วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 379

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 379 ไม่หันหลังกลับ

มนุษย์ผู้นั้น กลิ่นอายอ่อนแอจนแทบไม่อาจสัมผัสอย่างเห็นได้ชัด ทว่าขณะที่มันโจมตี พลังทั้งหมดกลับมาจาก....

เจวี๋ยเทียนจับจ้องสายตาไปยังกระบี่สีทองที่ยังไม่ดับแสงลงทั้งหมด มุมปากเผยรอยยิ้มเย็นเหี้ยมโหด “คิดไม่ถึงเลยว่า.... จะเป็นกระบี่ตัดดารา.... สมบัติที่จักรพรรดิใต้ทิ้งไว้เบื้องหลัง ศาตราต้องห้ามที่มีเพียงมนุษย์อย่างเจ้าจึงสามารถใช้ได้.... แฮ่ก.... แฮ่ก.... แต่พลังของเจ้าอ่อนด้อยเกินไป พลังฝืนสวรรค์เมื่ออยู่ในมือเจ้าจึงปลดปล่อยได้เพียงพลังน่าหัวร่อ.... เจ้า ตายซะเถอะ!!”

ศาสตราต้องห้ามทรงพลังเพียงใด? ชาวทวีปเทียนเฉินทำได้เพียงสงสัยและอ้างอิงคำเล่าลือจากประวัติศาสตร์ ทว่าชาวทวีปเทวะรู้แจ่มแจ้งถึงพลังแท้จริงของมันว่าน่ากลัวเพียงใด เย่หวูเฉินเหวี่ยงกระบี่ตัดดาราสร้างบาดแผลร้ายแรงให้เจวี๋ยเทียนด้วยท่าแยกฟ้าผ่าปฐพี คิดไม่ถึงว่าจะถูกเหยียดหยันด้วยคำว่า ‘พลังน่าหัวร่อ’ ที่ออกจากปากของเจวี๋ยเทียน....

แรงกดดันจากเจวี๋ยเทียนลดลงจากก่อนหน้าถึงกึ่งหนึ่ง ทว่ายังคงเหนือล้ำกว่าทงซินอย่างเห็นได้ชัด มันเคลื่อนพลังเทพระงับอาการบาดเจ็บทั่วร่างกาย แค่นเสียงเย็น แล้วยิงสายฟ้าเจ็ดสายไปยังเย่หวูเฉินในทิศที่แตกต่างกัน

ทันทีที่มันปล่อยสายฟ้า ทงซินก็ทะยานร่างเข้าโจมตีอย่างฉับพลัน แสงเย็นแห่งกริชเทพพิโรธเล็งตรงไปที่ลำคอของเจวี๋ยเทียน

เจวี๋ยเทียนสูญเสียแขนซ้าย ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ หลังจากรับการโจมตีจากท่า ‘แยกฟ้าผ่าปฐพี’ ของเย่หวูเฉิน ยามนี้มันต้องยอมอดกลั้นความเจ็บสาหัสที่แผ่ลามทั่วร่าง เจ็บหนักราวกับถูกขุนเขาขนาดใหญ่ท่วมทับอยู่บนศีรษะ การเคลื่อนไหวช้าลงอย่างเห็นได้ชัด พลังถดถอยลงอยู่ช่วงใหญ่ สูญเสียหอกยาวเท่ากับเสียมืออีกข้าง เวลานี้เพื่อเผชิญหน้ากับทงซิน ความกดดันที่มันสัมผัสได้กลับเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า การจู่โจมฉับพลันของทงซิน นำมาซึ่งความสับสนชั่วขณะ ไม่อาจคลายใจสะดวกสบาย ไม่อาจไม่กังวลต่อเย่หวูเฉินได้อีก

ทว่าอย่างไร เจวี๋ยเทียนก็คือเจวี๋ยเทียน แม้ว่าจะบาดเจ็บหนัก อ่อนแอแล้วอ่อนแออีก สูญเสียแขนข้างหนึ่งและอาวุธติดต่อกัน มันยังคงได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในแปดเทพขุนพลแห่งทวีปเทวะ หลังจากชั่วเวลาสั้นๆ มันก็รวมพลังไร้ต้านกลับมาอีกครั้ง สถานการณ์ยังคงเป็นเจวี๋ยเทียนที่เหนือกว่า

สายฟ้าที่ปล่อยออกจากเจวี๋ยเทียนพุ่งเข้าปะทะเย่หวูเฉิน ภายใต้แรงกระแทก เย่หวูเฉินปลิวไปหลายสิบเมตร ทว่าเมื่อเขาหยุดร่างลง ก็ยังคงลอยนิ่งอย่างเงียบงัน มองดูทงซินด้วยสัมผัสทั้งห้าที่ตื่นตัว

“หนานเอ๋อร์ ข้าแพ้แล้ว” เย่หวูเฉินถอนหายใจบาง กล่าวคำด้วยความผิดหวัง

“....เคล็ดเทวะต้องห้าม มีเพียงผู้บรรลุพลังเหนือเทพเท่านั้นจึงจะใช้ได้ ถ้าหากเขาไม่ได้ใช้เคล็ดเทวะต้องห้ามออกมา เจ้านายย่อม....”

“แพ้ก็คือแพ้ ไม่มีคำว่าถ้า” เย่หวูเฉินส่ายศีรษะบาง ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนการที่เขาวางไว้ก่อนหน้า หนึ่งอาทิตย์ก่อนที่มา เขายอมถูกจับเพื่อระบุที่ตั้งอันแน่นอนของสำนักจักรพรรดิใต้ วันนี้ในตอนเช้า เขารู้สึกถึงการมาของเจวี๋ยเทียน จึงพาทงซินไปปรากฎตัวในสำนักจักรพรรดิใต้เงียบๆ ล่อลวงให้เจวี๋ยเทียนติดตามกลิ่นอายของทงซินไป จากนั้นใช้พลังสูงสุดปิดบังทงซินไว้ และมันไม่ทำให้เขาต้องรอนาน เมื่อเจวี๋ยเทียนเป็นฝ่ายระเบิดศึกก่อน ทั้งยังรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดหวัง สำนักจักรพรรดิใต้ถูกบีบคั้นให้ใช้ไพ่ตายสุดท้ายในมือ พลังที่สั่งสมมาหลายชั่วรุ่นหลายพันปีถูกใช้ออกจนเจวี๋ยเทียนบาดเจ็บหนัก ทั้งยังทำให้มันเสียแขนไปข้างหนึ่ง เจวี๋ยเทียนโกรธเกรี้ยวจนไม่ยับยั้งพลังใดๆ ปลดปล่อยพลังต้าน ทำลายรากฐานของสำนักจักรพรรดิใต้ลงสิ้น

ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่าในก้าวสุดท้าย กลับเกิดการพลิกผันอย่างร้ายกาจ เจวี๋ยเทียนใช้ออกซึ่งเคล็ดเทวะต้องห้ามหรือ ‘ร่างอัสนีเทวะ’ เย่หวูเฉินลอบตัดมิติเข้าไปและใช้ท่า ‘แยกฟ้าผ่าปฐพี’ โดยที่มันไม่รู้ตัว ทว่าเจวี๋ยเทียนกลับรอดชีวิตด้วยร่างนั้น

“อา....” หนานเอ๋อร์ต้องการจะปลอบโยนเขา ทว่ากลับไม่ทราบว่าสมควรใช้คำพูดใด ผ่านไปเนิ่นนาน นางจึงใช้น้ำเสียงเล็กๆกล่าวอย่างอ่อนแอ “เจ้านาย เขาร้ายกาจมาก.... พวกเราไม่อาจเอาชนะเขาได้ ท่าน....ท่านหนีไปจากที่นี่ก่อนดีไหม? ตราบใดที่เจ้านายหนีออกไป เขาย่อมไม่อาจตามหาท่านพบ รอจนหมดวันนี้เขาย่อมกลับไปยังทวีปเทวะ เมื่อถึงตอนนั้น ทุกอย่าง....”

“อย่าพูดอีกเลย” เย่หวูเฉินเข้าใจความหมายของหนานเอ๋อร์ เขาหยุดนางและกล่าวอย่างสลด “ข้าจะหนีได้อย่างไร.... ไหนเลยข้าจะยอมรับได้.... ทงซินจะถูกมันพากลับไป.... ไหนเลยข้าจะยอมรับ!”

“แต่....แต่ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นอะไรไป ฮือออ.... เจ้านาย ถ้าท่านเป็นอะไรไป แล้วข้าจะทำยังไง....”

“....ข้าจะไม่ตายง่ายๆเช่นนั้น”

“แต่ว่า.... เจ้านาย ท่านไม่คิดบ้างหรือ เทพจักรพรรดิที่เจวี๋ยเทียนพูดถึง บางทีเขาอาจเป็นพ่อของทงซิน พวกเขาย่อมไม่ทำร้ายทงซิน หลังจากที่พานางกลับไปยังทวีปเทวะแล้ว ตรงกันข้าม พวกเขาอาจช่วยนางฟื้นพลังคืนด้วยซ้ำ และช่วยนางถอนคำสาป บางทีหลังจากนั้น นางอาจกลับมาที่นี่อีก.... เพราะงั้น เจ้านาย ท่านออกไปจากที่นี่เถอะนะ เขาคือเทพขุนพลแห่งทวีปเทวะ พวกเราไม่มีปัญญาเอาชนะเขาได้จริงๆ ข้าไม่อยากให้เจ้านายเป็นอะไรไป ไม่อยากเลย....” หนานเอ๋อร์โน้มน้าวอย่างจริงจัง ใช้น้ำเสียงอ้อนวอนเต็มที่ สิ่งใดเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเย่หวูเฉิน หนานเอ๋อร์มักแสดงความเห็นแก่ตัวเล็กๆออกมา สำหรับนางแล้ว ยอมให้ผู้คนทั้งโลกตกตาย ดีกว่ายอมให้เย่หวูเฉินเป็นอะไร เพราะชีวิตของนาง อนาคตของนาง และปัจจุบันของนางได้ผูกติดแน่นหนากับเย่หวูเฉิน

“ข้า....ทำไม่ได้! ต่อให้เป็นพ่อของนาง ต่อให้เป็นเทพจักรพรรดิผู้ครองทวีปเทวะ ข้าก็ไม่ยอมมอบเสวี่ยเอ๋อร์และทงซินให้ไปจากข้างกายข้า.... ไม่มีวัน!” เย่หวูเฉินขบฟันแน่น ม่านตาขยายกว้างดุจท้องฟ้าราตรี ประกายแสงเย็นสะท้อนออกในฉับพลัน

กระบี่ตัดดาราในมือกลายเป็นแสงทองแล้วหายวับไป คันศรสีแดงโลหิตปรากฎขึ้นในมืออีกข้าง

“เจ้านาย.... ท่าน.... ท่านเพิ่งใช้ท่า ‘แยกฟ้าผ่าปฐพี’ ไปนะ ตอนนี้เหลือพลังไม่พอจะยิงศรทลายฟ้าแล้ว ยิ่งกว่านั้น ต่อให้ท่านยิงศรทลายฟ้าได้.... ศรทลายฟ้าก็ต้องใช้เวลารวบรวมพลังเป็นเวลานาน ระหว่างนี้เจวี๋ยเทียนย่อมรู้ตัวแน่ หากหวังไม่ให้เจวี๋ยเทียนเข้าขัดจังหวะก็มีแต่ต้องซ่อนตัวเท่านั้น....”

เย่หวูเฉิน “......”

“เจ้านาย ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?” หนานเอ๋อร์ถามอย่างกระวนกระวาย

เย่หวูเฉินไม่ตอบนาง เขาจับคันศรบาปวิบัติและลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น สองมือกำแน่นจนนิ้วแทบแตก

การปะทะของทงซินและเจวี๋ยเทียนยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง รอยเลือดอีกสายไหลออกจากมุมปากของทงซิน ทว่าใบหน้านางยังคงไร้อารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลง จิตสังหารและกริชเทพพิโรธในมือยังคงตวัดอย่างร้ายกาจและเยียบเย็น นางหมุนร่างนำสายลมทมิฬตรงใส่เจวี๋ยเทียน เมื่อประกายคมโลหิตเข้ามาใกล้ เจวี๋ยเทียนที่สงวนพลังไว้ในที่สุดก็ตอบสนองอย่างเงียบงัน หมัดที่เหลือหนึ่งข้างกำขึ้นช้าๆ ฉับพลันพลังสีม่วงน่าหวาดหวั่นก็สะเทือนขึ้นจากในกระดูกแขนขวา และแล้วมันก็คำรามเสียงต่ำ “ทลายอัสนีเทพ”

สายฟ้าปกคลุมหมัดด้วยพลังไร้ต้าน สายฟ้าที่ปรากฎมิได้งดงามนัก ขณะที่เหวี่ยงหมัดออกมิติโดยรอบบิดผันทันที หมัดนี้ดูคล้ายสามารถฉีกกระชากมิติได้โดยตรง

“ปัง!!” ในสายตาของเย่หวูเฉิน หนึ่งหมัดของเจวี๋ยเทียนปะทะเข้ากับกริชเทพพิโรธของทงซิน เสียงดุจสายฟ้าดังก้องนภาทันที ทันใดนั้น คลื่นระลอกของอากาศเย็นเยือกแผ่พัดทุกทิศทาง หนึ่งกริชหนึ่งหมัดสัมผัสกัน ร่างของเจวี๋ยเทียนถลาถอยหลังไปหลายสิบเมตรก่อนจะหยุดลง บนหมัดมีเพียงรอยแผลเล็กๆ ทว่าร่างของทงซินที่ปรากฎในสายตาของเย่หวูเฉิน กลับเหมือนใบไม้ที่ถูกพายุพัดละลิ่วไปไกล.... กริชเทพพิโรธปลิวห่างจากร่างผู้เป็นนายและร่วงลงสู่พื้น

เงาร่างหนึ่งปรากฎขึ้นที่เบื้องหลังของทงซินในฉับพลัน เย่หวูเฉินคว้าร่างของทงซินไว้และกอดไว้มั่น ทว่าด้วยพลังรุนแรงที่เจวี๋ยเทียนอัดเข้าใส่ทงซิน ทำให้พลังนั้นแผ่ท่วมเย่หวูเฉินที่อยู่หลังนาง เขารู้สึกราวกับเบื้องหน้ามีแผ่นเหล็กหนากดทับ ร่างกายราวกับจะแตกออก หนักหน่วงจนถึงส่วนลึกในหัวใจ เขากอดทงซินไว้ไม่ยอมปล่อยจากกาย ยอมให้พลังผลักร่างถอยหลังไป หลังจากถอยไกลราวร้อยเมตร เขาก็ฝืนพลังหยุดร่าง แล้วนำทงซินลอยลงสู่พื้น

ทงซินใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ม่านตาทมิฬราวกับสูญเสียประกายไปบ้าง เมื่อลอยร่างลงถึงพื้นดิน นางก็พ่นหมอกโลหิตที่ไม่อาจอดกลั้นได้อีกออกจากปาก จากนั้นพังพาบลงในอ้อมอกของเย่หวูเฉิน หอบหายใจอย่างหนักหน่วง นางสัมผัสความอบอุ่นจากร่างเขาในชั่วขณะ

เย่หวูเฉินยื่นมือออกปาดรอยเลือดที่มุมปากนาง ทงซินหลั่งเลือดแต่ละครั้งล้วนเพื่อเขา เลือดทุกหยดของนาง ทำให้เย่หวูเฉินรู้สึกราวกับว่าหัวใจตัวเองกำลังหลั่งเลือด....

“ทงซิน ข้าจะยอมให้เจ้าต้องเสียเลือดอีกได้อย่างไร.... เจ้าติดตามข้ามานานมากแล้ว คอยปกป้องข้ามานาน ข้าติดค้างเจ้านัก ทั้งชีวิตนี้ไม่อาจชดใช้.... ไหนเลยข้าจะยอมปล่อยให้เจ้าไปจากข้างกาย” สัมผัสใบหน้าที่อ่อนละมุนและเย็นเยือกดุจหยก เย่หวูเฉินกล่าวคำอ่อนโยนราวกับคนละเมอ

แรงกดดันร้ายกาจกำลังใกล้เข้ามา ทงซินที่พิงศีรษะอยู่ในอกของเย่หวูเฉินลืมตาขึ้นฉับพลัน นางพุ่งทะยานออกจากร่างของเย่หวูเฉิน เงยศีรษะมองฟ้าด้วยสายตาเย็นชาล้ำลึกขึ้นกว่าเดิม ฝ่ามือขยับเคลื่อน เรียกคมกริชสั้นให้บินกลับมา นางพุ่งขึ้นฟ้าต้อนรับการเข้ามาถึงของเจวี๋ยเทียน พลังทมิฬและพลังมรณะระเบิดออก ท้องฟ้ามืดลงฉับพลัน

เหนือท้องฟ้า การโรมรันระหว่างทงซินและเจวี๋ยเทียนเกิดเสียงระเบิดเลือนลั่นอย่างต่อเนื่อง เย่หวูเฉินยืนอยู่บนผืนดิน หลับตาลงช้าๆ มือซ้ายยกคันศรบาปวิบัติขึ้นสูง มือขวาที่ยังเปื้อนเลือดของทงซินค่อยๆยกขึ้นมา น้าวสายคันศรบาปวิบัติที่ไม่อาจมองเห็นช้าๆ ศรโลหิตปรากฎขึ้นพาดคันธนู ปลายศรไม่ได้เล็งไปยังเป้าหมายใด เพียงชี้ขึ้นบนท้องฟ้าว่างเปล่า สายตาของเย่หวูเฉินไม่ได้เล็งไปที่ผู้ใด เปลือกตาของเขาปิดลง ในสมอง ในหัวใจ ในส่วนลึกของวิญญาณ ปรากฎภาพของเจวี๋ยเทียนคมชัดไร้ที่เปรียบ

คันศรบาปวิบัติเริ่มสั่น แรงสั่นยิ่งมายิ่งแรงขึ้น พร้อมร่วงหล่นจากมือของเย่หวูเฉินได้ในทุกขณะ ดูคล้ายมันกำลังขัดขืน ทว่ามือซ้ายของเย่หวูเฉินจับคันศรไว้อย่างแน่นหนา ไม่ยอมปล่อยให้หลุดจากมือตน สีหน้าอารมณ์สงบนิ่ง ทว่าบางครั้งก็ฉายแววความเจ็บปวด



<<<PREV    .    NEXT>>>