วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 366

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 366 ปีศาจ! ระเบิดเนตรสังหาร (3)

ก่อนหน้านั้นสิบวินาที....

บนท้องฟ้า ปีศาจกำลังแสยะยิ้ม บนผืนดิน มีคู่ดวงตาโลหิตและใบหน้าที่ไร้อารมณ์

ท่ามกลางความตื่นกลัว ผู้คนโดยรอบไม่ได้โจมตีเข้าใส่เล่งหยา จนกระทั่งเมื่อจิตสังหารโหดเหี้ยมพวยพัดมากับสายลม พวกเขาจึงเห็นเส้นแสงสีเขียวเย็นเชียบประสานกับโลหิต

เล่งหยาเริ่มเคลื่อนไหว เขาปรากฎกายที่เบื้องหน้าชายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด เล่งหยาไม่ได้สัมผัสกายใดๆ เจ็ดคนที่อยู่ข้างหน้าถูกตัดเป็นสองท่อนกลางอากาศ ด้านหลังของเขา มีภาพติดตาปรากฎอยู่ในจุดเดิมที่ยังไม่ทันหายไป

ความเร็วที่ระเบิดออก เหนือล้ำเกินจินตนาการ!

ผู้คนไม่ทันตอบสนองต่อคมกระบี่ครั้งที่สองของเล่งหยา....

ฉึบ!

ฉึบ!

..................

..................

อากาศถูกตัดออก มิติยังบิดผัน โลหิตและชิ้นส่วนร่างกายปลิวว่อนในอากาศ นี่คือเทพแห่งความตายอันแท้จริง ทุกการลงมือคือหลายชีวิตที่ถูกพรากไป ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้าน ทุกคนที่พยายามต้านทานถูกตัดเป็นชิ้นๆอย่างรวดเร็ว กระบวนท่า “หนึ่งเส้นสวรรค์” ตวัดออกอย่างต่อเนื่อง เสียงกรีดร้องทรมานดังขึ้นตามกัน โลหิตกระเซ็นสายในอากาศ กลิ่นคาวคละคลุ้งเกิดเป็นขุมนรกเลือด

......

ฉับ!

ห้าวินาทีต่อมา.... เสียงตัดอากาศหยุดลงฉับพลัน โลกหล้ากลายเป็นเงียบสงบ เล่งหยากลับมายืนตรงจุดเดิมไม่ทราบว่าเมื่อใด สีหน้ายังคงไร้อารมณ์เหมือนตอนต้น เสียง ‘ตุบ’ ‘ตุบ’.... ของชิ้นส่วนร่างกายที่ถูกคมกระบี่ตัดร่วงถึงพื้นในที่สุด หลังจากความเงียบงัน ตอนนี้เหลือเพียงคนผู้เดียวที่อยู่ตรงหน้า

ห้าวินาที เขาไม่รู้ว่าตัวเองตวัดกระบี่คร่าสายลมไปกี่ครั้ง.... ผู้คนที่รายล้อมร้อยกว่าคน ยกเว้นเพียงเหยียนชางที่อยู่ตรงหน้าได้ตายสิ้นไม่ครบสภาพศพ.... ในหมู่นั้นเป็นยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ถึงเจ็ดคน “หนึ่งเส้นสวรรค์” ที่เขาใช้ออกยามนี้ ทรงพลังกว่าครั้งที่ใช้สังหารเหยียนเจิ้งไม่รู้กี่เท่า ไม่เหลือโอกาสให้ผู้คนได้ดิ้นรนแม้แต่น้อย

เหยียนชางเบิกตาโพลง ดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า ห้าวินาที....ตายหมด ตายหมด!

ฝันร้าย.... นี่มันฝันร้ายชัดๆ! เขาไม่เชื่อว่านี่คือความจริง.... มันต้องเป็นฝันร้ายน่าสะพรึงที่น่าหัวร่อ

ดวงตาโลหิตจ้องมองเหยียนชางอย่างเงียบงัน มองบุคคลผู้ปล่อยกระบี่พรากชีวิตของปิงเอ๋อร์.... ดวงตาของเหยียนชางแทบปริออก เขาอดไม่ได้ที่จะมองดวงตาของเล่งหยา ทว่าทันใดนั้น จากที่กำลังเห็นดวงตาโลหิตอยู่ จู่ๆเขาก็เห็นอวัยวะภายในของตัวเอง กระทั่งยังเห็นกระดูกของตน เห็นเส้นเลือดดำ.... เสียงเลือนลั่นสนั่นในหู เขามองเห็นอวัยวะภายใน กระดูก และหลอดเลือด ม่านตาหดลีบและบิดเบี้ยว.... มองเห็นทุกสิ่งกลายเป็นกองเลือด....

“นี่.... มิใช่.... เนตร.... ปีศาจ.... สังหารโลหิต.... แต่เป็น.... เนตร.... ทลาย.... ล้าง.... สังหาร....”

โลหิตไหลออกจาทวารทั้งเจ็ดของเหยียนชาง ดวงตาเหลือกขึ้นและหงายตึงลงพื้น

สายลมเย็นโชยพัดพร้อมเสียงฝีเท้ากลุ่มใหญ่ที่เข้ามาใกล้ ผสมกับกลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้ง เส้นผมของเล่งหยาพริ้วตามลม นอกจากเขาแล้ว บริเวณโดยรอบก็ไม่อาจพบผู้ใดที่ยืนอยู่อีก เขาหันกายกลับไป ย่อกายลงแล้วประคองปิงเอ๋อร์ที่นอนสงบตรงนั้นขึ้นช้าๆ ในคู่ดวงตาอ่อนโยนจับใจอย่างไม่มีผู้ใดเคยเห็น เขาประคองศีรษะและอุ้มปิงเอ๋อร์ขึ้น ทะยานร่างไปยังทิศทางที่ปิงเอ๋อร์เคยบอก ตลอดทางทิ้งไว้ซึ่งความสิ้นหวัง....

คำพูดของปิงเอ๋อร์ เขาจดจำไว้มั่นทุกถ้อยคำ เขาจะต้องพานางออกไปยังโลกภายนอกให้ได้

คลื่นพลังน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งร่วงลงจากฟ้า ราวกับขุนเขาโถมใส่อย่างเกรี้ยวกราด เหยียนเทียนหยุนมาถึงในที่สุด.... ทว่าการจู่โจมของเขากลับสัมผัสเพียงอากาศ เขาลอยนิ่งงันมองไปยังเบื้องหน้า ดวงตาชราตะลึงลานชนิดที่ยากจะเห็น เพียงพริบตาเดียว เล่งหยาก็หายไปจากสายตาแล้ว กระทั่งพ้นจากจิตสัมผัส ความเร็วของเล่งหยาแตะระดับที่ทำให้เขาต้องล้มเลิกการไล่ตามอย่างคาดไม่ถึง

บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยชิ้นส่วนครึ่งร่างหรือหลายท่อนของมนุษย์ ซากศพเหล่านี้คือยอดฝีมือแกร่งกล้าของสำนัก หลายคนเป็นผู้อาวุโส หลายคนเป็นสหายที่ดีของเขา.... ก่อนหน้านี้สิบวินาที เมื่อเขาออกมายังคงสัมผัสถึงตัวตนของพวกเขาได้ ทว่าผ่านไปเพียงสิบวินาที เขากลับทำได้เพียงมองซากศพของพวกเขาด้วยหัวใจเย็นเยียบและสั่นเทา

เล่งหยามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกโดยใช้ความเร็วเต็มที่ พวกคนที่เขาเจอเข้าเช่นเดียวกับยามเฝ้าของสำนักจักรพรรดิเหนือ จะมองเห็นราวสายลมพัดผ่านตรงหน้าไป ไม่อาจเห็นเป็นเงาบุคคล ในชั่วเวลาเพียงสั้นๆ เล่งหยาก็รุดมาถึงขอบแดนของสำนักจักรพรรดิเหนือ ไม่มีผู้ใดที่หยุดเขาทัน แม้ในแขนของเขาจะอุ้มสตรีไว้อีกหนึ่งคน

“ตามไปเร็ว!”

“มันผ่านผงเพลิงวิญญาณไปไม่ได้แน่”

ด้านหลังของเขา สองศิษย์สำนักจักรพรรดิเหนือที่เขาเพิ่งพุ่งผ่านกำลังไล่ตามมา ทว่าทั้งสองพบว่าเล่งหยาไม่ได้หยุดเท้า แต่กลับพุ่งเข้าไปในพื้นที่สีแดงตรงหน้า จากนั้นหายไปในพริบตา

ด้วยความเร็วถึงเพียงนี้ พวกเขาย่อมไม่มีโอกาสไล่ติดตามทัน ทว่าทันใดนั้น ภาพตรงหน้าทำให้พวกเขาต้องตื่นตะลึง.... ผงเพลิงวิญญาณเมื่อถูกสัมผัสย่อมเผาไหม้เข้าถึงวิญญาณ ต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์หากไร้พลังเพลิงวิญญาณคุ้มร่าง ย่อมไม่อาจก้าวเข้ามาได้ ทว่าเล่งหยายังคงรวดเร็วดุจสายลม.... เหนือพื้นเบื้องหลังตรงจุดที่เขาเหยียบผ่าน ผงสีแดงจางกลับหายไปไร้ร่องรอย มีเพียงหมอกทมิฬที่ฟุ้งขึ้นในจุดที่เขาเหยียบย่ำ....

พวกเขาราวกับเห็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุด เป็นเวลาเนิ่นนานที่ไม่อาจกล่าวคำ

เล่งหยาพุ่งไปอย่างเร็วรุด เขาลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่สังหารไปกี่คน เขามองไม่เห็นเบื้องหน้า มองไม่เห็นเบื้องหลังว่ากำลังมีหมอกทมิฬฟุ้งขึ้นจากรอยเท้า โลกของเขาบางครั้งก็เป็นสีเลือด บางครั้งก็ว่างเปล่า

ย่ำผงเพลิงวิญญาณเพื่อออกจากสำนักจักรพรรดิเหนือ เขารักษาคำพูดที่ให้ไว้ว่าจะพานางออกมา ทว่า.... นางตายแล้ว.... ไม่อาจลืมตามองดูโลกภายนอกที่นางอยากเห็น.... ไม่อาจลืมตามองเขาอีก ไม่อาจกล่าวคำเจื้อยแจ้วไม่รู้จบกับเขาอีกตลอดไป

นางตายแล้ว หัวใจของเขาเจ็บปวด รวดร้าวจนชา เจ็บจนไม่อาจเจ็บอีก หัวใจเยียบเย็น ตายลง ไร้สิ่งใดให้รู้สึกถึง

นอกจากแม่ของเขา ปิงเอ๋อร์คือสตรีที่อยู่กับเขานานสุด....แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเวลาสั้นๆสามวัน ตัวเขาถูกลิขิตให้มีนิสัยผลักไสผู้คน ปฏิเสธและเพิกเฉยต่อคนอื่น ดังนั้น เขาจึงไร้สหายมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยมีเพื่อนหญิงมาก่อน ทว่าปิงเอ๋อร์.... นางหวั่นกลัวในตัวเขา ไม่ได้เกลียดเขา แม้เผชิญหน้ากับความเย็นชา นางยังคงแสดงอารมณ์หลากหลาย ดุด่า , โกรธเคือง , หัวเราะ และกล่าวคำไม่หยุดหย่อน แม้ว่าเขาไม่ได้เปิดปาก แต่ทุกคำที่นางเอื้อนเอ่ย เขาล้วนฟังอย่างตั้งใจ

นางเป็นคนที่พูดมาก ทว่าคำพูดของนางและการดูแลรักษาเขาในตลอดสามวัน.... ในกระดูกของเล่งหยาจึงประทับความรู้สึกดีที่ได้รับจากสตรีบอบบาง เริ่มถูกดึงดูดอย่างเงียบงัน ทั้งสองต่างไม่มีพ่อแม่ ชีวิตน่าอนาถเริ่มต้นจากศูนย์ หัวใจสองดวงจึงค่อยๆดึงดูดเข้าหากัน....

นางรุกรานเข้ามาในหัวใจน้ำแข็งของเขา จากนั้น นางก็ตายลง ตายเพื่อปกป้องเขา และตายลงตรงหน้า

บิดาตาย มารดาตาย.... ตอนนี้เป็นความตายของปิงเอ๋อร์ สายใยอารมณ์สุดท้ายในหัวใจขาดสะบั้นทันที บางที หัวใจของเขาคงไม่มีวันเปิดออกได้อีก

เขาถูกชะตาลิขิตให้ต้องเดียวดาย

ฝีเท้าเริ่มกลายเป็นหนักหน่วง สายตาสูญเสียจุดหมาย เขาเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่รู้ทิศทาง สายลมราตรีช่างโศกครวญ ทว่าไหนเลยจะเทียบกับหัวใจของเขาที่แหลกสลาย

...................

...................

เงาทะมึนเหนือท้องฟ้าทางใต้ได้หายไปแล้ว เหยียนเทียนเว่ยยังคงเงยศีรษะจ้องมองอยู่ นับแต่เงาปีศาจแสยะยิ้มปรากฎออกมา เขาก็ไม่เคยละสายตาจากมัน ทว่าเมื่อมันสลายไปแล้ว เขาก็ยังไม่สั่งการสำนักมารให้เคลื่อนกำลัง ไม่ทราบเพราะเหตุใด ในใจของเขามีเสียงสะท้อนบอกกับตัวเองว่าอย่าลงมือรีบร้อน ให้รอก่อน....

ด้านหลังของเขา ฉับพลันมีแสงขาวนวลสว่างวาบขึ้น เย่หวูเฉินปรากฎตัวออกมา เขาไม่ได้อยู่ในชุดจักรพรรดิมาร และยังอุ้มสาวน้อยน่ารักผู้หนึ่งที่มีผมเปียสองเส้นและสายตาไม่แยแส หลังจากที่นางกวาดตามองรอบๆอย่างสงสัย นางก็ถอนตากลับมองเขาด้วยเครื่องหมายคำถาม นางคือเสี่ยวโม่ที่เย่หวูเฉินพามาจากดินแดนแห่งความตายที่อยู่ทางเหนือของอาณาจักรคุยชุย เซียงเซียงที่หลับลึกได้ตื่นขึ้นมา เย่หวูเฉินจึงให้นางพาพวกตนมาที่นี่ ในใจกำลังกังวลถึงความปลอดภัยของเล่งหยา

“เจ้านาย!”

“จอมราชัน.... เจ้านาย ท่านกลับมาแล้ว!”

ผู้คนไม่อาจอยู่สุข ต่างพากันมาล้อมรอบเย่หวูเฉิน สามวันที่ผ่านมาไร้ข่าวคราวใดๆ หัวใจของพวกเขาตึงเครียดอย่างมาก อึดอัดจนแทบคลั่งตาย เวลานี้ เมื่อเห็นเย่หวูเฉินกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเขาก็ระบายลมหายใจยาวได้ในที่สุด

“ข้าบอกแล้ว พี่นายท่านของข้าเก่งกาจที่สุด ไหนเลยจะตกสู่มือสำนักจักรพรรดิเหนือได้ง่ายๆ พวกเจ้าโง่เง่ากังวลไม่เข้าเรื่อง”

“.....เสี่ยวต้วนจื่อ เมื่อกี้ไม่รู้ว่าใคร ที่กังวลจนแทบจะร้องไห้”

“เจ้า....เจ้าพูดไร้สาระอะไร!”

“เจ้านาย ดีจริงๆที่ท่านปลอดภัย ว่าแต่น้องหญิงคนนี้คือใครกัน?”

คำถามทุกประเภทประดังเข้ามาจากความเป็นห่วง นี่ไม่ใช่การประจบประแจงแต่อย่างใด ทุกถ้อยคำล้วนมาจากหัวใจเบื้องลึก เย่หวูเฉินสัมผัสจับใจ เขายกมือขึ้นเล็กน้อย เสียงโดยรอบสงบลงทันที เมื่อสัมผัสกลิ่นอายโดยรอบแล้ว เขาก็ขมวดคิ้ว หันมองไปที่เหยียนเทียนเว่ยและเอ่ยถาม “เล่งหยายังไม่กลับมาเหรอ?”

สายตาของเหยียนเทียนเว่ยหดหู่ลง เขาส่ายศีรษะหนัก

ความรู้สึกในใจของเย่หวูเฉินบีบรัดแน่น เวลานี้เอง เสี่ยวโม่หยิกนิ้วเบาๆที่มือเขา แล้วส่งสายตามองนำไปทิศใต้

เย่หวูเฉินพลันตระหนักได้ทันที เขาลอยร่างขึ้นกลางอากาศ พุ่งไปยังทิศที่เสี่ยวโม่บอก ขณะเดียวกัน เขาก็ส่งเสียงตะโกนไปเบื้องหลัง “ข้าจะรีบกลับมาทันที ไม่ต้องตามข้ามา”

เย่หวูเฉินบินไปในอากาศ ไม่รู้สึกถึงความเหน็บหนาวใดๆ ภายใต้สายตาที่คมกล้า ค่ำคืนไม่อาจบดบังการมองเห็น เขาตรงไปตามกลิ่นอายนั้นและเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

บริเวณชายขอบของดินแดนสาบสูญ เขาหยุดร่างกลางอากาศและลอยลงมา มองพื้นเบื้องล่างอย่างเงียบงัน มีบุรุษผู้หนึ่งโอบอุ้มสตรีไว้ ใบหน้านิ่งงันก้าวไปข้างหน้า กลิ่นอายจากร่างกายโศกเศร้าทรมานจับใจ เดียวดายดุจหนึ่งใบไม้ที่หลงเหลือในลมหนาว



<<<PREV    .    NEXT>>>