วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 380

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 380 ตามจิตโลหิตดำ

กึกๆ....

เย่หวูเฉินเริ่มปากสั่นด้วยการต่อต้านของคันศรบาปวิบัติ โลหิตไหลซึมออกจากนิ้วหยดลงบนพื้น โลหิตอีกส่วนหนึ่งไหลซึมหายเข้าไปในคันศร

โลหิตของเจ้านาย คันศรบาปวิบัติหยุดสั่นในที่สุด ภายใต้การยืนยันไม่ลดละของเจ้านาย สุดท้ายมันจึงยอมแพ้ กลิ่นคาวโลหิตและกลิ่นอายสังหารพวยพุ่งออกมาในฉับพลัน พลังของคันศรบาปวิบัติทะลักสู่ศรแดงอย่างบ้าคลั่ง เกิดแสงโลหิตเรืองรองขึ้นมาที่ตัวศร....

พลังฝืนสวรรค์ปรากฎขึ้นอีกครั้ง อากาศโดยรอบกระจายออกทันที รอบร่างของเย่หวูเฉินกลายเป็นสูญญากาศ พลังคันศรบาปวิบัติควบกลั่นในขณะที่ปิดตาอยู่ ปลายศรยังคงชี้ไปบนฟ้าว่างเปล่าเหมือนแต่ต้น

“นี่.... นี่มัน....”

“อ๊า!! อย่านะ! เจ้านาย! หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ อย่าทำแบบนั้น!” หลังจากตะลึงชั่วขณะ หนานเอ๋อร์ก็ส่งเสียงตะโกนอย่างแตกตื่น น้ำเสียงหวาดกลัวราวกับเห็นเย่หวูเฉินถูกบีบคั้นจนตกลงสู่สถานการณ์สิ้นหวังแห่งความตาย

“เจ้านาย! พลังของท่านยามนี้ไม่อาจยิงศรได้ หากท่านฝืนยิงมันออกไป จะต้องถูกผลสะท้อนกลับของพลังบาปวิบัติ ทั้งยังเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า.... ท่านจะถูกคำสาปที่น่ากลัวยิ่ง คำสาปชนิดเดียวกับหนิงเสวี่ยและทงซิน! มีโอกาสกระทั่งถูกพรากชีวิต! ท่านหยุดเลยนะ หยุดเดี๋ยวนี้!”

เย่หวูเฉินหูดับไปเรียบร้อย เวลานี้ควบรวมพลังอย่างนิ่งงัน ดวงจิตติดตรึงอยู่ที่เป้าหมาย

เย่หวูเฉินเริ่มรู้สึกได้ถึงผลสะท้อนกลับของพลังบาปวิบัติ มันราวกับเป็นอสรพิษที่แยกคมเขี้ยว ทันทีที่เขาปล่อยศรออกไป มันย่อมฉกเข้าที่ลำคอของเขา คันศรบาปวิบัติขัดขืนเพื่อปกป้องเจ้านายตน เนื่องจากมันไม่อาจต่อต้านผลสะท้อนกลับซึ่งเป็นกฎธรรมชาติ

“ฮือออ.... เจ้านาย อย่าทำเลย อย่าทำเลยนะ!”

“เปรี๊ยะ!!” คมกริชสั้นของทงซินตวัดใส่เจวี๋ยเทียน ร่างสูงใหญ่เบี่ยงหลบพร้อมมิติที่ฉีกขาด เสียงฉีกขาดน่าอึดอัดใจ เจวี๋ยเทียนหมุนศอกใส่แผ่นหลังทงซินอย่างรุนแรง สีหน้าของนางซีดลงอีกครั้ง นางอาศัยปฏิกิริยาดีดร่างอันสั่นเทาออก ทว่าถูกปฏิเสธโดยพลังไร้สิ้นสุดของเจวี๋ยเทียน พลังสายฟ้าระเบิดออกพร้อมร่างทงซินที่ปลิวละลิ่วไปไกล นางฝืนร่างกลางอากาศอยู่นานก่อนที่จะหยุดกายลงได้

บนร่างของเจวี๋ยเทียนมีแผลเพิ่มขึ้นอีกสามรอย ทว่ามันไม่ได้ลึกมากนัก พลังป้องกันของเจวี๋ยเทียนแกร่งกล้าอย่างมาก กระทั่ง ‘แยกฟ้าผ่าปฐพี’ ยังไม่อาจตัดร่างกายมัน กริชเทพพิโรธก็ไม่อาจปักเข้าที่จุดตาย ส่วนทงซินแม้ว่าทั่วร่างจะไร้บาดแผลใดๆ แต่ความเสียหายกลับมากกว่าเจวี๋ยเทียนมาก ทงซินที่ลอยร่างกลางอากาศกำลังสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม

ในตอนนี้ เจวี๋ยเทียนไม่ได้ตามเข้าประชิด มันเองก็หอบหายใจดัง ปาดเช็ดโลหิตที่มุมปากและกล่าวอย่างจริงจัง “องค์หญิงเฮยเย่ อย่าขัดขืนอีกเลย หากทำแบบนี้ต่อไป ท่านเองก็มีแต่บาดเจ็บและทรมานมากขึ้น.... วันนี้อย่างไรผู้น้อยก็ต้องพาท่านกลับไป ท่านไม่อาจหลบหนีไปไหนได้”

มันกางนิ้วทั้งห้าออก ยื่นไปยังทิศที่ทงซินอยู่ ทว่าขณะที่กำลังขยับกาย มันพลันสัมผัสได้ถึงความเย็นเยือกที่ไม่ทราบห่อหุ้มร่างมาจากที่ใด มันไม่อาจอดห้ามหัวใจไม่ให้รู้สึกเย็นเยือก

“ผู้ใด!?” เจวี๋ยเทียนหันไปรอบๆอย่างตระหนก สายตากวาดผ่านโดยรอบอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายนี้ทำให้มันสั่นเทาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่อาจอดห้ามความตื่นตระหนกและหวาดกลัวได้

ผืนแผ่นดินว่างเปล่าที่อยู่โดยรอบ มันหาไม่พบแม้แต่ผู้เดียว

กลิ่นอายนี้ปรากฎขึ้นแน่แท้ แต่มันกลับไม่อาจระบุตำแหน่ง ไม่อาจกำหนดทิศทาง เจวี๋ยเทียนเกิดอารมณ์กดดันท่วมทะลัก หัวคิ้วขมวดมุ่นขณะหลับตาลง ใช้พลังแห่งจิตสัมผัสตรวจดูอย่างเงียบงัน ในโลกที่มืดมิดนั้น มันมองเห็นดวงตาคู่หนึ่งในฉับพลัน เป็นคู่ดวงตาโลหิตดูน่ากลัว ดวงตาคู่นั้นไม่ทราบว่าจ้องมาจากที่ไหน มันจ้องมองตรึงโดยไม่กระพริบตา

“ผู้ใด! มนุษย์เจ้าเล่ห์ตัวใดที่เล่นลูกไม้!” เจวี๋ยเทียนลืมตาขึ้นฉับพลัน ตะโกนลั่นจนแผ่นดินสะเทือน เสียงตะโกนดังออกไปไกลลิ่ว ฝุ่นผงยังฟุ้งขึ้นพร้อมแผ่นดินสั่นกราว ทว่าในโลกเงียบงันเป็นป่าช้า ไม่มีผู้ใดส่งเสียงตอบกลับ ความรู้สึกชัดเจนขึ้นช้าๆ โดยไม่ต้องหลับตาลงหรือใช้จิตสัมผัส มันก็รู้สึกได้ชัดถึงดวงตาโลหิตที่กำลังจับจ้อง นำพาความรู้สึกหวาดกลัว ศัตรูที่ไม่เคยพบย่อมน่ากลัวอยู่เสมอ ถึงแม้ตัวมันจะเป็นเทพ แต่เมื่อใกล้ถูกโจมตีสาหัสอีกครั้งด้วยพลังแกร่งกล้า มันย่อมไม่อาจกดระงับความกลัวในใจได้

เบื้องหน้ามีสายลมเย็น เป็นทงซินที่แม้พลังด้อยกว่าแต่กลับหยุดหอบหายใจแล้วพุ่งเข้าใส่ ทว่าขณะที่ใกล้ถึงเบื้องหน้ามัน เจวี๋ยเทียนกลับถอยหลังอย่างร้อนรน พยายามสลัดทงซินอย่างกระวนกระวาย ฉับพลันมันก็ระเบิดพลังฉุนเฉียว ทั่วร่างตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า บังเกิดสายฟ้าแรงกล้าแผ่พุ่งออกรอบทิศทาง

สิ้นเสียงสายฟ้าที่ดังกึกก้อง ผืนดินยุบลงอีกครั้งพร้อมหลุมขนาดใหญ่ ทงซินที่เข้าประชิดถูกผลักออก ทว่าขณะที่นางผละออกมา กลุ่มก้อนความมืดขนาดใหญ่ได้บดบังมิติไว้ เจวี๋ยเทียนตอนนี้ถูกครอบคลุมด้วยความมืด

มิติทมิฬสัมบูรณ์

โลกหล้าเป็นสีดำล้วน สูญเสียทัศนวิสัยไปสิ้น เหลือเพียงต้องใช้โสตประสาทและจิตสัมผัส ในความมืดนั้น เจวี๋ยเทียนมองเห็นดวงตาแดงก่ำในจิตใต้สำนึก ดวงตาคู่นั้นใช้พลังแห่งจิตสัมผัสเช่นเดียวกับมัน อีกทั้งยังดูราวกับว่า คู่ดวงตานั้นกำลังใกล้เข้ามาที่มันมากขึ้นเรื่อยๆ

เจวี๋ยเทียนดีดร่างถอยหลังโดยสัญชาตญาณ หากกลับพบว่าดวงตาคู่นั้นยังคงรักษาระยะห่าง มันไม่ถูกผละออกแต่อย่างใด เจวี๋ยเทียนหมุนร่างไปอีกทางทันที.... ภาพตรงหน้ากลับยังคงเป็นดวงตา มันปรากฎราวกับเงาที่คอยติดตามร่าง

“อ๊า!!”

เสียงคำรามฉุนเฉียวของเจวี๋ยเทียนระเบิดออกจากอก ผสานกับคลื่นสายฟ้า ‘บางเบา’ ที่วนขึ้นรอบร่าง พายุสายฟ้าราวกับพัดพาธาตุทมิฬออกไป โลกเริ่มกลับคืนสู่แสงสว่างด้วยพายุสายฟ้า ทันใดนั้นเจวี๋ยเทียนเบิกตากว้าง มันมองไปที่พื้นห่างไกลสุดสายตา เป็นมนุษย์ที่สอดมือเข้ายุ่งการต่อสู้ของมันกับทงซิน เวลานี้เย่หวูเฉินถือคันศรโลหิตและยืนอยู่อย่างเงียบงัน พลังที่ควบกลั่นอยู่ในมือทำให้เจวี๋ยเทียนต้องตกตะลึง

“คันศรบาปวิบัติ!?”

มันกล่าวชื่อคันศรด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกสั่นเครือ ในที่สุดมันก็หาเป้าหมายพบ ได้รู้ที่มาของสายตาคู่นั้น ทว่าตอนนี้ความรู้สึกแห่งความตายได้ใกล้เข้ามา หัวใจมันเริ่มเย็นเยียบ เมื่อเทียบกับพลัง ‘แยกฟ้าผ่าปฐพี’ ของกระบี่ตัดดาราก่อนหน้า ก็ยังไม่อาจเฉียดใกล้ความตายที่มันสัมผัสได้ในเวลานี้

มันไม่คิดหนีการโจมตีของคันศรบาปวิบัติ ทว่าเลือกพุ่งเข้าหาอย่างฉับพลัน ทะยานลิ่วไปยังเย่หวูเฉินด้วยความเร็วสูงสุด จากที่มันเคยรู้มา พลังโจมตีของคันศรบาปวิบัติเหนือล้ำกว่ากระบี่ตัดดาราไปห่างไกล ทว่าจุดเด่นของกระบี่ตัดดาราคือมันใช้ออกได้ทันที ขณะที่คันศรบาปวิบัติต้องใช้เวลารวบรวมพลังทั้งสามกระบวนท่าในเวลาที่ต่างกัน หากจู่โจมในระหว่างรวบรวมพลัง ย่อมสามารถขัดจังหวะมันลงได้

ฟ้าว!!

ทงซินไล่ตามมาติดๆ ทว่าพลังของนางอ่อนด้อยกว่าเจวี๋ยเทียนไปไกลนัก ความเร็วจึงต้องรีดเค้นถึงขีดสุด ระยะห่างของทั้งสองค่อยๆลดลง เจวี๋ยเทียนไม่มองกลับหลังแม้แต่น้อย แม้มันยังไม่ทันเข้าใกล้ แต่พลังหนักหน่วงก็บดบังทั่วบริเวณ ท่วมทับร่างของเย่หวูเฉิน เจวี๋ยเทียนโบกมือในอากาศว่าง ส่งคลื่นอากาศหนักหน่วงปานทลายภูผา ดุจคลื่นสมุทรโถมทับลงไปยังด้านล่าง

คันศรบาปวิบัติยังคงชี้ขึ้นฟ้า เปลือกตายังคงปิดแน่นอยู่ สัมผัสถึงพลังที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ทั้งเป็นพลังท่วมท้นที่ทำลายเขาลงได้โดยง่าย เย่หวูเฉินยังคงไม่ถอนมือกลับ ไม่เปิดเปลือกตาขึ้น เพียงพึมพำในใจอย่างแผ่วเบา “เซียงเซียง”

พลังจากฟ้าโถมซัดสู่ปฐพี แผ่นดินพังทลายด้วยหายนะล้างบางอีกครั้ง ฝุ่นทราย กรวดหิน พุ่งขึ้นสูงบดบังดวงตะวัน ใต้ฝุ่นทรายที่ยกขึ้นหลายสิบเมตร เจวี๋ยเทียนไม่อาจมองเห็นว่าตำแหน่งที่เย่หวูเฉินเคยยืนอยู่ มีแสงขาวบางทิ้งร่องรอยไว้วับหนึ่ง

ทงซินไล่ตามมาถึง จู่โจมหมายสังหารแทงใส่หลังของเจวี๋ยเทียน เจวี๋ยเทียนแค่นเสียงขณะหันร่างกลับมา ยื่นมือคว้าขอบคมของกริชเทพพิโรธเอาไว้ ทว่ามันแค่นเสียงได้ไม่ทันถึงสองวินาที เงาหนักในหัวใจก็กระเพื่อมขึ้นอีกครั้ง ทำให้โลกภายในของมันเกิดความปั่นป่วน

ความรู้สึกนี้.... ดวงตาคู่นั้นยังคงอยู่!

มันปล่อยมือออกจากกริชเทพพิโรธของทงซินที่อยู่ตรงหน้าทันที จากนั้นหันร่างพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงสุด เพียงพริบตาก็อยู่ห่างออกไปทางซ้ายมือนับร้อยเมตร ทว่าเสียงแผ่วเบาแต่หนักหน่วงได้ดังขึ้นที่ในหูของมัน....

“ศร.... ตาม.... จิต.... โลหิต.... ดำ....!!”

ชี่!!

เมื่อคำสุดท้ายจบลง แสงโลหิตก็แล่นออกมาจากความว่าง มันขยายใหญ่ขึ้นในดวงตาของเจวี๋ยเทียน ศรโลหิตทิ้งรอยเข้มไว้เบื้องหลัง.... มันฉีกกระชากมิติ เกิดหลุดดำเป็นแนวเส้นตรง ทุกแห่งที่ศรโลหิตพุ่งผ่าน พื้นเบื้องล่างจะเกิดร่องลึกจากคลื่นพลัง ตามด้วยเสียงฉีดขาดของมิติที่ดังขึ้น

คันศรบาปวิบัติหลุดจากมือร่วงสู่พื้น ก่อนที่จะกลายเป็นแสงสีแดงและพุ่งกลับสู่หน้าผากของเย่หวูเฉิน หลังจากยิงศร ‘ตามจิตโลหิตดำ’ ออกไป โลกของเย่หวูเฉินก็มืดลง เขายังไม่ทันได้เห็นผลงานของศรที่ตนเพิ่งยิงออกไป สติก็ดับวูบหายไปสิ้น ร่างกายล้มตึงลง ในจิตใต้สำนึกสะท้อนด้วยเสียงของหนานเอ๋อร์ที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น

ตามจิตโลหิตดำ เช่นเดียวกับชื่อของมัน ที่มันติดตามมิใช่ร่างกายแต่เป็นจิต ตราบใดที่เป้าหมายยังไม่ตกตาย ตราบใดหนึ่งศรที่ติดตามยังไม่ถูกลบล้างด้วยพลังที่เหนือกว่า มันจะไล่ตามจนกว่าจะพรากชีวิตของเป้าหมายลง

เทพมรณะย่างเท้ามาหาเจวี๋ยเทียนด้วยความเร็วสูงสุด มันมองเห็นความตายที่แล่นมาสู่อยู่ไม่ห่าง สัมผัสน่ากลัวนั้นบอกกับมัน ว่าหากถูกศรนี้เข้ามันดับดิ้นแน่

ดวงตามันเบิกกว้าง เบี่ยงร่างด้วยความเร็วสูงสุดที่เคยใช้ในชีวิต.... เสียงกรีดฉีกขาดดังผ่านที่ข้างหู ทำให้แก้วหูมันแทบแตก ศรโลหิตไม่ได้กระทบแขนขวาของมัน ทว่าความเจ็บปวดยังคงแผ่ลามขึ้นที่แขน.... แม้ว่าถูกเฉียดผ่านเพียงเล็กน้อย แต่ครึ่งท่อนแขนกลับถูกคลื่นพลังน่าหวาดหวั่นกัดกลืนลงไป เลือดเนื้อกลุ่มใหญ่หายไปไม่เหลือซาก เผยให้เห็นท่อนกระดูกสีขาว

เจวี๋ยเทียนไร้เวลาตะโกนโหยหวน สัมผัสมรณะเปลี่ยนทิศพุ่งเข้าใส่เบื้องหลังอีกครั้ง ดวงตาแกงก่ำปรากฎขึ้นตรงหน้า จับจ้องที่ร่างกายและวิญญาณมัน

ฉัวะ!!

เวลากลายเป็นไหลเชื่องช้า เจวี๋ยเทียนกำลังจะก้มร่างหลบ ศรแดงก่ำกลับปรากฎขึ้นตรงอก ม่านตาเจวี๋ยเทียนหดวูบทันที มองดูศรที่เจาะร่างและพุ่งทะลุอกไป หมอกโลหิตกลุ่มใหญ่ระเบิดออกตรงหน้าด้วยเสียงอันดัง

ศรตามจิตหลังจากพุ่งออกจากอกได้ราวสิบเมตรก็สลายกลายเป็นแสงโลหิต เนื่องจากมันบรรลุเป้าหมายแล้ว คือพรากชีวิตของบุคคล.... ไม่สิ คือพรากชีวิตของเทพ

ดวงตาของเจวี๋ยเทียนเบิกกว้างแทบถลนออกจากเบ้า มันก้มลงช้าๆมองที่หน้าอกตัวเอง ตรงนั้นเกิดเป็นหลุมโลหิตขนาดใหญ่ กว้างพอๆกับศีรษะมัน จากหลุมโลหิตนี้ มันมองเห็นความตายของตัวเองแล้ว

“คิดไม่ถึง.... เลยว่า.... ข้ากลับ.... ตกตาย.... ในสถานที่นี้.... ตายภายใต้.... น้ำมือของมนุษย์....” เจวี๋ยเทียนยกมือขวาอันสั่นเทา ยื่นไปทางเย่หวูเฉินช้าๆ “.... สมแล้วที่เป็น.... ศรตามจิตโลหิตดำในตำนาน.... ตกตายภายใต้คันศรบาปวิบัติ.... ข้าตาย.... โดยไม่เสียใจแล้ว....”

“มนุษย์.... เจ้าเองก็จง.... ตกตาย.... ไปพร้อมข้า!!”

นัยน์ตาของเจวี๋ยเทียนวาบแสงสุดท้ายของชีวิต จ้องตรึงที่เย่หวูเฉินซึ่งล้มอยู่บนพื้นไม่ทราบความเป็นตาย พลังทั้งหมดควบกลั่นเป็นครั้งสุดท้าย ปล่อยไปยังทิศทางของเย่หวูเฉิน หลังจากส่งพลังจู่โจมครั้งสุดท้ายออกไป เจวี๋ยเทียนก็ร่วงลงจากอากาศ ร่างกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น โลหิตกระเซ็นสายไปทั่วบริเวณ

การโจมตีครั้งสุดท้ายในชีวิตของเจวี๋ยเทียนทรงอำนาจทำลายล้างเพียงใด กระทั่งทงซินหากถูกการโจมตีนี้ยังยากจะทราบผลลัพธ์ ถ้าเย่หวูเฉินถูกเข้าย่อมไม่มีผลลัพธ์เป็นสอง

เย่หวูเฉินไม่ขยับเคลื่อนไหว กระทั่งลมหายใจยังไม่อาจสัมผัส เขาไม่รู้สึกถึงความตายที่ใกล้เข้ามา ในชั่วขณะสุดท้าย ร่างบอบบางที่ปกป้องเขาเสมอมาได้พุ่งเข้าปกป้องที่เบื้องหน้าเขาอีกครั้ง กระทั่งรากฐานสุดท้ายของพลังนางก็ไม่เก็บรั้งไว้ ตอบรับการปะทะของพลังที่พุ่งเข้ามา.... หากนางรับมือเต็มที่เพียงลำพัง การโจมตีนี้ย่อมไม่อาจทำอันตรายนางถึงชีวิต ทว่าเมื่อต้องปกป้องเย่หวูเฉินที่อยู่ด้านหลัง นางต้องรับพลังนี้ไว้ให้ได้ทั้งหมด ทางเลือกเดียวของนางคือใช้แก่นกำเนิดพลังทมิฬและพลังมรณะ รากฐานพลังที่นางไม่เคยใช้มาก่อน....

ตูม!!

ไม่ทราบว่าวันนี้แผ่นดินไหวไปแล้วกี่ครั้ง แสงทมิฬและแสงม่วงปะทะกันเลือนลั่น พลังกระแทกทำผืนดินพังทลาย ผืนปฐพีในรอบรัศมีร้อยเมตรได้พลิกขึ้น พร้อมกับยอดฝีมือสำนักจักรพรรดิใต้ที่ถูกฝังร่างอยู่ใต้นั้น ร่างเหล่ายอดฝีมือปลิวกระเด็นขึ้นมา ทงซินยังไม่ล้มลง สองมือผลักยันตรงเบื้องหน้า พื้นที่เล็กๆรอบกายเย่หวูเฉินเป็นแห่งเดียวที่รอดพ้นจากการพังทลาย ไม่เพียงเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ กระทั่งฝุ่นทรายยังไม่เปื้อนร่างเขาแม้แต่น้อย

เสียงเลือนลั่นหยุดลง ผืนดินกลับคืนสู่ความสงบ ทงซินลดแขนที่แข็งค้างลงและหันร่างมาช้าๆ การเคลื่อนไหวธรรมดา ยามนี้กลับกินพลังแทบทั้งหมดของนาง สายตาสั่นไหวมองไปยังเย่หวูเฉินครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นเขาไร้บาดแผลใดๆ รอยยิ้มพึงใจก็ปรากฎตรงมุมปากอย่างไม่อาจควบคุม ทันใดนั้นภาพเบื้องหน้าก็กลายเป็นผืนดำ นางได้ร่วงล้มลง

ฝุ่นทรายตกกลับลงมา เพียงไม่นานนัก ร่างสีดำหนึ่งก็รีบร้อนเข้ามาหา มันพาเย่หวูเฉินและทงซินที่ไร้สติออกไปอย่างรวดเร็ว และหายลับไปไกลในเพียงพริบตา

โลกหล้ากลับสู่ความสงบโดยสมบูรณ์ แผ่นดินย่อยยับแผ่ผืนอยู่ตรงนั้น เงียบงันไร้เสียงโอดครวญ ผู้ใดจะเชื่อว่ารากฐานสำนักจักรพรรดิใต้ที่ดำรงมาจนถึงเมื่อวานนี้ บัดนี้กลับกลายเป็นผืนแผ่นดินย่อยยับ

เงียบงัน 20 นาที , 30 นาที....

ในโลกที่เงียบสงัดดุจป่าช้า ในที่สุดผืนดินจุดหนึ่งก็เกิดการเคลื่อนไหว จากนั้นมีเงาร่างหนึ่งหอบหิ้วอีกร่างกระโดดขึ้นมาจากผืนดิน มันหยุดลงบนพื้นหลังจากโซเซหลายก้าว สุดท้ายก็ไร้พลังหยัดยืนร่างให้มั่นคง ได้แต่หอบหายใจอย่างหนักหน่วง

ทั่วร่างมันเต็มไปด้วยฝุ่นดิน ผมเผ้ากระเซิงไร้ระเบียบ ชุดหรูหราราคาแพงเต็มไปด้วยรอยฉีก มือขวาหอบหิ้วคนผู้หนึ่งที่ไร้เสียง ที่มือซ้าย.... ปรากฎเป็นแขนที่ว่างเปล่า บุคคลที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดได้อย่างน่าหวุดหวิดผู้นี้คือฉุ่ยหยุนหลัน

“ท่านลุงฟง! ท่านลุงฟง!” ฉุ่ยหยุนหลันออกแรงเขย่าร่างฉุ่ยเสวียนฟงที่มันหอบหิ้วมาด้วย อกขวาของฉุ่ยเสวียนฟงถูกเจาะทะลุเป็นรูใหญ่ หอกสายฟ้าของเจวี๋ยเทียนไม่ได้ถูกตรงตำแหน่งจุดตาย แม้บาดแผลที่ได้รับจะร้ายแรง ทว่าด้วยพลังรักษาอันสูงส่งของวิชาหยกวารี ทำให้มันยังไม่สิ้นโอกาสในการรอดชีวิต

กลิ่นอายของฉุ่ยเสวียนฟงอ่อนโทรมเป็นอย่างยิ่ง สภาพตอนนี้ราวกับคนตายอย่างนั้น ฉุ่ยหยุนหลันสูดหายใจเข้าลึก ไม่สนใจความเจ็บปวดสาหัสในกายตน โคจรพลังหยกวารี วางฝ่ามือเหนือทรวงอกของฉุ่ยเสวียนฟง ปลดปล่อยพลังหยกวารีโดยไม่มียับยั้ง

เวลาผ่านไปทีละขณะนาที บนหน้าผากของฉุ่ยหยุนหลันผุดเหงื่ออย่างต่อเนื่อง มันยังคงฝืนกัดฟัน สุดท้ายเมื่อมันเริ่มรู้สึกไม่อาจอดทนต่อ ฉุ่ยเสวียนฟงก็ลืมตาตื่นขึ้น พร้อมไออย่างเจ็บปวดในที่สุด

“ข้ายังไม่ตายเหรอ?” นี่คือประโยคแรกที่ฉุ่ยเสวียนฟงกล่าวออกมาอย่างอ่อนแรง กระทั่งตัวมันยังไม่เชื่อว่าตัวเองจะมีชีวิตรอด

“ท่านลุงฟง.... ท่านจะตายได้อย่างไร.... ท่านจะตายไม่ได้ สำนักจักรพรรดิใต้จะตายไม่ได้” ฉุ่ยหยุนหลันกำหมัดแน่น มุ่นหัวคิ้วและกล่าวคำอย่างชิงชัง “อย่าเพิ่งพูดเลย รีบใช้พลังหยกวารีรักษาจุดสำคัญเร็วเข้า พวกเรามีพลังหยกวารี ไหนเลยจะตกตายได้ง่ายๆ”

ฉุ่ยเสวียนฟงหลับตาลงตามคำ ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้นและกล่าวช้าๆ “คน....ผู้นั้น?”

“ข้าไม่รู้” ฉุ่ยหยุนหลันสั่นศีรษะ

“แล้ว....คนของเรา” ฉุ่ยเสวียนฟงน้ำเสียงเริ่มร้อนรน

ฉุ่ยหยุนหลันมองไปยังบริเวณโดยรอบที่กลายเป็นผืนแผ่นดินย่อยยับว่างเปล่า จากนั้นหลับตาลงสั่นศีรษะด้วยความเจ็บปวด “ตายหมดแล้ว.... ตายจนหมดสิ้น....”

“ตายหมด.... ในเมื่อไม่มีคนนอกแล้ว เหตุใดเจ้ายังเรียกข้าว่าท่านลุงฟงอีก?”

ฉุ่ยหยุนหลันชะงักงัน จากนั้นส่งเสียงด้วยความเจ็บปวดสุดแสน “ท่านพ่อ....”

“......” ฉุ่ยเสวียนฟงปิดคู่ดวงตาลง โคจรพลังหยกวารีทั่วร่างด้วยความไม่อยากตาย

“เชื่อฟัง... สวรรค์ย่อมอำนวยพร ฝ่าฝืนย่อมถูกสวรรค์ลงทัณฑ์” ฉุ่ยหยุนหลันกล่าวคำออกปาก มันพูดประโยคนี้อีกครั้งซึ่งมักปรากฎขึ้นในความฝัน จากนั้นมันยิ้มขมขื่น “ท่านพ่อ นี่เป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์ใช่หรือไม่? ที่พวกเราทำผิดพลาด”

“.....” ทุกครั้งที่ได้ยินประโยคนี้ ฉุ่ยเสวียนฟงจะตอบว่าอย่าไปฟังคำพูดน่าหัวร่อพวกนั้น ทว่ายามนี้ ฉุ่ยเสวียนฟงได้แต่เงียบงันไม่กล่าวตอบ

“บางที พวกเราคงทำผิดพลาดจริงๆ.... ทำผิดพลาด” ฉุ่ยหยุนหลันกล่าวพึมพำ ยามนี้มันราวกับคนเร่ร่อนไร้บ้านให้กลับไป ไหนเลยมันจะยังนับตัวเองว่าเป็นประมุขสำนักจักรพรรดิใต้? แม้ในอดีตมันทำร้ายฉุ่ยหยุนเทียนอย่างโหดเหี้ยม แต่อุปนิสัยของมันมิใช่คนโหดร้ายโดยกำเนิด ทว่าความเจ็บปวดจากคำว่า ‘รัก’ มากเกินไป มันจึงใช้ชีวิตภายใต้ความเกลียดชังและกลายเป็นปีศาจที่โหดเหี้ยม แต่หลังจากที่สวมรอยเป็นฉุ่ยหยุนเทียนขึ้นเป็นประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ มันก็จัดการเรื่องน้อยใหญ่ในสำนักด้วยความอุทิศตัว ได้รับความเคารพจากทั้งสำนักตั้งแต่สูงยันต่ำ การล้างบางสำนักจักรพรรดิใต้จนถึงรากฐานล้วนไม่ต่างจากการที่โลกของมันถล่มลง 

จบเล่มที่หก



<<<PREV    .    NEXT>>>