วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 383

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 383 ห้องลับ

“นี่มัน.... ใต้เท้าหลี่ ได้โปรดตรวจดูอีกที จะต้องมีวิธีรักษาแน่” หวังเวิ่นชูยังคงกำความหวังไว้ กล่าวคำกังวลถึงขีดสุด มิใช่เฉพาะเพียงหมอหลวงหลี่เท่านั้น หมอหลวงคนอื่นที่ตรวจดูก่อนหน้า ก็บอกว่าดวงตาของเย่หวูเฉินไร้ความผิดปกติใดๆ

หมอหลวงหลี่ส่ายศีรษะพร้อมถอนหายใจอีกครั้ง “ฮ่าย ผู้ชราไร้ความสามารถ ไม่มีหน้าอยู่ต่ออีก.... ขุนพลชราเย่ , ขุนพลเย่ , ฮูหยินเย่ ข้าขอตัวลา”

หมอหลวงหลี่กล่าวลาอย่างสุภาพ ไม่พยายามตรวจดูอีก เก็บเครื่องมือรักษาและหันกายออกไป หมอหลวงคนอื่นต่างก็ส่ายศีรษะตามกัน จากนั้นพากันออกไป ตระกูลเย่สติเลื่อนลอย กล่าวลาเพียงไม่กี่คำเท่านั้น ทั้งไม่ได้ออกไปส่ง เมฆหม่นหมองครอบคลุมหัวใจอีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การสูญเสียสายตาย่อมยอมรับยากกว่าร่างกายอ่อนแอไม่อาจเดินได้มากเพียงใด

หวังเวิ่นชูยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตาเงียบๆ เดินมาอยู่ข้างกายเย่หวูเฉิน ฝืนยิ้มบนใบหน้า “เฉินเอ๋อร์ เจ้าพักผ่อนให้มากเถอะนะ แม่จะไปหาหมอชั้นเลิศทั้งในเมืองและนอกเมืองมาให้เจ้า.... เจ้าก็ได้ยินแล้ว พวกเขาบอกว่าดวงตาของเจ้าไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง จะต้องมีหมอเก่งๆที่รักษาเจ้าได้แน่”

“อืม ท่านแม่อย่าได้ห่วงเรื่องนี้เลย” เย่หวูเฉินกล่าวปลอบด้วยรอยยิ้ม พลางถอนหายใจอย่างเงียบงัน สภาพดวงตาตอนนี้ย่อมไม่มีผู้ใดรู้ชัดไปมากกว่าเขา อย่างที่หมอหลวงหลี่กล่าว ว่าดวงตาของเขาไม่มีความเสียหายหรือผิดปกติใดๆ เพราะดวงตาของเขาไม่ได้มีปัญหา แต่เพราะถูกคำสาป.... เป็นคำสาปที่เกิดจากผลสะท้อนกลับของพลังคันศรบาปวิบัติ

การจะฟื้นฟูดวงตาให้กลับมาเห็นอีกครั้ง มีเพียงวิธีเดียวคือต้องถอนคำสาปออก.... ทว่าการจะลบล้างคำสาปจำเป็นต้องใช้พลังที่เหนือล้ำกว่า เย่หวูเฉินต้องคำสาปที่เกิดจากการฝืนใช้ ‘ศรตามจิตโลหิตดำ’ นั่นหมายความว่า หากจะถอนคำสาปต้องใช้สิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่า ‘ศรตามจิตโลหิตดำ’!

‘แยกฟ้าผ่าปฐพี’ สามารถสังหารเทพสงครามฟงเฉาหยางได้ในหนึ่งกระบี่ ทว่าพลังของมันยังคงด้อยกว่า ‘ศรตามจิตโลหิตดำ’ เช่นนั้นในโลกนี้ ยังจะมีผู้ใดที่ทรงพลังปานนั้น!?

“เฉินเอ๋อร์ เจ้าพักผ่อนเถอะ ทุกอย่างจะต้องมีหนทาง” เย่หนู่สูดหายใจเข้าลึก หลังจากอยู่ในนั้นอยู่พักหนึ่ง ก็ออกไปพร้อมเย่เว่ยด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง พวกเขาไปตามหาหมอชั้นเลิศทุกคนที่อาจเชิญมาได้

เพียงพวกเขาออกไป ประตูที่ไม่ได้ลงกลอนไว้ก็ถูกผลักเปิดทันที เผยใบหน้าแตกตื่นบอบบางดุจดอกไม้ โหรวโหรวมักเอียงอายและขวยเขิน ทว่ายามนี้กลับไม่สนใจผู้ใดในห้อง ตรงมาหาที่เตียงของเย่หวูเฉินแล้วเกาะอยู่ตรงนั้น ส่งเสียงอ่อนหวานทว่าแตกตื่น “สามี ท่านพ่อบอกว่าดวงตาของท่านมองไม่เห็นอะไร.... ไม่จริงใช่มั้ย.... เป็นท่านพ่อที่หลอกข้าใช่มั้ย?”

เย่หวูเฉินไม่กล่าวตอบ มีเพียงมุมปากที่ยกเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน

“สามี....” รอยยิ้มนี้แสดงถึงการยอมรับ ฮั่วฉุ่ยโหรวตรงหน้าบอบบางดุจดอกไม้ในหมอกมัว หลังจากที่เย่หวูเฉินกลับมาเมื่อหลายวันก่อนในสภาพไร้สติ นางก็เทียวไปเทียวมาระหว่างตระกูลเย่ คอยดูแลเขาทุกวัน วันละหลายครั้ง ทั้งยังอยู่เฝ้าตลอดคืนต่อเนื่องเป็นเวลาสามวัน หวังเวิ่นชูแนะนำนางอย่างจริงจังให้ไปพัก ระหว่างพักได้ยินว่าเขาฟื้นขึ้นมาหัวใจก็ตื่นเต้นยินดี ทว่าจากนั้นก็ได้ยินข่าวน่ากลัวดุจสายฟ้าฟาด

“ต่อให้ไร้ดวงตา ข้าก็ยังมองเสี่ยวโหรวโหรวของข้าได้” เย่หวูเฉินเงยหน้าขึ้น ลูบใบหน้าด้านซ้ายลามไล้ไปด้านขวา สัมผัสรอยน้ำตาที่เปียกปอนอย่างเงียบงัน วันนี้รอยยิ้มของเขาทำผู้คนมากมายร้องไห้.... สำหรับเขาแล้วนี่เป็นความสุขผสมความเจ็บปวดอันรู้สึกผิด

“สามี ดวงตาของท่านจะต้องรักษาได้แน่” หญิงสาวผู้อ่อนโยนกำลังอดกลั้นน้ำตา ปลอบโยนเขาด้วยความละมุน นางหันกายไป ก้มศีรษะและถามหวังเวิ่นชูอย่างแผ่วเบา “ท่านแม่ ข้าเห็นใต้เท้าหลี่กับคนอื่นเพิ่งออกไป.... พวกเขาว่าอย่างไรบ้าง?”

“พวกเขาบอกว่าดวงตาของเฉินเอ๋อร์ไม่ได้เป็นอะไร ดังนั้น....” หวังเวิ่นชูกล่าวได้เพียงครึ่งเดียว จากนั้นคล้ายมีบางอย่างจุกขึ้นในลำคอ

ฮั่วฉุ่ยโหรวกัดเม้มริมฝีปาก หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ นางคล้ายคิดบางอย่างออกในฉับพลัน “ข้า.... ข้าอยากไปถามพวกเขาด้วยตัวเอง”

พอกล่าวจบ นางก็รีบออกไปราวกับกลัวพวกเขากล่าวขัด เย่หวูเฉินที่นอนอยู่ตรงนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย เพียงชั่วขณะสีหน้าก็ดูเปลี่ยนไป ทว่าทันใดก็ผ่อนคลายลง จากนั้นเปิดปากกล่าว “ท่านแม่ ข้ารู้สึกเหนื่อยบ้างแล้ว”

หวังเวิ่นชูกุลีกุจอขยับเข้ามา ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ “พักผ่อนเถอะนะ แล้วแม่จะกลับมาอีก”

“ท่านแม่ก็อย่าลืมพักผ่อนล่ะ” เย่หวูเฉินทราบดีว่าระหว่างที่เขาสลบไป หวังเวิ่นชูต้องคอยดูแลตลอดหลายวัน ดังนั้นนางย่อมเหน็ดเหนื่อย

หลังจากที่หวังเวิ่นชูออกไปแล้ว เย่ฉุ่ยเหยาก็ตามออกไป นางรู้ว่าเขามีเรื่องที่จะต้องจัดการ หลังจากทุกอย่างเงียบสงบลง เย่หวูเฉินก็ลุกขึ้นจากเตียง ไม่ปรากฎวี่แววติดขัดของร่างกายใดๆ หลังจากที่ตื่นขึ้นมาได้ช่วงหนึ่ง พลังของเขาก็ฟื้นกลับคืนอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยในเวลานี้ พลังของเขาก็ไม่ต่างจากคนทั่วไปมากนัก

หนิงเสวี่ยยังคงลอบหลั่งน้ำตา แม้ว่านางจะระวังไม่ให้เกิดเสียง ทว่าหยาดน้ำใสที่หยดลงพื้น ทำให้เกิดเสียงที่ไม่อาจซ่อนจากหูของเขา เมื่อสูญเสียการมองเห็น ทุกการรับรู้จึงจดจ่ออยู่ที่การฟัง สัมผัสการได้ยินจึงละเอียดยิ่ง

พอเห็นเย่หวูเฉินลุกออกจากเตียง หนิงเสวี่ยก็เข้ามาประคองอย่างเร่งรีบ แหงนมองขึ้นไปยังดวงตาและกระซิบถาม “ท่านพี่ ท่านจะไปไหนเหรอ?”

“ลงไปข้างล่าง” เย่หวูเฉินจับมือนางไว้

หนิงเสวี่ยจูงมือเย่หวูเฉินไปข้างหน้าอย่างระวัง แม้ว่าเย่หวูเฉินจะสูญเสียสายตา ทว่าจิตสัมผัสของเขาก็คมกล้าพอรับรู้ทุกสิ่งรอบกาย จึงไม่ติดขัดมากนักในการเคลื่อนไหว

เมื่อเดินไปถึงฉากกั้นแผ่นใหญ่ เย่หวูเฉินก็ย่อกายลง วางมือเหนือพื้นห้องที่ไร้ร่องรอยผิดปกติ จากนั้นออกแรกยกมันขึ้น

พื้นห้องเคลื่อนออกทางด้านข้าง ใต้พื้นห้องกลับไม่ใช่ผืนดิน แต่เป็นหลุมลึก มีแสงขาวส่องลอดออกมา เย่หวูเฉินพาหนิงเสวี่ยกระโดดลงไป

นี่คือห้องลับใต้ดิน เมื่อคราวที่เย่หวูเฉินออกจากหุบเหวปลิดวิญญาณ ก่อนที่เขาจะกลับมายังตระกูลเย่ เขาได้ให้ ต้าลู่จื่อ , เอ้อลู่จื่อ , และซานลู่จื่อ สามพี่น้องแห่งตระกูลเหยียน ลอบสร้างห้องนี้ขึ้นมาเงียบๆ โดยไม่ให้ใครรู้รวมถึงคนตระกูลเย่ มันจึงกลายเป็นสถานที่ซ่อนสำหรับเย่หวูเฉิน

ห้องนี้ไม่ได้กว้างขวางมาก มีพื้นที่ราวๆครึ่งหนึ่งของห้องนอนของเย่หวูเฉิน ใช้ตะเกียงเวทย์ส่องแสงสว่างอยู่ภายใน เวลานี้ภายในห้องเต็มไปด้วยผู้คน วันนี้ยังเป็นครั้งแรก ที่ห้องเล็กๆนี้จุคนมากมาย ตรงมุมห้องที่อยู่ในสุด มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้วยสายตาว่างเปล่า ร่างกายนิ่งงัน เป็นหลินหยุนหรือครั้งหนึ่งคือเย่หวูหยุน ซึ่งถูกเย่หวูเฉินซ่อนไว้ที่นี่เป็นเวลานาน

ทันทีที่เย่หวูเฉินเข้ามา เขาก็ถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนที่อยู่ในนั้นทันที มีร่างอ่อนนุ่มหนึ่งโยนตัวเองเข้ามาในอ้อมอกของเขาฉับพลัน “พี่นายท่าน ดีจริงๆที่ท่านฟื้นแล้ว.... แต่ว่าดวงตาของท่านมองไม่เห็นแล้วจริงๆเหรอ? ทำยังไงดี ทำยังไงดี....”

“ท่านพ่อ” มือเล็กๆข้างหนึ่งดึงเสื้อเขา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลล้ำลึก

“เจ้านาย ท่านเป็นยังไงบ้าง? ดวงตาของท่าน....” คราวนี้เป็นเสียงของเหยียนกงลั่ว

“ดวงตาของท่านดูราวกับว่าไม่ได้เป็นอะไร ท่านมองไม่เห็นสิ่งใดจริงๆหรือ หรือท่านเพียงแกล้งทำเหมือนทุกครั้ง?” คิดไม่ถึงเลยว่า เย่หวูเฉินจะได้ยินเสียงของฉุ่ยเมิ่งฉาน

การสลบของเขาในหลายวันนี้สร้างความกังวลให้แก่ผู้คนมากมาย โดยเฉพาะคนตระกูลเหยียนที่ผูกโยงชะตาไว้กับตัวเขา ดังนั้นทันทีที่ทราบข่าว เหยียนเทียนเว่ย , เหยียนต้วนชาง และเหยียนกงลั่ว สามผู้สืบสายโลหิตตรงแห่งจักรพรรดิเหนือ เช่นเดียวกับ เหยียนกงเยว่ และ เหยียนกงรั่ว ที่ตกใจจนแทบร้องไห้  รวมทั้งเล่งหยากับฉู่จิงเทียนที่เดินทางตลอดวันคืน ซ่อนตัวตลอดทางมายังที่นี่ ทั้งหมดลอบปกป้องเขาอยู่อย่างเงียบงัน เนื่องจากทงซินที่อยู่ข้างกายเขาได้หลับไหลไร้สติไป

นอกจากพวกเขาแล้ว ที่นี่ยังมี ฉุ่ยอู๋เชว กับ ฉุ่ยเมิ่งฉาน รวมไปถึงฉุ่ยหยุนเทียนผู้แบกตัวเย่หวูเฉินกับทงซินออกมาจากพายุพลัง สุดท้ายคือเสี่ยวโม่ที่กลับมาพร้อมหนิงเสวี่ย นี่เป็นครั้งแรกที่นางมายังบ้านของเย่หวูเฉิน ระหว่างช่วงเวลาสั้นๆที่อยู่ที่นี่ จิตใต้สำนึกที่ผลักไสผู้คนของนางทำให้ไม่พูดคุยกับคนอื่นมากนัก ทว่าพวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็เงียบงันคอยปกป้องเย่หวูเฉินด้วยพลังตัวเอง มีบ้างที่กล่าวคำเพียงสั้นๆ หากสิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงตาค้าง คือการที่นางบอกว่าเย่หวูเฉินคือพ่อของนาง

เนื่องจากมีเป้าหมายเดียวกัน แม้ว่าเสี่ยวโม่ไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา แต่นางก็ไม่มีอาการผลักไสหรือต่อต้านออกมา

เจ็ดวันก่อน เย่หวูเฉินหมดสติลงหลังจากใช้ ‘ศรตามจิตโลหิตดำ’ ทงซินเพื่อปกป้องเขาจึงใช้พลังทั้งหมดในร่างจนสิ้นสติ ฉุ่ยหยุนเทียนพาทั้งสองออกมาจากดินแดนพังทลาย ระหว่างที่วิ่งอยู่นั้นฉับพลันได้ปรากฎแสงขาว จากนั้นเขาปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งในห้องลับใต้ดินที่ห้องของเย่หวูเฉิน และเขาได้พบกับบุตรชายตัวเองฉุ่ยอู๋เชว

เมื่อพ่อลูกได้พบหน้า ต่างก็ร้องไห้ซบไหล่ของอีกฝ่าย ฉุ่ยหยุนเทียนทราบว่าตัวเองไม่ควรเผยสถานะออกมา หลังจากที่รู้ว่าที่นี่คือตระกูลเย่ เขาก็ลบร่องรอยตัวเอง เมื่อนำเย่หวูเฉินและทงซินกลับเข้าห้องแล้วเขาก็ซ่อนตัว ขณะที่เซียงเซียงออกจากร่างของเย่หวูเฉินด้วยตนเอง ใช้พลังตัดมิติพาคนตระกูลเหยียนและเสี่ยวโม่ข้ามพันลี้มาด้วยวิธีของนาง เพราะนางทราบดีว่า หลังจากที่ทงซินหมดสติลงแล้ว นอกจากฉุ่ยหยุนเทียนที่ไม่สามารถเผยสถานะตัวเอง ข้างกายของเย่หวูเฉินก็ไร้การปกป้องอื่นใด ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของตัวเขา เซียงเซียงจึงใช้ความเร็วสูงสุดพาผู้คนที่เย่หวูเฉินเชื่อใจมากสุดมารวมตัวกันที่นี่ ให้คอยปกป้องเขาอยู่เป็นการลับ

“เจ้านาย แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น เป็นผู้ใดที่สามารถบีบคั้นท่านกับแม่หนูทงซินได้ถึงเพียงนี้” เหยียนเทียนเว่ยผู้มีปกติสุขุมหนักแน่นดุจเหล็กกล้า ยามนี้กำหมัดสองข้างไว้แน่น จอมราชันดวงตามืดบอดลง อารมณ์ของเขาจะไม่พุ่งพล่านปั่นป่วนได้อย่างไร

เย่หวูเฉินปิดดวงตาที่ไม่เห็นแสงใดลง ยื่นมือข้างหนึ่งจับไหล่ของเสี่ยวโม่ มืออีกข้างยกขึ้นหยุดคำถามที่ประดังเข้ามา เขาไม่ตอบคำถามเรื่องดวงตาตน ทว่าอาศัยกลิ่นอายหันไปทางฉุ่ยหยุนเทียนแล้วถาม “คนผู้นั้นเป็นยังไง?”

ฉุ่ยหยุนเทียนรู้ทันทีว่าคนผู้นั้นที่เขาถามถึงคือเจวี๋ยเทียน เขาตอบ “มันตายแล้ว ถูกศรของจอมราชันยิงทะลุอกจนดับดิ้น ศูนย์กลางสำนักจักรพรรดิใต้ถูกทำลายลงสิ้นเช่นกัน.... เฮ้อ”

เขาถอนหายใจอย่างไม่อาจอดได้ อารมณ์ภายในซับซ้อนยิ่ง เขาเกลียดชังคนเหล่านั้น สั่งสมความชิงชังมานานกว่า 20 ปี เข้มข้นจนถึงระดับน่าหวั่นกลัว บรรดาคนที่เขาเกลียดชังถึงไขกระดูกประสบหายนะตกตาย แต่ว่า.... อย่างไรเสียที่แห่งนั้นก็เป็นรากฐานสำนักจักรพรรดิใต้ คือสถานที่ซึ่งเขาเกิดมาและเติบโตขึ้น เป็นถิ่นฐานบรรพชนมาจนถึงปัจจุบัน และตัวเขาอย่างไรก็เป็นประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ที่แท้จริง แม้ว่าความเกลียดชังได้ลดลงแล้ว แต่เขาย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความผิดหวังและโศกเศร้าในใจ



<<<PREV    .    NEXT>>>