วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 365

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 365 ปีศาจ! ระเบิดเนตรสังหาร (2)

ปิงเอ๋อร์มองเขาด้วยสายตาหม่นมัว สงสัยว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน ของเหลวที่หยดลงบนใบหน้าได้ปลุกสตินางให้กลับมา ฉับพลันนั้น นางเผยรอยยิ้มและกระซิบกล่าว “ที่แท้... เจ้าตอไม้... ก็ร้องไห้เป็น... ข้ารู้สึก... ดีใจนัก... เจ้ารู้มั้ย... ตั้งแต่วันแรกที่เจ้ามาเจอข้า... ข้าก็คิดอยู่เสมอว่าเจ้าเป็นตอไม้ใหญ่... ตอนที่เจ้าผลักข้าออกไป ข้าก็พบว่า... ข้าเหมือน... จะชอบเจ้า... นี่ช่างน่า... เหลือเชื่อจริงๆ... ถึงดูเหมือนจะเร็วเกินไป ทั้งยังคล้ายสับสน แต่ได้ตายเพื่อคนที่ตัวเองชอบ... ช่างเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นจริงๆ....”

“....ที่จริง มีสิ่งหนึ่งที่ข้าหลอกเจ้ามาตั้งแต่ตอนแรก... ข้า...ไม่รู้ว่าคุณหนูไปอยู่ไหน ข้าคิดเพียงแค่ว่า... จะใช้คำโกหกนี้... เพื่อออกไปจากที่นี่และตามหาคุณหนู....”

สายลมราตรีเย็นเยียบและนิ่งงันถึงขีดสุด เล่งหยาฟังนางส่งเสียงอย่างสงบ มองที่ใบหน้านาง ดวงหน้าธรรมดาที่เผยความสุขของนาง คือฉากที่สวยงามที่สุดในชีวิตของเขาซึ่งจะไม่มีวันลืม.... เป็นความทรงจำที่งดงามที่สุด

“เล่ง... หยา... มีชีวิตต่อไป... นะ? มีชีวิต... แล้วพาข้าไปจากนี่... ข้าอยากเห็นโลกข้างนอกว่าเปลี่ยนไปแค่ไหน... ข้าอยากเห็น... คุณหนู...”

เสียงของปิงเอ๋อร์แผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน ด้วยประสาทหูของเหล่ายอดฝีมือระดับสูง พวกเขาไม่ได้ยินเสียงใดๆของนางอีก เมื่อริมฝีปากของนางไร้การขยับไหว มือที่พยายามยกขึ้นอย่างยากเย็นก็ตกลง ดวงตาที่มองเล่งหยาด้วยความรู้สึกลึกล้ำค่อยๆสูญเสียประกายและหลับลง.... นางไร้ลมหายใจอีก

เล่งหยาไร้การเคลื่อนไหว มองปิงเอ๋อร์ที่ตายไป จิตสังหารและความเกลียดชังที่พวยพุ่งก่อนหน้านี้กลับสลายไปในพริบตา ผู้คนไม่อาจสัมผัสกลิ่นอายใดๆจากร่างของเขา ราวกับเขาได้ตายลงในท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันไม่ได้หายไปจากหัวใจของผู้คน มันหนักหน่วงจนพวกเขาแทบเสียสติอยู่หลายครั้ง บรรยากาศเย็นเยือกอย่างประหลาด ไม่มีใครพูดจาในเวลานี้หรือเข้าใกล้เล่งหยา ราวกับว่าจิตวิญญาณถูกพรากออกไปแล้ว

สายลมเปลี่ยนทิศเล็กน้อยอย่างฉับพลัน แรงกดดันหนักหน่วงที่ไม่ทราบว่ามาจากไหนกำลังสะเทือนความเงียบ เล่งหยาที่ราวกับไร้วิญญาณเคลื่อนไหวในที่สุด เขาวางร่างปิงเอ๋อร์ลงกับพื้นอย่างนุ่มนวล จากนั้นยืนขึ้นช้าๆ มองฝูงคนที่อยู่ตรงหน้า คู่ดวงตายังคงเป็นประกายโลหิต ทว่ามันสงบนิ่งไร้ที่เปรียบ นี่ไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์ แต่ควรเป็นดวงตาซากศพที่ไร้สติ ไร้อารมณ์ และไร้ลมหายใจ

ไร้ความโกรธหรือเสียงใด เขาไม่โจมตีและเพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แววตาไร้ระลอกใดๆ ทว่าทุกคนกลับรู้สึกว่าดวงตาน่าหวาดหวั่นนั้นกำลังจ้องมายังตน

เขาไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างเห็นได้ชัด ทว่ากลับสร้างความหวั่นสะพรึงขึ้นมาในความเงียบงัน

ที่แท้ความเงียบอันน่าสะพรึงก็เป็นเช่นนี้

ในอกราวถูกถ่วงด้วยหินหนัก เหยียนชางรู้สึกว่าตนเองหายใจอย่างขัดข้อง ไม่ทราบว่ากี่ปีแล้วที่เขาไม่รู้จักความกลัว ตอนนี้เขากำลังหวั่นกลัวเล็กน้อย เขาหันไปสบตากับสี่คนที่อยู่ข้างหลังซึ่งมีสีหน้าซับซ้อนไม่ต่างกัน จากนั้นเพิ่มความระวัง แล้วสืบเท้าก้าวเบื้องหน้า ทว่าทันใดนั้น การเปลี่ยนแปลงตรงหน้าก็ทำให้เขาต้องชะงักงัน

ไอปราณทมิฬ.... หมอกดำสนิทแผ่ออกมาจากศีรษะ มือเท้า และร่างกายของเล่งหยา ระหว่างที่ดวงตาเป็นสีแดง ไอปราณทมิฬก็ก่อตัวขึ้นและค่อยๆหนาแน่น แต่จะจุดบนร่างกายของเล่งหยาถูกไอปราณสีดำม้วนกลืนเข้าไป.... แม้จะเป็นค่ำคืนอันมืดดำ ทว่าไอปราณสีดำนั้นกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน

นี่มันเกิดอะไรขึ้น....

ไอปราณทมิฬยิ่งทวีจำนวน ยิ่งมายิ่งหนาแน่น ทันใดนั้นคล้ายผู้คนเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่ง สายตาถูกดึงให้มองขึ้นไปบนฟ้าอย่างไม่อาจควบคุม มองตามไอปราณสีดำที่ลอยขึ้นฟ้า.... ฉับพลันนั้นพวกเขาเบิกตาโพลงอย่างตื่นตะลึง สีหน้าซีดขาว ราวกับเห็นบางสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก

...................

...................

ตอนเหนือของอาณาจักรคุยชุย ดินแดนแห่งความตาย

“....เจ้าชายจุมพิตเจ้าหญิงให้ตื่นขึ้นมา.... ในที่สุด เจ้าชายกับสโนว์ไวท์ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข และเรื่องราวของ «สโนว์ไวท์» ก็จบลงเพียงเท่านี้”

บนเตียงเล็กๆ เย่หวูเฉินกับเสี่ยวโม่นอนอยู่ข้างกัน ทั้งสองมองตากัน เย่หวูเฉินเล่าอย่างจริงจัง ส่วนเสี่ยวโม่ก็ฟังอย่างตั้งใจ เมื่อเล่าเรื่องนี้จบลง เสี่ยวโม่ก็ดวงตาเป็นประกายและเอ่ยถามอย่างคาดหวัง “ท่านพ่อ สโนว์ไวท์สวยมากมั้ย?”

“แน่นอนอยู่แล้ว.... แต่ว่าหลังจากพที่เสี่ยวโม่โตขึ้น นางจะต้องสวยกว่าสโนว์ไวท์อย่างแน่นอน” เย่หวูเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม

“ฮี่ ท่านพ่อชอบพูดให้ข้าดีใจอยู่เรื่อย แต่อย่างไรข้าก็ชอบฟัง” เสี่ยวโม่ยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นบุ้ยริมฝีปาก “ราชินีแบบนั้น หากข้าไปเจอนางเข้าละก็ ข้าจะทำให้นางกลายเป็นหุ่นกระบอกด้วยพลังความมืด.... จากนั้นโยนลงทะเลให้อยู่ใต้นั้นไม่ต้องขึ้นมาได้อีกเลย”

“อืม” เย่หวูเฉินพยักหน้า “พวกเราไม่อาจใช้พลังตัวเองทำร้ายผู้บริสุทธิ์โดยไร้เหตุผล แต่ว่าสำหรับศัตรูและคนเลวแล้วไม่อาจปราณีได้ เพราะว่าการสังหารแบบนั้นไม่ถือว่าเลวร้าย”

“ท่านพ่อ ท่านพูดคำพวกนี้กับข้ามาหลายรอบแล้วจนข้าจำได้ ท่านเล่าเรื่องสนุกๆให้ข้าฟังอีกดีกว่ามั้ย?” เสี่ยวโม่แลบลิ้นอย่างซุกซน นางได้อยู่กับเย่หวูเฉินมาตลอดหลายวัน ด้วยความที่โดดเดี่ยวมานานเกินไป นางจึงหลงใหลในความรู้สึกนี้ราวกับติดฝิ่น นางปลดวางความสงสัยและแคลงใจในตัวเย่หวูเฉินจนหมดแล้ว สำหรับเขา ความเปลี่ยนแปลงนี้เขาคุ้นเคยมาพักหนึ่ง และตอนนี้ยิ่งคุ้นชินยิ่งขึ้น

เย่หวูเฉินเอานิ้วแตะจมูกนางและยิ้มกล่าว “ตกลง งั้นข้าจะเล่าเรื่องใหม่ให้เจ้า....”

พรึ่บ.....

เสี่ยวโม่ผุดลุกขึ้นนั่งฉับพลัน ดวงตาจับจ้องไปยังทิศใต้ ร่างกายแผ่กลิ่นอายแรงกล้า เย่หวูเฉินแปลกใจแล้วลุกขึ้นนั่งอีกคน ขมวดคิ้วมุ่นและกล่าว “เจ้าพบอะไร?”

“กลิ่นอายที่คุ้นเคยอย่างมาก” เสี่ยวโม่จ้องมองไปยังทางใต้ มุ่นคิ้วขณะกล่าว เวลานี้ใบหน้าของนางเย็นเยือกหนักหน่วง ไร้ความอ่อนช้อยเหมือนเมื่อครู่อีก

“กลิ่นอายที่คุ้นเคย?”

“เป็นปราณปีศาจ” เสี่ยวโม่กล่าวคำเย็นเยียบ คิ้วบางขมวดแน่นขึ้นอีก

“ปราณปีศาจ? หรือว่าจะเป็นปีศาจตนอื่นที่มาที่นี่?” สีหน้าของเย่หวูเฉินทะมึนลงบ้าง การอนุมานนี้ย่อมเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดขีดอย่างไม่ต้องสงสัย

“อาจใช่ หรืออาจไม่ใช่.... นี่เป็นปราณปีศาจที่แปลกมาก ข้าไม่เคยรู้สึกถึงปราณปีศาจเช่นนี้มาก่อนในสถานที่ที่ข้าเคยอาศัยอยู่ แต่นี่คือปราณปีศาจไม่ผิดพลาดแน่ ยิ่งกว่านั้น ปราณปีศาจนี้ยังปรากฎขึ้นอย่างฉับพลัน มันไม่ได้เคลื่อนจากที่ไกลมาที่ใกล้แต่อย่างใด” เสี่ยวโม่ครุ่นคิดอย่างกังวล ดวงตาติดตรึงยังทิศใต้ สัมผัสกลิ่นอายของปีศาจนั้น ฉับพลันราวกับนางนึกบางสิ่งออก นางก้มศีรษะลงเล็กน้อยและกล่าวเสียงต่ำ “หรือว่านั่นคือการ.... เปลี่ยนเป็นปีศาจ!?”

.....................

.....................

ทางใต้ของอาณาจักรคุยชุย ตอนเหนือของดินแดนสาบสูญ

“ไปกันเถอะ เจ้านายยังไม่กลับมา ดังนั้นไม่อาจรอได้อีก แม้ว่าการเคลื่อนไหวนี้จะทำให้แผนของเจ้านายผิดเพี้ยนไป พวกเราก็ยอมถูกเจ้านายลงโทษ แต่จะไม่ยอมให้เจ้านายต้องเสี่ยงไปมากกว่านี้”

ภายในห้องโถง เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางอยู่กันอย่างพรักพร้อม ล้อมรอบด้วยคนหลายสิบ แต่ละคนแววตาเป็นประกายดุจน้ำแข็ง ฉู่จิงเทียนอยู่ที่นี่เช่นกัน เมื่อทุกคนได้ยินคำก็พยักหน้าหนักอย่างพรักพร้อม พวกเขาร้อนรนจนแทบไม่อาจอดทน รอคอยเวลานี้มายาวนานแล้ว เย่หวูเฉินและเล่งหยาไปที่นั่นได้สามวันโดยไร้ข่าวคราว หัวใจของพวกเขาได้บีบรัดมาตลอดสามวัน ขณะที่พวกเขากำลังจะเคลื่อนพล ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงบางสิ่ง ต่างเหลียวออกไปนอกห้องโถงพร้อมกัน

“ท่านปู่ ท่านพ่อ ออกมาเร็ว รีบมาดูนี่เร็วเข้า มีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น!” ภายนอกห้องโถง มีเสียงของเหยียนกงลั่วดังสะท้อนเข้ามาอย่างรีบร้อน

เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางเมื่อได้ยินคำก็ทะยานร่างออกไป คนอื่นๆก็ตามติดออกไป พวกเขาจ้องสายตาไปตามกลิ่นอายนั้น แหงนศีรษะขึ้นฟ้าพร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนกลับกลาย

ท้องฟ้ารัตติกาลไร้ขอบเขต เป็นสีดำสนิทราวน้ำหมึก ทว่าบนท้องฟ้าที่ห่างออกไปนั้น มีเงาดำมืดทะมึนยิ่งกว่าท้องฟ้า มันแยกออกเป็นปากและดวงตา ปรากฎในรูปลักษณ์ที่น่ากลัวยิ่ง.... หมอกดำที่ลอยอยู่ตรงนั้น ราวกับปีศาจที่แสยะยิ้ม

“นั่นมัน.... เดี๋ยวนะ เหมือนข้าจะเคยเห็นเงานี้มาก่อน.... ใช่แล้ว วันนั้นในงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน เจ้าหน้าน้ำแข็งก็สร้างเงาแบบนี้ปรากฎออกมาเหมือนกัน แต่ตอนนั้นมันออกมาเพียงแวบเดียว และข้าบังเอิญเห็นเข้า ทั้งยังไม่ได้ใหญ่โตและน่ากลัวถึงเพียงนี้” ฉู่จิงเทียนกล่าวอย่างตกตะลึง

“ตรงนั้นเป็นที่ตั้งของสำนักจักรพรรดิเหนือ” เหยียนเทียนเว่ยกล่าวโพล่งออกมา จากนั้นหันกลับมาจ้องที่ฉู่จิงเทียน “เจ้าแน่ใจนะว่าจำได้ถูกต้อง? ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจากตัวของเล่งหยา?” ในวันที่เล่งหยาเปิดเนตรปีศาจสังหารโลหิต รอยยิ้มซีดเซียวของปีศาจได้ปรากฎขึ้นบนท้องฟ้า มันไม่ได้ชัดเจนแต่อย่างใด ทั้งยังเกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียว กระทั่งต่อให้ตั้งตาคอยมอง คนก็ยังคิดว่าน่าจะตาฝาดไป ผู้ที่จำภาพในฉากนั้นได้ชัดเจนที่สุด มีเพียงฉู่จิงเทียนคนเดียวเท่านั้น

“ใช่! ใช่แน่นอน ข้าจำเงานี้ได้แม่น” ฉู่จิงเทียนกล่าวพลางพยักหน้าหนัก

เหยียนต้วนชางกล่าวด้วยคิ้วมุ่น “ดูเหมือนมีเรื่องหนักหนากำลังเกิดขึ้น”

เหยียนเทียนเว่ยราวกับไม่ได้ยิน ดวงตาชราแฝงความองอาจ มองตรงไปที่เงานั้น เป็นเวลานานจึงกล่าวออกมาคำหนึ่ง “รอ!”

เนื่องจากการปรากฎของรอยยิ้มปีศาจ สำนักมารที่ระดมกำลังเตรียมเคลื่อนไหวจึงชะงักลง พวกเขาต้องรออย่างทรมานอีกครั้ง

..........................

..........................

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?”

“นั่นคืออะไร!”

ในสำนักจักรพรรดิเหนือรวมถึงบริเวณโดยรอบหลายสิบลี้ ผู้คนต่างมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน สำนักจักรพรรดิเหนือสัมผัสถึงกลิ่นอายปีศาจนี้ได้แจ่มชัดยิ่ง เหล่าคนสำนักจักรพรรดิเหนือที่ไม่ได้ออกมาในตอนแรกยังออกมา ต่างขมวดคิ้วและแหงนขึ้นมองบนอากาศ เหยียนต้วนหุนและเหยียนเทียนอ้าวที่ปิดตนอยู่ในห้องเพื่อสงบจิตใจ ยังต้องเปิดตาขึ้น

จำนวนผู้คนที่พุ่งมาทางเล่งหยาเพิ่มขึ้นมาก แทบทุกคนในสำนักจักรพรรดิเหนืออยากรู้สาเหตุ เวลานี้สำนักจักรพรรดิเหนือมียอดฝีมือเทวะอยู่ในสำนักสี่คน ส่วนใหญ่คือคนรุ่นเดียวกับประมุขคนก่อน มีเหยียนเทียนสงพ่อของเหยียนต้วนหุน  อีกสามคนคือเหยียนต้วนหุน , เหยียนเทียนอ้าว และเหยียนเทียนหยุน เป็นเวลานานแล้วที่เหยียนเทียนสงไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในสำนัก เหยียนต้วนหุนกับเหยียนเทียนอ้าวกำลังรักษาตัวจึงไม่ออกมา มีเพียงเหยียนเทียนหยุนที่ออกมาดูเพราะปราณปีศาจ เวลานี้ทั่วทั้งสำนักจักรพรรดิเหนือกำลังแตกตื่นโกลาหลเพราะเล่งหยา

ทว่าขณะที่พวกเขากำลังออกมา เงาบนท้องฟ้ากลับสลายหายไป ที่พื้นมีซากศพนอนเกลื่อนอยู่ทุกหนแห่ง นอกเหนือจากนั้นแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดอีก

[ปล.ยังไม่ชัวร์เรื่องเหยียนเทียนสงนะครับ ไว้เดี๋ยวจะเช็คอีกที]



<<<PREV    .    NEXT>>>