วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 363

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 363 ตอบโต้ลืมตาย!

“ฮ่าห์!!”

เสียงกู่ร้องก้องฟ้าราตรี ราวกับเหยี่ยวกรีดเสียงบาดจิต ทุกคนรวมทั้งเหยียนชางต่างรู้สึกหัวใจสั่นไหวจากเสียงกู่ร้องยาวนาน เสียงกู่ร้องยาวนานนี้ไม่ได้แฝงความโกรธ , ทรมาน , หรือไม่เต็มใจ มีเพียงจิตสังหารที่พร้อมประจัญเท่านั้น

มีคนอีกกลุ่มหนึ่งมาถึงยังบริเวณ ทุกคนต่างมีร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเพลิงวิญญาณ มีสองคนที่พลังไม่ด้อยไปกว่าเหยียนชาง พวกเขาจ้องมองที่ร่างเล่งหยา หัวใจสั่นไหวด้วยเสียงกู่ร้องยาวนานของเขา บางส่วนในใจเกิดความชื่นชม นี่คือสัตว์ร้ายที่ถูกปิดล้อม คืนนี้มันไม่คิดที่จะหลบหนี เมื่อสัตว์ร้ายไม่คำนึงถึงความเป็นตาย มันย่อมไม่ลังเลถึงชีวิต การดิ้นรนไม่สนความตายย่อมน่ากลัวขึ้นหลายเท่าอย่างไม่ต้องสงสัย

หัวใจผู้คนกลายเป็นหนักหน่วง ฝั่งของพวกตนมีคนมากมายล้อมรอบคนผู้เดียว ทว่าพวกเขากลับรู้สึกกดดันจากเล่งหยา

หลังสิ้นเสียงคำราม เล่งหยาตวัดคู่ดวงตาคมกล้าราวกระบี่ ประกายดวงตาสะท้อนแสงโลหิตบางเบา เขาแทงกระบี่ขนานไปด้านข้าง กระบี่ในมือขวาเล็งตรงที่หัวใจของคนผู้ประกาศสถานะของเขา ทันทีที่เขาขยับกาย เหล่าคนที่จ้องตรึงร่างก็ลงมือทันที ทันใดนั้นคลื่นพลังก็ปั่นป่วนไปโดยรอบ ไอปราณตัดอากาศพุ่งมาจากทุกทิศทาง

“เล่งหยา” ปิงเอ๋อร์ถูกผลักออกไปไกลขึ้นด้วยแรงอัดของคลื่นพลัง นางเห็นเล่งหยาถูกรุมล้อมด้วยยอดฝีมือน่าหวาดหวั่น เสียงตะโกนราวกับตื่นขึ้นจากฝันร้ายฉับพลัน ก่อนหน้านี้เล่งหยาโอบนางไว้มั่น ทว่าเมื่อเหยียนชางกล่าวประโยค “ห้ามทำร้ายปิงเอ๋อร์นอกจากจะจำเป็น” เล่งหยาก็ไม่ลังเลผลักนางจนกระเด็นออกห่าง ไกลพ้นจากอันตราย

เฮอะ!

ชายกลางคนที่ถูกเล่งหยาเล็งกระบี่ใส่แค่นเสียงบางคำหนึ่ง จากนั้นถอยเท้าไปหนึ่งก้าว มือขวาพุ่งออกหมายคว้าข้อมือของเล่งหยา ทว่าขณะที่กำลังจะสัมผัสข้อมือ เล่งหยาราวกับมีพลังแกร่งกล้าผลักมาจากด้านหลัง ความเร็วพุ่งทะยานขึ้นฉับพลัน พริบตาก็ปักกระบี่.... ชายกลางคนเอามือดันแขนของเล่งหยา หากกระบี่คร่าสายลมยังคงปักทะลุอกซ้ายตัดผ่านขั้วหัวใจ ปลายกระบี่สีเขียวโผล่ออกด้านหลังพร้อมรอยเลือด ใต้ท้องฟ้ารัตติกาล มันสะท้อนแสงเขียว

ชายกลางคนดวงตาเหลือกขึ้น มือซ้ายที่จับแขนเล่งหยาตกลงอ่อนปวกเปียก ชายผู้มีพลังขอบเขตวิญญาณขั้นสูงกลับถูกเล่งหยาสังหารในพริบตา ทว่าเล่งหยาราวกับจดจ่อกับการสังหารเท่านั้น ไม่สนใจวิกฤตที่พวยพุ่งมาจากเบื้องหลัง ฝ่ามือทลายศิลาหลายข้างกำลังใกล้เข้ามาจากเบื้องหลัง

เสียงหนักทึบดังขึ้นหลายสาย สามฝ่ามือกระทบเข้าพร้อมกัน ทว่ามันไม่ได้ถูกร่างของเล่งหยา แต่เป็นชายกลางคนที่เพิ่งตกตายใต้คมกระบี่ของเล่งหยา ร่างของเขายังไม่ทันร่วงถึงพื้น สามคนนั้นก็ทำให้ร่างของชายกลางคนแตกละเอียดหลายส่วนและปลิวไปไกล ส่วนเล่งหยา.... ในจังหวะที่พวกเขาชะงักงันหลังฟาดฝ่ามือเสร็จ สายลมเย็นเยือกพร้อมแสงเขียวก็วับผ่านสายตาของสามบุคคล แสงเขียวนำพาความหนาวเหน็บมาสู่ร่างกายส่วนล่างของพวกเขา แล้วแผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจ

เสียงกรีดร้องเสียดวิญญาณดังซ้อนขึ้น สามร่างกลายเป็นหกส่วนอย่างปราณีต ร่างกายท่อนล่างถูกตัดออกสั้นยาวต่างกัน ละอองเลือดพวยพุ่งออกมาในทิศเดียวกัน ทั้งสามคนเห็นภาพน่าสะพรึงคือส่วนล่างแยกออกจากร่าง.... ภาพตรงหน้าดับมืดลงราวกับตกสู่หุบเหวไร้ก้น

เล่วหยารู้ว่าตัวเองต้องตาย แต่เขาไม่ได้รีบร้อน ไม่คลั่งอาละวาด ไม่สิ้นไร้เหตุผล กลับกันเขาสงบอย่างผิดธรรมดา ราวกับว่านี่ไม่ใช่ค่ำคืนที่เขาจะถูกสังหาร แต่เป็นเกมล่าสังหารอย่างอิสระ เขารับรู้การเคลื่อนไหวของทุกกลิ่นอายที่อยู่โดยรอบ คาดเดาการเคลื่อนไหวอย่างสุขุม มองหาจังหวะจู่โจมอย่างสงบ กระบวนท่าแรกเขาเพียงพุ่งแทงกระบี่ จากนั้นระเบิดความเร็วฉับพลันจนไม่มีผู้ใดคาดคิด เมื่อร่างชะงักก็ไม่ได้มองไปเบื้องหลัง แต่ล้มกายลงกับพื้นทันที จากนั้นตวัดคมกระบี่ตัดร่างยอดฝีมือขอบเขตวิญญาณทั้งสามจนขาดครึ่ง

ที่น่ากลัวไม่ใช่หมาป่าหิวโหย แต่เป็นหมาป่าที่ถูกบีบคั้นให้ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง จนตอบโต้ลืมตาย!

เพียงชั่วอึดใจ เล่งหยาก็สังหารต่อเนื่องไปสองครั้ง แทบจะไร้ช่องว่างระหว่างกลาง ตกตายไปหนึ่งแล้วตามด้วยสาม การลงมือโหดเหี้ยมเด็ดขาด ไร้ความลังเลใดๆ ราวกับเล่งหยารอให้พวกเขาโจมตีเข้ามา แววตาสงบของเหยียนชางเป็นประกาย เวลานี้ เขาเผลอตัวยกย่อง ลงมือเด็ดขาด ตอบสนองทันควัน เปี่ยมด้วยไหวพริบ ไม่ได้อาศัยเพียงพลัง อย่างน้อย แม้เหยียนชางมีพลังเหนือล้ำกว่าเล่งหยา แต่เขาย่อมไม่อาจลงมือเพียงสองกระบวนท่าที่งดงามและทรงประสิทธิภาพเช่นนี้

เล่งหยาไหวร่างเป็นเงาดำ เคลื่อนร่างเบี่ยงไปมาในกลุ่มคนที่พุ่งเข้าหา เขาหลบเลี่ยงไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในวงล้อม เพราะนั่นจะทำให้เขาตายเร็วเกินไป เขาไม่หวังจะมีชีวิตอยู่รอดในคืนนี้ เป้าหมายเดียวของเขาคือลากพวกสำนักจักรพรรดิเหนือให้ตกตายไปด้วยให้ได้มากที่สุด!

เสียงคมกล้ากรีดอากาศ ม่านรัตติกาลบดบังการโจมตีครั้งที่สามของเล่งหยา ยอดฝีมือสำนักจักรพรรดิเหนือที่เพิ่งเหวี่ยงฝ่ามือกลับต้องลำคอขาดออกจากกัน ดวงตาเบิกโพลงราวกับเห็นภูติผี เล่งหยาในร่างดำอาศัยความเร็วในความมืด หายไปในกลุ่มคนที่ปั่นป่วนอย่างลึกลับ....

เขาซ่อนตัวและลงมืออีกครั้งอย่างแม่นยำ เขาไม่ใช่นักรบที่แลกเลือดอย่างดุเดือด เขาเป็นประเภทที่อำพรางในเงามืด เมื่อสบโอกาสก็ลงมือในพริบตา โจมตีครั้งใดแทบหมายถึงความตาย! ที่เขามีนั้นไม่ใช่ทักษะการต่อสู้ แต่เป็นทักษะการสังหาร

“ปัง” สองเสียงหนักหน่วงปะทะบนไหล่ของเล่งหยา ทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะ ทว่าเขาเบี่ยงร่างต่อเนื่องในองศาที่ยอดเยี่ยม จากนั้นปาดทรวงอกและท้องน้อยของสองคนพร้อมกัน หมอกเลือดฟุ้งกระจายพร้อมเสียงโหยหวนสองสาย ในจังหวะต่อมา เขาหายไปในความมืดอีกครั้ง ไม่ทราบว่าไปอยู่ตรงจุดไหน

ฉัวะ.... หมอกเลือดพวยพุ่งอีกครั้งเหนือร่างของหลายคน ที่ข้างๆเหยียนชาง สามยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์เริ่มไม่อาจอยู่นิ่ง ทั้งสามหันหน้ามองกัน จากนั้นทะยานพุ่งเข้าหาเล่งหยา เพียงเวลาสั้นๆ พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าประเมินค่าชายผู้นี้ต่ำเกินไป

เมื่อเห็นคนทั้งสามประสานการลงมือ หัวใจของปิงเอ๋อร์ก็ยิ่งตื่นตระหนก นางมองดูร่างที่ไหวไปมาในกลุ่มคน เงาร่างนั้นทำสำนักจักรพรรดิเหนือสับสนปั่นป่วน ทุกครั้งที่นางเห็นเขาปรากฎกายออกมา ในใจจะเกิดความรู้สึกซับซ้อน เหนี่ยวนำให้นางจดจ่ออยู่ที่เขา

สามยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ประสานพลัง ราวกับการปรากฎของสามขุนเขากดทับบนร่างเล่งหยา พวกเขาประเมินเล่งหยาต่ำเกินไปจริงๆ.... เดิมทีเหยียนเจิ้งจบชีวิตลงด้วยหนึ่งกระบวนท่าของเล่งหยา ทว่าเมื่อได้เห็นเขา ในใจจะผุดคำว่า ‘ก็งั้นๆ’ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ยิ่งในเวลานี้ พวกเขาไม่อาจอดห้ามความสงสัยในใจว่าอาวุโสเหยียนเจิ้งพ่ายแพ้ต่อเล่งหยาด้วยเพียงกระบวนท่าเดียวจริงๆหรือ?

หากเล่งหยารับมือสามยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์เพียงลำพัง แรงกดดันย่อมหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่า ทว่ามีคนที่แต่งกายเหมือนกับเขาหลายสิบคน นั่นจึงกลายเป็นจุดอำพรางตัวอันยอดเยี่ยม เล่งหยาสามารถแฝงกายในกลุ่มคน ราวกับภูติผีที่รอคอยเวลา นำพาห่าพิรุณสีเลือด เขาไม่หยุดเคลื่อนไหวแม้เพียงวินาที ไหววับไปมาในฝูงคนโดยไม่หยุดพัก เมื่อลงมือเชือดแต่ละครั้ง จะปรากฎตัวราวภูติผี สามยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์พุ่งเข้าหาครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ากลับไม่อาจคว้าได้แม้กระทั่งชายเสื้อ

เหยียนชางดวงตาราวกับเหยี่ยว นิ่งงันมองเล่งหยาที่สังหารไม่หยุดหย่อน เบื้องหลังของเขา มีชายชราอายุ 60 ต้นๆยันปลายจำนวนสี่คนมายืนอยู่ไม่ทราบว่าเมื่อใด แต่ละคนสีหน้าสงบนิ่ง มองดูหมอกโลหิตที่ฟุ้งในอากาศและซากศพที่นอนเกลื่อนราวกับไม่ได้เห็นมัน ไร้ทีท่าจะสอดมือเข้าไปยุ่ง ในดวงตาชราทั้งสี่คู่นั้น แฝงแววชื่นชมจากใจ

“เหยียนเจิ้งตายด้วยการโจมตีหนึ่งกระบวนท่าของมันจริงๆหรือ?” ชายชราผู้หนึ่งมุ่นหัวคิ้วกล่าว

 “ฮี่ ฮี่ ข่าวลือว่าไว้แบบนั้นจริงๆ นายน้อยเองก็กล่าวเช่นนั้น พูดได้เพียงว่าที่เหยียนเจิ้งพ่ายแพ้ให้แก่มัน นับเป็นความโชคดีของมันแท้ๆ” ชายชราอีกคนหัวเราะกล่าว

“คนประเภทนี้ เราผู้ชราไม่เหี้ยมหาญพอจะทำลายจริงๆ หากมันสามารถเข้าร่วมสำนักจักรพรรดิเหนือของข้าได้ละก็ ฮี่ ฮี่....”

“มันคือคนของสำนักมาร ยิ่งกว่านั้นจากลักษณะของมันแล้ว เมื่อใดที่มีเจ้านาย มันย่อมสาบานต่อสู้จนตัวตาย ติดตามชั่วชีวิตไม่มีวันทรยศ”

เหยียนชางหันกลับมาแล้วกล่าวกับคนชราทั้งสี่ “หากกล่าวถึงพลัง เด็กหนุ่มผู้นี้เพียงเพิ่งบรรลุขอบเขตสวรรค์ เทียบกับพวกเราแล้วยังถือว่าห่างไกล ทว่าความเร็วและการระเบิดพลังนั้นน่าอัศจรรย์นัก ลงมือได้โหดเหี้ยมเด็ดขาด ประสาทสัมผัสคมกล้า เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนผู้มีทุกสิ่งเหล่านี้รวมกัน.... นี่คือหนึ่งในอาวุธสังหารที่เกิดมาเพื่อฆ่า”

“เสียดายก็แต่อาวุธชิ้นนี้มีเจ้านายแล้ว มันย่อมไม่กลายเป็นของคนอื่นอีก” ชายชราอีกคนถอนหายใจยาวขณะกล่าว

“เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้จะน่าเสียดายนัก แต่ก็ต้องทำลายเท่านั้น”

“แม้ว่าตอนนี้มันยังดูเคลื่อนไหวอย่างสะดวก แต่ภายใต้การรีดเร้นจิตสัมผัสระดับสูงสุดอยู่ตลอด อีกทั้งพลังของมันยังถือว่าอ่อนด้อย มันย่อมไม่เหมาะกับการต่อสู้ระยะยาว ร่างกายและพลังย่อมอ่อนล้าอย่างรวดเร็ว และมันย่อมไม่อาจต่อต้านได้เป็นเวลานานนัก....”

คนทั้งห้ามองดูเล่งหยาในเวลาเดียวกัน แม้ว่าไม่ปรากฎชัดเจนนัก แต่การเคลื่อนไหวของเล่งหยาก็ช้าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับครั้งก่อน ความถี่ในการโจมตียังลดลงเล็กน้อย ทว่าจิตสังหารไม่อ่อนโทรมลงแต่อย่างใด ในแววตายังคงเย็นเยียบด้วยประกายสังหาร สงบและเย็นชาเหมือนแต่ต้น ไร้คลื่นกระเพื่อมไหวแม้เพียงนิด

ในใจของพวกเขา อดไม่ได้และต้องถอนหายใจอีกครั้ง

“ปล่อยให้รอดมาจนถึงตอนนี้ ก็นับว่าเมตตามากแล้ว อย่างไรเสียมันก็เป็นคนของสำนักมาร ลงมือกันเถอะ” ชายชราที่ยืนอยู่ตรงกลางเอ่ยปากกล่าว



<<<PREV    .    NEXT>>>