วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 390

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 390 เสวี่ยหนี่

มีเงาหิมะขยับเคลื่อนเล็กน้อย เสวี่ยอู่ที่จากไปได้กลับมา เวลานี้ สีหน้าที่มองยังเย่หวูเฉินได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง วี่แววตื่นตัวและกดดันไม่ปรากฎอีก แทนที่ด้วยความตื่นเต้นดีใจ คู่นัยน์ตาเป็นประจายเจิดจ้าเหนือธรรมดา เมื่อมาถึงเบื้องหน้าของเย่หวูเฉิน ก็กล่าวด้วยความนอบน้อม “ท่านจ้าววังให้ท่านไปพบ.... โปรดตามข้ามา”

การเปลี่ยนไปของเสวี่ยอู่ ทำให้ดวงตาของเสวี่ยซินเป็นประกายเจิดจ้าเช่นเดียวกัน พวกนางสบตากันและไม่กล่าวคำกับเย่หวูเฉิน เดินนำหน้าไปพร้อมกัน เย่หวูเฉินจูงมือเสี่ยวโม่ไว้ข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งอุ้มซือเฉินไว้ เดินตามคนทั้งสองไปอย่างเงียบงัน ผ่านมาแล้วสามปี นางจะยังคงเป็นมารเสน่ห์จอมยั่วยวนหรือไม่? หลังจากเรื่องผิดพลาดเมื่อสามปีก่อน ดวงหน้าบุปผาอันงามล้ำยังประทับในใจไม่เคยจาง ทว่าจนถึงบัดนี้ เขายังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงทำแบบนั้นกับเขา มีเหตุผลอันใดในเรื่องทั้งหมดนั้น?

วังสตรีหิมะไม่ได้กว้างขวางนัก ตลอดปีที่นี่เหน็บหนาวและเงียบงัน ราวกับว่ากำลังเดินอยู่ในโลกผลึกน้ำแข็ง เพียงไม่นานนัก เสวี่ยซินและเสวี่ยอู่ก็หยุดอยู่หน้าห้องที่ตกแต่งงดงามอย่างยิ่ง พวกนางค่อยๆเปิดประตูน้ำแข็ง จากนั้นแยกกันยืนอยู่สองข้าง “โปรดเข้าไปข้างใน ท่านจ้าววังกำลังรอท่านอยู่ในนั้น”

เย่หวูเฉินพยักหน้าให้พวกนาง จูงมือเสี่ยวโม่เดินเข้าไป ทว่าขณะที่ก้าวผ่านประตูเข้าไปนั้น เขาก็ต้องชะงักงันด้วยสัมผัสหัวใจในชั่วขณะ

เมื่อก้าวเข้าไป สิ่งแรกที่จะพบในสายตาคือแสงระยิบระยับของผลึกน้ำแข็ง ด้านหน้ามีกระจกขนาดใหญ่สะท้อนเงาของเย่หวูเฉินและเสี่ยวโม่ บนโต๊ะน้ำแข็งสีฟ้าตัวเล็กๆ มีแจกันผลึกสีม่วงอ่อนปักด้วยช่อดอกไม้หิมะม่วง กลิ่นหอมอ่อนจางที่ส่งออกมาเป็นสิ่งยืนยันว่านั่นไม่ใช่ดอกไม้น้ำแข็งแกะสลัก แต่เป็นช่อดอกไม้จริงๆ ตรงมุมใต้โต๊ะมีเตาหลอมเล็กๆอยู่เตาหนึ่ง มีไม้จันทร์เผาไหม้อยู่เงียบงัน ส่งกลิ่นหอมจรุงจิตใจผู้คน

เงาร่างนุ่มนวลดุจเส้นไหมสะท้อนกับบานหน้าต่างน้ำแข็ง สตรีงดงามผู้หนึ่งกำลังนั่งอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้น้ำแข็ง ผมยาวดำขลับดุจไหมยังสะท้อนประกายเย็น ดูนุ่มนวลเป็นมันเงา ผิวพรรณขาวกระจ่างสดใส ปรากฎดุจภาพในห้วงฝัน ริมฝีปากสีชมพูเชอร์รี่ดูละมุนงดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่คู่ดวงตา เป็นประกายลึกล้ำครอบคลุมด้วยหมอกน้ำ ราวกับว่าบรรจุด้วยพลังเวทย์อันลึกลับ ทำให้ผู้คนที่ได้มองต้องลืมวิญญาณ เหนือแก้มละเอียดอ่อนเป็นสีชมพู ดุจเครื่องดนตรีที่บรรเลงมนต์เสน่ห์อันเป็นอนันต์

เหนือร่างส่วนบนพันไว้ด้วยชั้นไหมบางสีชมพูแนบแน่น ส่วนล่างอยู่ในกระโปรงไหมสีขาวยาว เรือนกายในท่านั่งปรากฎส่วนโค้งทรงเสน่ห์น่าลุ่มหลง เอวบางโอบได้ด้วยแขนเดียว ทรวงอกเด่นตระหง่านกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ ชุดที่พันปกคลุมอกและกระโปรงยาวมีช่องว่างห่างจากกัน เผยให้เห็นหน้าท้องหิมะเป็นมันเงา เนื่องจากชุดของนางบอบบางยิ่ง เหนือก้อนกลมที่กระเพื่อมไหว จึงเห็นสองจุดนูนเด่นเป็นเม็ดอันเกรี้ยวกราด สร้อยสีฟ้าคล้องรอบลำคอหิมะบอบบาง ส่งแสงสีฟ้าจางตัดกับสีขาว ที่ห้อยอยู่ปลายสร้อย เป็นจี้สีฟ้าคล้ายเกล็ดหิมะถูกประกบไว้ นางคือจ้าววังสตรีหิมะ ไม่เพียงผู้คนไม่กล้าลบหลู่ความงามล้ำโลกของนาง แต่รอยยิ้มร้ายกาจของนางนั้น ยังทำให้บุรุษแทบย่อยยับเพราะความปรารถนา

นางเผยความงามต่อหน้าเย่หวูเฉินโดยไม่มียับยั้ง แต่นางไม่ทราบเลยว่า เย่หวูเฉินโชคร้ายที่ไม่อาจมองเห็น ขณะที่เสี่ยวโม่ปีศาจน้อยผู้เป็นสตรี เมื่อเห็นมารเสน่ห์ครั้งแรกยังต้องงมงายอย่างไม่อาจช่วยได้ เนิ่นนานกว่าจะคืนสติกลับมา

นี่คือจ้าววังสตรีหิมะ เสวี่ยเฟยเยี่ยน

เย่หวูเฉินและเสี่ยวโม่เดินตรงไป ทันทีที่เห็นเย่หวูเฉิน ในที่สุดนางไม่อาจระงับหัวใจที่เต้นรัวได้ นางลุกขึ้นจากเก้าอี้ จี้เกล็ดหิมะแกว่งกระทบอกขาวที่เผยออกมาครึ่งหนึ่ง อกขาวดุจน้ำนมกระเพื่อมเล็กน้อย จี้เกล็ดหิมะไหลลงสู่ร่องคูน้อย ถูกขนาบด้วยเนื้อนุ่มของหญิงสาวจนไม่อาจขยับ

“คิกๆ น้องชายน้อย นึกว่าเจ้าทอดทิ้งพี่หญิงอย่างโหดร้ายเสียแล้ว ที่แท้เจ้าไม่ได้เลิกล้มในตัวพี่หญิง ทั้งยังลอบกลับมาหา ไม่เสียแรงที่พี่หญิงโศกเศร้าเพื่อเจ้ามาตลอดหลายปี”

นางหัวเราะและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย่หวูเฉินคุ้นเคย เช่นเดียวกับความรู้สึกอ่อนระทวยถึงกระดูก เสียงหัวเราะทำผู้คนหลงลืมวิญญาณ ทว่านัยน์ตางามที่ปกคลุมด้วยหมอกหนานั้น กำลังมีหยาดน้ำใสร่วงออกมาอย่างเงียบงัน ในสายตาอันพร่ามัว นางมองเย่หวูเฉินทุกส่วนของร่างกาย ปราดมองซือเฉินกับเสี่ยวโม่หน้าใหม่เพียงเล็กน้อย ในที่สุด สายตานางก็หยุดอยู่ที่ดวงตาของเย่หวูเฉินซึ่งกำลังมองนาง ทว่าในดวงตาคู่นั้น นางเห็นเพียงความสั่นไหวเล็กน้อย ไม่ปรากฎแววตาที่ควรเป็น ในใจบีบรัดสั่นสะท้าน ราวกับมีบางสิ่งจุกขึ้นในลำคอ ความเจ็บแผ่พุ่งจนแทบไม่อาจหายใจ

เขาเติบโตขึ้นแล้ว ยืนยันได้ว่านี่คือเขาที่นางฝันถึง ทว่าสิ่งเดียวที่ต่างออกไปคือดวงตา สามปีก่อนระหว่างได้เคียงใกล้ แม้ว่าเขารักษาความสงบเมื่ออยู่ต่อหน้านาง แต่เขามักลืมตัวเผยอารมณ์หมกหมุ่นทางแววตามองมายังนาง.... ทว่าในตอนนี้ ดวงตาของเขาหม่นมัว ไร้วี่แววของสีสันใดๆ

“ท่านคือ.... เสวี่ยหนี่จริงๆ” หัวใจของเสวี่ยเฟยเยี่ยนและเย่หวูเฉินเต้นรัวไม่ต่างกัน เขาไม่อาจมองเห็นใบหน้าอ่อนหวานของนาง แต่สมองยังคงจดจำน้ำเสียงของนางได้ชัดจากสามปีก่อน มันสะท้อนทุกคำที่นางกล่าว ฉายทุก ‘เรื่องใหญ่’ ที่เกิดขึ้น เมื่อพบกันอีกครั้งหลังจากผ่านไปสามปี พอได้ฟังเสียงนางอีกครั้ง เขาก็พบว่าอารมณ์ตนเองหวั่นไหวเกินระดับที่คาดไว้ ไม่อาจควบคุมไปชั่วขณะ กระทั่งลืมคำที่คิดอยากกล่าว

“ถูกต้อง ข้าคือเสวี่ยหนี่.... แต่ข้าคือใครไม่ใช่เรื่องสำคัญ เจ้ารู้ไว้เพียงอย่างเดียวว่า ข้าคือเสวี่ยเฟยเยี่ยนของเจ้า” เสวี่ยเฟยเยี่ยนก้าวตรงมาข้างหน้าช้าๆ พร้อมลมเย็นที่มีกลิ่นหอม จากนั้นยื่นแขนสองข้างที่ขาวราวน้ำนม ลูบใบหน้าเขาอย่างอ่อนโยน แขนหิมะบอบบางเคลื่อนตามโครงหน้าทีละน้อย ในที่สุดก็หยุดที่ดวงตา ตลอดสามปีที่ผ่านมา นางเสียใจอยู่เสมอที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรี เกลียดตัวเองที่จากเขาไป.... หากนางละวางทุกอย่างลง ยืนกรานมากกว่านี้ กล้าให้มากกว่านี้ และลอบติดตามเขา ผู้ใดเล่าจะทำอันตรายต่อชีวิตเขาได้ ตอนนี้นางไม่อาจทนรอเพื่อบอกเขา ในสิ่งที่นางควรพูด

“ทำไม?” สัมผัสอันนุ่มนวลบนใบหน้า เย่หวูเฉินถามออกไปด้วยจิตใจล่องลอย เขาไม่ทราบว่านางต้องการสิ่งใด ไม่ทราบเหตุผลที่นางยังคงแสดงออกเหมือนคราวนั้น กระทั่งถึงขั้นบอกเขาด้วยคำว่า “ข้าคือเสวี่ยเฟยเยี่ยนของเจ้า”

เสวี่ยเฟยเยี่ยนยิ้มบาง มือสองข้างเลื้อยพันลำคอเขา อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอม ริมฝีปากแดงอันยั่วยวนกระซิบที่ข้างหู “บางสิ่งไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ทุกสิ่งในชีวิตข้า คือชะตากรรมของเสวี่ยหนี่ อาจารย์ของข้า ผู้เป็นมารดาข้าครึ่งหนึ่ง เป็นเสวี่ยหนี่จ้าววังสตรีหิมะคนก่อน ก่อนที่นางจะจากโลกนี้ไป นางบอกว่าชั่วชีวิตของนาง มีบุรุษผู้เดียวเท่านั้นที่มีทักษะการแพทย์เหนือล้ำกว่านาง นางเล่าว่าตัวเองไม่อาจหลบหนี ไม่อาจดิ้นรน ไม่อาจช่วยได้ ทำได้เพียงตกหลุมรักบุรุษผู้นั้นราวกับถูกยาพิษ”

เย่หวูเฉิน “......”

“....ถ้อยคำของอาจารย์ในตอนนั้น ข้าปลงใจเชื่อเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งคือความสงสัย ทว่า ในที่สุดข้าเองก็ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรม สามปีก่อนเพราะกลิ่นอายกระบี่หิมะในตัวเจ้า ข้าจึงเข้าหาและท้าประชันการรักษากับเจ้า สุดท้ายข้าได้พ่ายแพ้ลงอย่างคาดไม่ถึง ตั้งแต่วินาทีนั้น เจ้าก็ก้าวเข้ามาในโลกของข้า คราแรกข้าตั้งใจกำจัดเจ้าทิ้ง แต่คิดไม่ถึงเลยว่า....” นางยังคงยิ้มอ่อนโยน ดวงหน้าหิมะประดับสีชมพูเรื่อ นัยน์ตาทรงเสน่ห์จ้องมองเขาแทบละลาย หยาดน้ำใสดุจน้ำค้างหยดลงจากดวงตา “ข้างกายเจ้า มีคนผู้หนึ่งที่ทำให้ข้าไม่อาจสังหาร ข้าอยากหนีให้ห่างจากเจ้าแสนไกล ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ทว่าหัวใจที่ปรารถนาทำให้ข้าต้องติดตาม จากนั้น ข้าค่อยๆพบว่าตัวเองไร้พลังดิ้นรนหรือหลบหนี เพียงต้องการติดตามอยู่เบื้องหลัง มองดูทุกสีหน้าและอารมณ์ คอยมองทุกการกระทำ คอยฟังทุกเสียงที่เจ้ากล่าว....”

ถ้อยคำสุดท้ายของเสวี่ยหนี่คนก่อน รวมทั้งการพ่ายการประชันการรักษา ทำให้นางเกิดความสงสัยใหญ่หลวงในตัวเขา เมื่อใดที่สตรีเกิดหัวใจสงสัยในตัวบุรุษ นางจะก้าวเข้าสู่ขอบเหวอันตราย ต่อให้นางคือเสวี่ยเฟยเยี่ยนก็ไม่มีทางหนีพ้น เผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่รู้จัก ทำให้นางไม่ทันตระหนักถึงมัน วันแรกที่ได้พบเขา นางก็ร่วงหล่นลงไปแล้วโดยไม่รู้ตัว หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางคงไม่โผล่หน้าออกไปหาเขา คงไม่ทำการยั่วยุทุกวิธี ยิ่งตอนที่นางพบว่าตัวเองไม่อาจสังหารเขาได้ลง นางไม่คิดเลยว่า กระทั่งหลบหนีจากเขายังไม่อาจทำได้

เย่หวูเฉิน “......”

นางลอบหลั่งน้ำตาออกมาเงียบๆ หากยังคงยิ้มกล่าว “ข้าช่างโง่เขลาจริงๆ ข้าควรรู้อยู่แล้ว ว่าบุรุษของข้าเสวี่ยเฟยเยี่ยน ย่อมเป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมที่สุด ไหนเลยจะสูญสิ้นชีวิตลงง่ายๆ ข้าช่างโง่เขลานัก.... โง่เขลาจนลงโทษทรมานตน จมจ่อมอยู่ในความเจ็บปวดมาตลอดสามปี”

นางจับมือของเขาขึ้น วางทาบลงบนอกซ้ายของตัวเอง ออกแรงกดทีละน้อย จนนิ้วทั้งห้าค่อยๆจมลึกลงในอกนุ่มเด่นตระหง่าน เย่หวูเฉินรู้ตัวว่ากำลังสัมผัสสิ่งใด จิตใต้สำนึกสั่งให้ถอนมือออก ทว่าเสวี่ยเฟยเยี่ยนยังคงกดมือแน่นขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ หัวใจของเสวี่ยหนี่เป็นดุจหิมะและน้ำแข็ง บริสุทธิ์ไร้สีสันใดๆ นางตกหลุมรักใครสักคนได้ง่ายดายมาก และหลังจากนั้น นางจะไม่รักผู้ใดอีก เป็นดุจพิษที่น่ากลัวที่สุดในใต้หล้า นางจะคิดถึงเขา ยอมมอบชีวิตยอมตายเพื่อเขาได้”

นิ้วทั้งห้าจมลึกลงในอกนุ่ม สัมผัสเพลิดเพลินเหนือคำบรรยายใดๆ ทว่าเวลานี้ ในใจของเย่หวูเฉินกลับเกิดตัณหาเพียงเล็กน้อย สิ่งที่สัมผัสได้อย่างเด่นชัดในมือ คือการเต้นของหัวใจนาง ทุกถ้อยคำที่นางกล่าว เป็นดุจมายาอันยากจะเข้าใจ ทว่าเขาเชื่อโดยไร้ข้อสงสัย นี่คือจิตวิญญาณที่เกิดจากหิมะและน้ำแข็ง สตรีดุจนางฟ้าผู้มีหัวใจดุจหิมะ

“เฟยเยี่ยน....” เขาขยับริมฝีปากเอ่ยชื่อนาง

“ข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่องมากมายที่อยากถาม แต่ข้าเองก็มีเรื่องมากมายที่อยากคุยกับเจ้าเช่นกัน มาสิ ให้ข้าได้พิงกายเจ้า แล้วค่อยๆเล่าเรื่องราว ตกลงมั้ย?”

ครั้งหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา นางเป็นดุจมารเสน่ห์ คิดไม่ถึงยามนี้นางยังคงเป็นเหมือนตอนนั้น นางดึงเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่นางนั่งอยู่ก่อนหน้า จากนั้นนั่งลงข้างๆ ยังคงจับจ้องด้วยแววตาอันหมกมุ่น



<<<PREV    .    NEXT>>>