วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 364

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 364 ปีศาจ! ระเบิดเนตรสังหาร (1)

ในสนาม ยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ทั้งสามหันมองกัน สีหน้าของพวกเขาคล้ำลง จากนั้นเพิ่มความเร็วของตัวเองจนสูงสุด แผ่พลังอัดกระแทกคนที่อยู่โดยรอบให้กระเด็นออกไป แล้วตรงเข้าใส่เล่งหยา เมื่อทั้งสามประสานพลังกันก็สมควรชนะเท่านั้น แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าพวกตนจะถูกเล่งหยาจูงจมูกด้วยความเร็วและการพรางตัว ในใจของทั้งสามจึงโกรธเกรี้ยวอย่างมาก

ในสำนักจักรพรรดิเหนือไม่มีใครที่ไร้พรสวรรค์ แต่ละคนที่อยู่รอบกายของเล่งหยาล้วนได้ชื่อว่ายอดฝีมือ นักรบและองครักษ์ของราชวังไม่อาจเทียบได้ เล่งหยาต้องรับแรงกดดันหนักหน่วง ทุกขณะเต็มไปด้วยอันตราย หลายครั้งที่เขาหลุดรอดความตายเพียงเสี้ยววินาที มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ดี ว่าตอนนี้เขาถูกฝ่ามือไปสามครั้งและสี่กระบี่ แม้โลหิตจะไหลซึมแต่เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ ภายในไม่สับสน มีเพียงความรู้สึกอ่อนล้าที่ประดังเข้ามา ซึ่งเขาไม่อาจห้ามมัน เขาไม่สนใจความตาย คิดเพียงอย่างเดียวว่าจะต้องสังหารพวกมันให้มากที่สุด อย่างอื่นเพิกเฉยจนหมดสิ้น ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัวสำหรับเขา มีเพียงสิ่งเดียวที่เสียใจ.... คือไม่อาจทำสิ่งที่เย่หวูเฉินมอบหมายได้สำเร็จ.... ไม่อาจพาปิงเอ๋อร์ออกไป....

สนามพลังแกร่งกล้าดุจขุนเขากดดันมาจากสามทิศทาง โลกเบื้องหน้าของเล่งหยาหม่นลง เขาอยู่ในท่าถอยหลังและเตรียมที่จะหลบเลี่ยง

เวลานั้นเอง เมื่อคนทั้งสามเข้ามาถึง เล่งหยาก็พุ่งกายไปเบื้องหน้าอย่างฉับพลัน เผชิญพลังเพลิงวิญญาณที่พอจะเคลื่อนภูเขา เขาลิ่วตรงไปที่ยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ เร่งความเร็วแล่นออกไปจนถึงขีดสุด

ทุกคนตกตะลึงกับภาพที่เห็น หลายคนตะโกนอย่างแตกตื่น เล่งหยาที่กำลังล่าถอยกลับพุ่งเข้าใส่ตรงหน้าดุจสายฟ้าในฉับพลัน เกินความคาดหมายของผู้คน เล่งหยาปะทะเข้ากับยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์อย่างรุนแรง พลังเพลิงวิญญาณเฉียดผ่านแผ่นหลังของเล่งหยา ขณะที่อีกสองคนโจมตีใส่เขาพร้อมกัน....

โลกของเล่งหยาสะเทือนลั่น สายตาอ้อยอิ่งลงในยามนี้ สีหน้ายังคงไร้ความเจ็บปวด ไร้ความทรมานหรือไม่เต็มใจ ขณะที่คนตรงหน้าเลือดสาดเป็นฝอย ยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ที่เข้าปะทะกับเขา ที่หลังของมันมีรอยโลหิตลึกที่เกิดจากคมกระบี่สีเขียว

“อา.... อาวุโสม่วง!” ผู้คนที่อยู่ในฉากส่งเสียงอย่างตื่นตระหนก เหยียนชางที่สงบไร้ที่เปรียบยังต้องตื่นตะลึง คนชราที่อยู่เบื้องทั้งสี่หลังล้วนมีอาการไม่ต่างกัน ร่างของเล่งหยาปลิวกระเด็นด้วยแรงปะทะ เมื่อถึงพื้นก็นอนแผ่แน่นิ่งไร้เสียงใด มีเพียงมือที่จับกระบี่คร่าสายลมไว้มั่นไม่เคยปล่อย นี่คืออาวุธสังหารของเขา คือหนึ่งในศาสตราที่ฟงเฉาหยางเคยใช้ คือสิ่งเดียวที่ฟงเฉาหยางทิ้งไว้ให้ ต่อให้เขาต้องตาย ก็ไม่ยอมปล่อยมัน

เวลานี้เอง พวกเขาไม่สนใจเล่งหยาที่ไร้พิษสงอีก ต่างไปรุมล้อมตะโกนรอบกายชายชราที่เล่งหยาเพิ่งเสียบกระบี่ไป ปิงเอ๋อร์ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ นางโยนตัวเองไปที่เล่งหยาและเขย่าร่างเขา.... ในที่สุดนางก็มีโอกาสสัมผัสร่างของเล่งหยาอีกครั้ง ทว่าตอนนี้แววตาของเล่งหยานิ่งงัน เพียงมองบนฟ้าอย่างแน่นิ่ง และเขาไม่เห็นนาง....

“เจ้าตอไม้! เล่งหยา! ลุกขึ้นมานะ.... ลุกเดี๋ยวนี้! เจ้าอย่าตายนะ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ถ้าเจ้าตาย แล้วใครจะพาข้าออกไป.... ไหนเจ้าบอกว่าจะพาข้าออกไปไม่ใช่เหรอ” ปิงเอ๋อร์จับเสื้อของเล่งหยา ตะโกนปานจะขาดใจ นางรู้สึกว่าดวงตาตัวเองกำลังมีหยดน้ำใสไหลออกมาช้าๆ จากนั้นมันไหลร่วงกราว.... นางไม่เข้าใจตัวเองนัก ว่าเหตุใดจึงไม่อาจควบคุมน้ำตาที่ไหลท่วมออกมาปานนี้

นางมองร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยโลหิตทั่วร่าง เล่งหยาไร้การตอบสนองใดๆ ปิงเอ๋อร์หันกายและผวาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเหยียนชาง “ท่านลุงชาง ช่วยเขาด้วย.... ปิงเอ๋อร์ขอร้องท่าน ได้โปรดช่วยเขา.... ท่านจะเอาชีวิตของปิงเอ๋อร์ไปก็ได้ หรือจะทำลายวรยุทธของเขาก็ตาม แต่ได้โปรดช่วยชีวิตของเขาด้วย....”

เหยียนชางเหลือบมองไปที่เล่งหยา แม้ว่ากลิ่นอายของเล่งหยายังไม่แตกสลายชั่วคราว แต่พลังชีวิตได้สูญสิ้นไปจนเกือบหมด พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใด เพียงปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกเล็กน้อย พลังชีวิตของเขาย่อมหมดลง เหยียนชางเคลื่อนสายตามาที่ปิงเอ๋อร์ สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยในความเงียบงัน สงสัยว่าเหตุใดนางต้องทำถึงเพียงนี้เพื่อขอร้องตน เขากล่าวเสียงเบา “กล้าบุกรุกสำนักจักรพรรดิเหนือ มันย่อมรู้ตัวว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ ปิงเอ๋อร์ เจ้าจงกลับไปพร้อมกับข้าทันที ข้ายังพอออกหน้าแทนเจ้าได้ แต่หากเจ้ายังฝืนดื้อรั้นอีก.... เฮ่อ อย่างไรเสีย มันก็เป็นคนของสำนักมาร หากเจ้ายังขืนยืนกราน สำนักจักรพรรดิเหนือย่อมไม่อาจละเว้นเจ้าเพราะมัน”

“ไม่นะ.... ท่านลุงชาง.... ท่านลุงชาง ท่านก็เห็นแล้ว เขาเก่งกาจถึงเพียงนี้.... ท่านเองก็คงเสียดาย หากเขาสามารถเข้าร่วมสำนักจักรพรรดิเหนือ.... ข้า ข้าจะเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้าร่วมสำนักจักรพรรดิเหนือเอง ขอร้องท่านได้โปรดให้อภัยเขา ได้โปรดช่วยเขาด้วยเถอะ” ปิงเอ๋อร์สั่นศีรษะสุดแรง สะอึกสะอื้นพยายามอ้อนวอน

เหยียนชางเลิกคิ้วขึ้นและลอบถอนหายใจ “หากเจ้าคิดเช่นนั้น แสดงว่าเจ้าอ่านมันผิดแล้ว คนประเภทนี้ มีเพียงตัวมันสมัครใจเองเท่านั้น ไม่อย่างนั้น ต่อให้ตัดขาทิ้ง มันก็ไม่ยอมคุกเข่า ไม่มีวันหักหลังเจ้านายตัวเอง.... ปิงเอ๋อร์ เจ้ายังเยาว์นัก ข้าไม่โหดเหี้ยมพอจะเห็นเจ้าต้องถูกทำลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องรีบช่วยเจ้าให้ตัดใจแล้ว”

เขายื่นมือขวาออก วาดมือกลางอากาศ กระบี่ยาวที่ตกอยู่บนพื้นห่างไกลถูกดูดบินเข้ามาในมือ เขาพลิกข้อมือตวัดกระบี่ทันที มันสะท้อนประกายเย็นเยียบพุ่งตรงไปที่ลำคอของเล่งหยา

กระบี่กรีดอากาศเสียงคมกล้า ทว่าขณะที่กระบี่ยาวหลุดออกจากมือของเหยียนชาง ม่านตาของเขาก็หดลีบอย่างรุนแรง เขาแตกตื่นและตะโกนออกไปอย่างบ้าคลั่ง....

ฉึก....

กระบี่ยาวปักเข้าไปร่างหนึ่ง ร่างที่ถูกเสียบนั้นทำให้เหยียนชางหยุดเสียงที่กำลังตะโกนออก พลังขอบเขตสวรรค์ชั้นสูงร้ายกาจเพียงใด กระบี่ยาวที่เขาเหวี่ยงออกอย่างไม่ใส่ใจนั้น ต่อให้เล่งหยามีสภาพสมบูรณ์ยังหลบเลี่ยงได้ยาก และด้วยพลังขอบเขตวิญญาณชั้นกลางของปิงเอ๋อร์ นางย่อมไม่อาจตามความเร็วของมันทัน ทว่าชั่วขณะที่กระบี่หลุดออกจากมือเขา เหยียนชางได้แต่มองอย่างหมดหนทาง กับร่างที่พุ่งเข้าขวางกระบี่ที่กำลังตรงไปยังลำคอของเล่งหยา ความเร็วของนางทำให้เหยียนชางไม่ทันตอบสนอง....

กระบี่ยาวเสียบทะลุอกซ้ายของปิงเอ๋อร์ ตัดผ่านหัวใจโดยตรง ร่างอ่อนแอของนางยังไม่พอที่จะหยุดกระบี่ได้ ปลายกระบี่ทะลุร่างนางแล้วปักที่เล่งหยา ทว่าเมื่อกระบี่ถูกขัดขวาง มันจึงเบี่ยงทิศทางเล็กน้อย พลาดเป้าสำคัญที่ลำคอและปักตรงไหล่ซ้าย ปักลึกถึงกระดูกของเล่งหยา

กระบี่ปักเฉียงผ่านร่างที่ทรุดนั่งลง ปลายกระบี่ฝังไหล่ของเล่งหยาที่นอนอยู่ โลหิตไหลจากโคนกระบี่ลงไปยังปลาย เป็นเลือดของปิงเอ๋อร์ที่ไหลออกจากด้านหลัง ไหลรวมกับเลือดของเล่งหยาที่ไหล่ซ้าย

ความเจ็บเสียดทำให้เล่งหยาที่ใกล้จะสิ้นสติ ได้สติฟื้นคืนมาเล็กน้อย ในแววตาที่เลื่อนลอย เขาเห็นกระบี่อย่างพร่ามัว เห็นร่างหนึ่งบังร่างตัวเองอยู่ มีกระบี่เสียบทะลุหัวใจของปิงเอ๋อร์

เหยียนชางชะงักค้าง ชายชราที่อยู่เบื้องหลังทั้งสี่คนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เหยียนชางสืบเท้าไปเบื้องหน้าก้าวหนึ่ง ถอนหายใจล้ำลึก “ปิงเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้”

“ได้โปรด.... ช่วยเขาด้วย....”

หัวใจคืออวัยวะที่สำคัญสุดของมนุษย์ หากเป็นคนธรรมดาเมื่อถูกเสียบทะลุหัวใจย่อมตายในทันที ทว่าถึงแม้ปิงเอ๋อร์มีพลังยุทธสูง สามารถฝืนอยู่ได้นานกว่าคนธรรมดา แต่เมื่อหัวใจถูกทำลายนางก็ก้าวเข้าสู่ประตูมรณะแล้ว ไม่อาจหวนกลับสู่ชีวิตได้อีก สติของนางเลือนลงอย่างรวดเร็ว ภาพตรงหน้ายิ่งมายิ่งพร่ามัว นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแอดุจยุง “ท่านลุงชาง.... ได้โปรด.... ช่วยเขาด้วย....”

เหยียนชางรู้สึกเสียใจ แต่เขาไม่ใช่คนประเภทที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือหลักการ เขาหลับตาลงอย่างเจ็บปวด และกล่าวด้วยน้ำเสียงละอาย “ตลอดชีวิตข้าไม่เคยมีบุตรและภรรยา ในใจข้าเห็นเจ้าเหมือนลูกสาวมาตลอด ปิงเอ๋อร์ เจ้าไปอย่างสงบเถอะนะ....”

เสียงของเขาหยุดลง คิ้วของเขาย่นยับ คนทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลังรวมถึงผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างมองมาทางปิงเอ๋อร์ด้วยสีหน้าหม่นหมอง

ที่ด้านหลังของนาง เล่งหยาที่เดิมทีแทบจะสูญสิ้นพลังชีวิต ตอนนี้กลับขยับร่างอันสั่นเทาขึ้นช้าๆ การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าอย่างยิ่ง ทั้งยังยากลำบากถึงขีดสุด ราวกับว่าเพียงลมโชยพัดมา ก็เพียงพอจะผลักเขาให้ล้มลงอีกครั้ง กระบี่ที่เสียบตรงไหล่ไม่ทราบว่าหลุดออกตั้งแต่เมื่อใด ทว่ากระบี่ไม่ได้ขยับไปไหน แต่ถูกกำไว้มั่นด้วยมือซ้ายของเล่งหยา เพราะหากเขาขยับกระบี่ ย่อมอาจทำให้ปิงเอ๋อร์ที่ถูกกระบี่เสียบหัวใจตกตายได้ในทันที

เมื่อเขายกศีรษะขึ้น สองจุดแดงก่ำดุจดวงตาปีศาจน่าหวาดหวั่นก็ทอรัศมีเย็นเยียบใต้ความมืดราตรี สายตาของผู้คนถูกดึงดูดอย่างไม่อาจต้านทาน ขณะที่มองไปยังดวงตาคู่นั้น ราวกับมีระลอกความเกลียดชังไร้สิ้นสุดและจิตสังหารอันหดหู่ ฉับพลันมันบาดลึกลงในดวงวิญญาณของผู้คน

สิ่งหนึ่งที่เรียกว่าความกลัวกำลังบังเกิดขึ้นในใจ ทันใดนั้น.... ผู้คนก็ตะโกนนามอันน่าหวาดหวั่นของดวงตานี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง

“เนตรปีศาจสังหารโลหิต!” เหยียนชางขมวดคิ้วมุ่นและตะโกนเสียงต่ำ เล่งหยาเคยเปิดเนตรปีศาจสังหารโลหิตครั้งหนึ่งในงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน แหวกคมกระบี่ตัดอากาศสังหารเหยียนเจิ้ง เรื่องนี้ในสำนักจักรพรรดิเหนือต่างรู้กันดี เวลานี้ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเนตรปีศาจสังหารโลหิต ไม่ว่าผู้ใดที่ได้เห็นดวงตานี้เป็นครั้งแรก พวกเขาจะเรียกชื่อนี้ออกมาโดยไม่ลังเล กระทั่งเหยียนชาง ยังรู้สึกเย็นเยือกไปทั่วร่างเมื่อเผชิญหน้าดวงตานี้

“เนตรปีศาจสังหารโลหิต....”

“นี่จะต้องเป็นเนตรปีศาจสังหารโลหิต!”

“เห็นได้ชัดว่ามันใกล้จะตกตาย แล้วเหตุใด.... หรือว่าเนตรปีศาจสังหารโลหิตในตำนานจะน่ากลัวถึงเพียงนั้นจริงๆ? พวกเราระวังตัวด้วย!”

“เป็นเพราะมันกำลังใกล้ตาย.... หรือเป็นเพราะว่าปิงเอ๋อร์? แต่ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ข้าก็ขอได้เห็น ว่าเนตรปีศาจสังหารโลหิตจะทำให้เปลี่ยนไปมากแค่ไหน.... อย่ากังวลไปนักเลย พวกเรามีกันตั้งกี่คน จะไม่อาจรับมือเนตรปีศาจสังหารโลหิตได้เชียวหรือ?”

ชายชราทั้งสี่ที่อยู่เบื้องหลังของเหยียนชางคำรามเสียงต่ำในลำคอ อาการของพวกเขาแสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ขณะเดียวกัน จิตสังหารที่พวยพุ่งนั้นทำให้พวกเขาลอบตื่นตระหนก ทั้งสี่คนลอบโคจรพลังอย่างเงียบงัน ไม่เก็บรักษายั้งไว้แม้แต่น้อย

แตกต่างจากครั้งแรก ตอนนั้นเขาเปิดเนตรปีศาจสังหารโลหิตด้วยความเกลียดชังไร้สิ้นสุดและไม่เต็มใจ หากครั้งนี้ที่เขารู้สึกนั้น คือความสิ้นหวังไร้ประมาณ เกลียดชังไร้สิ้นสุด และยังท่วมทับด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจนับได้ หัวใจราวกับถูกคมมีดนับไม่ถ้วนกรีดแทง เจ็บปวดทรมานไร้ที่สิ้นสุด

เขาไม่เข้าโจมตีเหมือนปีศาจที่บ้าคลั่ง ทว่าส่งมือกอดร่างของปิงเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน เคลื่อนไหวแผ่วเบาราวสัมผัสกับฟองอากาศ มองยังใบหน้าไร้สีเลือดของนาง สัมผัสถึงพลังชีวิตที่ไม่อาจหวนกลับ หยดโลหิตไหลออกจากตาซ้ายของเล่งหยา หยดลงบนใบหน้าของปิงเอ๋อร์ มันไหลผ่านแก้มของนางอย่างเงียบงัน เหลือทิ้งไว้เพียงรอยสีแดง



<<<PREV    .    NEXT>>>