วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 375

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 375 เจวี๋ยเทียนพิโรธ

หมวกเกราะสีม่วงไม่ปรากฎให้เห็นอีก ผมเผ้าปรากฎเป็นยุ่งเหยิง นิ้วมือข้างซ้ายหายไปไร้ร่องรอย ผ้าคลุมขาดวิ่นเป็นรอยน้อยใหญ่ เกราะม่วงบนร่างมีร่องรอยถูกทำลายมากมาย บนผิวที่โผล่ออกมาปรากฎรอยแดงกระจัดกระจาย โลหิตไหลซึมออกมาอย่าต่อเนื่อง ไหลหยดลงจากร่างอย่างเงียบงัน

ทว่าสายตาที่ปรากฎนั้น กำลังเกรี้ยวกราดเป็นครั้งแรก เป็นโทสะสูงสุดดุจปีศาจที่จ้องมองผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง

โกรธเกรี้ยว.... ทวีปเทียนเฉินทำให้เจวี๋ยเทียนโกรธเกรี้ยวอย่างคาดไม่ถึง เมื่อครู่ที่ผ่านมามันได้กลิ่นแห่งความตาย เป็นครั้งแรกที่ความตายเฉียดใกล้ตัวเองถึงเพียงนี้ ทว่าผู้ที่นำพาความรู้สึกนี้มาสู่ตน กลับเป็นฝูงมนุษย์อันต่ำต้อย!

ขณะที่ถูกพลังมหาศาลเข้าปะทะ เจวี๋ยเทียนคิดว่าตัวเองคงตายเป็นแน่ ทว่าอย่างไรตนเองก็คือเทพแท้จริง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นหนึ่งในแปดเทพขุนพลแห่งทวีปเทวะ ทรงพลังเหนือล้ำกว่าเทพส่วนมาก ด้วยพลังที่ครอบครองยามนี้ คิดหวังให้ตกตายนับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย พลังเทพที่ไหลเวียนในร่างถูกใช้ออกเพื่อป้องกัน ต้านทานพลังทำลายล้างจนพลังในร่างถูกสูบกลืนอย่างรวดเร็ว

แม้ว่ารักษาชีวิตไว้ได้ แต่ร่างกายก็เต็มไปด้วยบาดแผล เกราะสายฟ้าม่วงยังถูกทำลาย สิ่งที่ยอมรับไม่ได้อย่างที่สุดสำหรับมันก็คือ การรู้สึกพลังครั้งแรกในรอบยาวนาน มันรักษาชีวิตไว้ได้แต่ต้องสูญสิ้นพลังมากเกินไป เมื่อโยนหอกเข้าใส่ฉุ่ยม่านชาน มันไม่อาจใช้พลังเท่าครั้งก่อน ไม่เพียงต้องทุ่มโถมพลังสุดแรง แต่ร่างกายยังไหวเอนด้วย

“เจ้าพวก.... มนุษย์ต่ำต้อย.... ประเสริฐ พวกเจ้าทำให้ข้า.... โกรธได้สำเร็จ”

ถ้อยคำชิงชังแผ่เข้าหูของทุกคนในสำนักจักรพรรดิใต้ มันบาดลึกลงไปสู่ใจ ทำลายปราการจิตใจให้ราบคาบลง พวกเขาตัวสั่นอย่างตื่นตระหนก.... มันยังไม่ตาย ภายใต้พลังของโล่หยกวารีสังหารเทพ การโจมตีที่ทรงอานุภาพทำลายทั้งอาณาจักร มันกลับไม่ตกตาย!

ไม่เพียงไม่ตายเท่านั้น เท่าที่เห็นมันได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ทว่าความเกลียดชังที่ปลดปล่อยออกมา เป็นบางสิ่งที่ไม่อาจต่อต้าน ราวกับเป็นความสิ้นหวัง.... ถูกต้อง เป็นความสิ้นหวัง พวกเขาไม่ได้ประเมินพลังของโล่หยกวารีสังหารเทพสูงเกินไป ทว่าที่พวกเขาประเมินต่ำเกินไปนั้น คือพลังแกร่งกล้าของเทพจากทวีปเทวะ เผชิญหน้ากับเจวี๋ยเทียนที่ถลึงตาจ้องมองด้วยความชิงชัง พวกเขาก็พบว่าตนเองไม่อาจหาพลังใดมาต่อต้าน

ฉุ่ยเสวียนฟงแตกตื่นไม่อาจยอมรับความตายของฉุ่ยม่านชาน ร่างกายหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่ใกล้ๆฉุ่ยหยุนหลัน พลังหยกวารีในร่างกำลังสั่นเทา.... เขากำลังตัวสั่นอย่างคาดไม่ถึง เผชิญหน้ากับเจวี๋ยเทียนในยามนี้ ในที่สุดเขาก็รู้สึกเย็นเยียบจากอากาศและหวาดกลัว

มือข้างหนึ่งยกขึ้นขวางฉุ่ยเสวียนฟง ฉุ่ยหยุนหลันสืบเท้ามาก้าวหนึ่ง บังร่างฉุ่ยเสวียนฟงด้วยแขนข้างหนึ่งที่เหลืออยู่ เขาแหงนศีรษะมองขึ้นไปยังเจวี๋ยเทียน กล่าวคำบางเบาไร้ที่เปรียบ “สำนักจักรพรรดิใต้ของข้าไม่เคยเป็นศัตรูกับเจ้า เหตุใดเจ้าต้องบีบคั้นพวกเราถึงเพียงนี้”

คู่ดวงตาเกลียดชังมองสำรวจที่ฉุ่ยหยุนหลัน นี่คือคนที่นำพาความตายมาสู่มันเมื่อครู่นี้ หอกยาวที่เสียบร่างฉุ่ยม่านชานพุ่งขึ้นฟ้า บินกลับไปที่มือมัน เหนือตัวหอกปรากฎเป็นรอยเลือด ร่างของฉุ่ยม่านชานล้มลงพื้นในที่สุด ไร้กลิ่นอายชีวิตใดๆ พื้นใต้ร่างเป็นแอ่งโลหิตแดงฉานผืนใหญ่

“ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด.... พวกเจ้าก็ต้องตกตาย.... ทั้งหมด!”

ก่อนหน้านี้ มันเพียงค้นหาองค์หญิงเฮยเย่เท่านั้น ทว่าตอนนี้ เจวี๋ยเทียนปรารถนาสังหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าคนพวกนี้รู้จักองค์หญิงเฮยเย่หรือไม่ หรือซ่อนนางไว้หรือไม่ก็ตาม พวกมันก็ต้องตกตาย เพราะพวกมันสร้างความบาดเจ็บและทำให้ตนโกรธเกรี้ยว

“เมื่อเป็นเช่นนี้....” สีหน้าของฉุ่ยหยุนหลันทะมึนลงเช่นกัน เวลานี้ กล่าวได้ว่าเขาเป็นคนเดียวในสำนักจักรพรรดิใต้ที่ยังคงสุขุมอยู่ เขากล่าวคำเพียงครึ่งประโยคแล้วกระโดดขึ้นฉับพลัน ผู้คนต่างตกตะลึง พลังหยกวารีในมือขวาโคจรเล็งคว้าไปที่ลำคอของเจวี๋ยเทียน

ฉุ่ยเสวียนฟงดวงตาเบิกกว้างทันที ขณะที่กำลังจะตะโกนออกไปนั้น ในสมองก็มีความคิดอัศจรรย์วาบผ่าน เขาหยุดร่างตัวเองอยู่ที่เดิม มองดูมือขวาของฉุ่ยหยุนหลันด้วยแววตาอันตื่นเต้น

เผชิญหน้ากับการจู่โจมฉับพลันของฉุ่ยหยุนหลัน เจวี๋ยเทียนแค่นเสียงเหยียดหยันคำหนึ่ง ไม่ต้องรอให้ฉุ่ยหยุนหลันจู่โจมมาถึงร่าง มันก็พุ่งร่างลงตรงเข้าใส่ฉุ่ยหยุนหลัน มันจะต้องตัดร่างของคนผู้นี้ออกเป็นสองเสี่ยง ให้โลหิตพวยพุ่งออกมาเป็นหมอกเลือด!

ความโล่งใจวาบผ่านในแววตาของฉุ่ยหยุนหลัน เผชิญกับแรงกดดันที่พุ่งมาตรงหน้า ทันใดนั้น ในมือของเขาปรากฎแผ่นผลึกขนาดหนึ่งเมตร ลำแสงสีฟ้าท่วมนภายิงใส่เจวี๋ยเทียนที่เข้ามาใกล้เพียงเอื้อมมือ

โลกหล้ากลายเป็นสีฟ้าอีกครั้ง เสียงร้องลั่นเจ็บปวดของเจวี๋ยเทียนดังขึ้นอีกหน เทียบกับครั้งก่อนตอนนี้น้ำเสียงเจ็บปวดทรมานกว่ามากมาย เป็นเสียงร้องที่ทรมานสุดแสน

โล่หยกวารีสังหารเทพอันที่สอง ในสำนักจักรพรรดิใต้มีโล่หยกวารีสังหารเทพอยู่สองแผ่น นี่คือพลังสูงสุดของพวกเขา ในที่สุดพวกเขาก็ใช้ไพ่ตายสุดท้ายในมือกับเจวี๋ยเทียน หลังจากใช้โล่หยกวารีสังหารเทพอันแรกไป ตอนนี้เขาใช้โล่อันที่สองโดยไม่มีรั้งไว้ กล่าวอีกอย่างคือฉุ่ยหยุนหลันไร้ทางเลือกอื่นใดอีก ไม่อย่างนั้น ทั้งสำนักมีเพียงต้องถูกทำลายเท่านั้น

แสงฟ้าสะท้อนอาบหน้าทุกผู้คนในสำนักจักรพรรดิใต้ แม้ว่าไม่อาจมองเห็นสิ่งใดนอกจากแสงฟ้า ทว่าทุกคนยังคงแหงนหน้ามองขึ้นไป ไม่สงสัยเลยว่าเมื่อครู่เจวี๋ยเทียนบาดเจ็บเพียงใด เวลานี้เมื่อถูกพลังของโล่หยกวารีสังหารเทพอีกครั้ง เจวี๋ยเทียนย่อมหมดโอกาสรอดชีวิตอีก ผลลัพธ์เดียวคือตกตายกลายเป็นเถ้าธุลี ไร้โอกาสกลับคืนสู่ชีวิตครั้งที่สอง เทพมีพลังชีวิตเหนือล้ำกว่ามนุษย์หลายเท่า ทว่าไม่ได้หมายถึงเป็นอมตะ ไม่ว่าจะเป็นใครย่อมมีขีดจำกัดในตัวเอง

ในอีกสถานที่หนึ่ง เมื่อแสงฟ้าลำที่สองพุ่งขึ้นสู่ฟ้า เหยียนต้วนหุนและเหยียนเทียนอ้าวต่างจ้องตะลึงอีกครั้ง การคาดเดาก่อนหน้าถูกโยนทิ้งเพราะแสงฟ้าที่ยิงขึ้นนภาลำที่สอง สำนักจักรพรรดิใต้ประสบหายนะถึงขั้นต้องใช้ไพ่ตายสุดท้ายในมือ พวกเขาไม่อาจยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นได้ นี่เป็นการบีบคั้นอย่างสาหัส.... จากศัตรูไม่ทราบฝ่ายที่ทรงพลัง แกร่งกล้าน่ากลัวอย่างสูงสุด ถึงจุดนี้พวกเขาเริ่มตระหนักได้บ้างแล้ว ว่าศัตรูศักดิ์สิทธิ์ใดที่บีบคั้นสำนักจักรพรรดิใต้จนต้องใช้โล่หยกวารีสังหารเทพถึงสองครั้ง!

ผืนดินเหนือศีรษะเริ่มถล่มลง คลื่นพลังปั่นป่วนกระแทกใส่ร่างเย่หวูเฉินและทงซิน เย่หวูเฉินคว้าร่างทงซินไว้รวดเร็วโดยไร้ความลังเล เคลื่อนร่างในแสงฟ้าทำลายดินด้วยพลังปฐพี จนกระทั่งเกิดเป็นหลุมกว้างลึกไม่กี่เมตร จากนั้นกระโดดลงไป ฉุ่ยหยุนเทียนกระโดดลงไปด้วย เย่หวูเฉินเอามือปิดปากและจมูกของทงซินไว้ จากนั้นส่งสัญญาณให้ฉุ่ยหยุนเทียนที่เพิ่งลงมาถึง ฉุ่ยหยุนเทียนเข้าใจทันที ม่านตาหดลีบลง สีหน้าไม่อยากเชื่อวาบผ่าน

แสงฟ้าที่บดบังท้องนภาค่อยๆจางลงอีกครั้ง ผืนดินใต้เท้ายุบลงไปอีกหลายส่วน หากมองลงมาจากที่สูง จะเห็นพื้นที่รอบรัศมีหลายลี้ ที่เมื่อครู่ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ตอนนี้ย่อยยับอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ในที่สุดทุกอย่างก็สงบลง คราแรกโล่หยกวารีสังหารเทพไม่อาจทำลายเจวี๋ยเทียนได้ ผู้คนล้วนแตกตื่นหวาดกลัว แต่พวกเขาไม่เชื่อว่าครั้งนี้มันจะรอดได้อีกครั้ง ทุกคนในที่นี้คือยอดฝีมือ แม้มิใช่ตัวตนยิ่งใหญ่ในสำนัก แต่ทั่วทวีปเทียนเฉินพวกเขาสามารถมองหยันไม่เป็นรองใคร ทว่าถึงวันนี้ พวกเขาจึงได้เข้าใจจริงๆ ว่าต่อหน้าเทพแท้จริงนั้นมนุษย์อย่างพวกตนอ่อนแอเพียงใด สำนักจักรพรรดิใต้เกรียงไกรจนทั้งทวีปเทียนเฉินได้แต่แหงนมอง เป็นตัวตนยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์ ขุมกำลังแกร่งกล้าสูงสุดที่ทุกอาณาจักรไม่กล้ากระตุ้นโทสะ ตอนนี้กลับไร้พลังต่อต้านเพียงเทพหนึ่งตน หากไม่ใช่เพราะไพ่ตายสองใบในมือ บางทีพวกเขาคงถูกกำจัดหมดสิ้นทั้งสำนักอย่างง่ายดาย

ความห่างชั้นของเทพและมนุษย์ช่างต่างกันมากเหลือเกิน ด้วยพลังของเจวี๋ยเทียน หากมันคิดหวังทำลายอาณาจักรใดๆในทวีปเทียนเฉิน มันย่อมไม่ต้องสิ้นเปลืองแรงมากนัก

พวกเขาคิดได้เพียงว่านี่คือฝันร้ายโดยส่วนเดียว

ฝันร้าย....

แน่ใจว่านี่คือฝันร้าย?

ฝันร้ายสมควรจบลงแล้ว ทว่าเมื่อพวกเขาแหงนศีรษะมองไปยังท้องฟ้าว่างเปล่า พวกเขาจึงรู้ทันทีว่าอะไรคือฝันร้ายที่แท้จริง

พวกเขามองเห็นคู่ดวงตาโกรธเกรี้ยวที่ลุกโชนด้วยเพลิงสังหารแดงก่ำ เจ้าของดวงตาคู่นี้ คือเจวี๋ยเทียนผู้นำฝันร้ายมาสู่สำนักจักรพรรดิใต้

ผ้าคลุมด้านหลังหายไปแล้ว ผมเผ้าหายไปครึ่งแถบ เกราะแตกออกเป็นชิ้นๆ รอยแผลเต็มทั่วร่างกาย มือขวายังคงถือหอกยาว ขณะที่มือและแขนซ้าย.... ได้หายไป แขนข้างที่ขาดมีเลือดไหลหยดลงมา ไม่เพียงเฉพาะแขนซ้ายเท่านั้น ร่างกายและขาซีกซ้ายยังเต็มไปด้วยบาดแผลโชกเลือด ใบหน้าซีดเซียว จากกล้ามเนื้อที่บิดเบี้ยวบนใบหน้า แสดงให้เห็นว่ามันเจ็บปวดและโกรธเกรี้ยวเพียงใด

ฉุ่ยหยุนหลันที่รักษาความสุขุมมาตลอด ในที่สุดยามนี้ก็เผยใบหน้าตกใจอย่างสุดแสนออกมา

พลังของโล่หยกวารีสังหารเทพไม่ได้ปะทะถูกกลางร่าง เพราะเจวี๋ยเทียนเบี่ยงร่างได้ทัน ทว่าด้วยพลังน่ากลัวมันทำลายร่างกายซีกซ้ายของเจวี๋ยเทียน มันไม่อาจใช้พลังเทพปกป้องแขนซ้ายตัวเองได้ รวมถึงร่างกายซีกซ้ายที่บาดเจ็บรุนแรง

สามารถต้านทานพลังของโล่หยกวารีสังหารเทพครั้งแรกได้โดยตรง แม้ว่าตอนนั้นจะเพียงบาดเจ็บ แต่พลังก็สูญสิ้นไปเกือบหมด หากมันถูกจู่โจมด้วยพลังแบบเดิมอีกครั้ง ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการทำลายได้.... ทว่า ถึงแม้มันจะเจ็บหนัก แต่มันยังคงไม่ตาย! ลอยร่างอย่างฝืดฝืนกลางอากาศ ปลดปล่อยแรงกดดันจนพวกเขาสิ้นหวัง ด้วยการบาดเจ็บสาหัสครั้งนี้ พลังของเจวี๋ยเทียนจึงลดลงขอบเขตใหญ่ ทว่าแรงกดดันที่แผ่ออกมายังคงหนักหน่วงจนพวกเขายากจะหายใจ

“อ๊าก!!....” ราวกับสัตว์ร้ายที่เพิ่งตื่นขึ้น ในปากส่งเสียงคำรามช้าๆ เปล่งเสียงกู่ร้องดังลั่นออกมา

“อ๊าก!!!!”

เปรี๊ยะ!

เปรี๊ยะ!

ราวกับพายุพัดโหมเข้ามา ในท้องฟ้าฉับพลันเต็มไปด้วยเสียงสายฟ้าหูดับ ท้องฟ้าไร้เมฆเมื่อครู่ไม่ทราบมีเมฆรวมกลุ่มตั้งแต่ตอนใด แรงกดดันท่วมโถมพร้อมเมฆดำที่เคลื่อนบรรจบกัน สายฟ้าสว่างวาบฟาดออกอย่างต่อเนื่อง สั่นไหวไปถึงก้นบึ้งหัวใจของผู้คน

พลังอำนาจที่ไม่อาจมองเห็น พวกเขาได้เป็นสักขีพยานต่อพลังเทพที่สามารถเปลี่ยนสภาพดินฟ้า เวลานี้เจวี๋ยเทียนยังคงน่าหวั่นกลัว!



<<<PREV    .    NEXT>>>