีย มันเป็นการพบกันเพียงสั้นๆ และเรื่องนั้นก็ผ่านมานานมากแล้ว



<<<PREV    .    NEXT>>>