วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 346

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 346 ก้าวย่างอย่างระวัง

เย่หวูเฉินนำพิมพ์เขียวที่เหยียนจื่อซินวาดออกมา กางออกดูบนท้องฟ้า จากนั้นวางลงในมือเล่งหยา “จดจำผังตำแหน่งไว้ให้ดี เมื่อถึงเวลา ให้เจ้าสำรวจครึ่งหนึ่งทางฝั่งใต้ ส่วนข้า....” เย่หวูเฉินสีหน้าทะมึนลง “จะสำรวจครึ่งหนึ่งทางฝั่งเหนือ และหากว่าจำเป็น ข้าจะดึงดูดความสนใจของพวกมัน.... จำไว้ว่าห้ามหุนหัน สิ่งใดไม่อาจกระทำก็จงอย่าเสี่ยง รักษาชีวิตเจ้าไว้ก่อนเป็นอันดับแรก ข้าจะทิ้งเจ้าไว้คนเดียว อย่างไรก็ตาม ข้าจะรีบกลับมารับเจ้าออกไป เข้าใจหรือไม่?”

หลังจากเข้ามาถึงพื้นที่สำนักจักรพรรดิเหนือ เขาก็สามารถกลับเข้ามาได้ทุกเมื่อโดยอาศัยพลังตัดมิติของเซียงเซียง

เล่งหยาจ้องมองพิมพ์เขียวอย่างเงียบงัน จดจำทุกรายละเอียดเอาไว้มั่น จากนั้นถอนสายตากลับมาและพยักหน้าหนัก

“เอาละ ไปกันเถอะ”

เสียงลมเย็นพัดผ่านหู เย่หวูเฉินพาเล่งหยาบินพุ่งไปทางเหนือ เพียงพริบตาก็อยู่บนน่านฟ้าของสำนักจักรพรรดิเหนือ เมื่อเข้ามาในบริเวณสำนักจักรพรรดิเหนือแล้ว เขาไม่กล้าชักช้าอยู่อีก ไม่อย่างนั้นย่อมเกิดอันตรายหากพวกมันรู้ตัว

ตำแหน่งของพวกเขาอยู่สูงเสียดฟ้า หากคนเบื้องล่างไม่มีสายตาดีพอ ก็ย่อมไม่อาจมองเห็นพวกเขา เย่หวูเฉินกวาดตาราวกับเหยี่ยวหิวโหยที่มองหาเหยื่อ มองทุกสิ่งที่อยู่เบื้องล่างในปราดตา แม้แต่คนที่เดินไปมาเขาก็เห็นชัด

“เซียงเซียง ลงไปตรงด้านหลังกระท่อมไม้ร้างหลังนั้น” เย่หวูเฉินกล่าวในใจ

สำหรับเซียงเซียง การตัดมิติระยะสั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก หลังจากที่นางปรากฎตัวและเห็นตำแหน่ง นางส่งเสียง “อิ๊” เบาๆ ฉับพลันทั่วร่างของเย่หวูเฉินและเล่งหยาก็มีแสงขาวล้อมไว้

เพียงพริบตาเดียว เย่หวูเฉินและเล่งหยาก็หายวับมาอยู่ในจุดดังกล่าว ร่างกายของพวกเขาพิงชิดกับผนัง นี่คือจุดอับที่เย่หวูเฉินมองเห็นบนท้องฟ้า ยากนักที่จะถูกพบตัว หากพวกเขาลงมาจากท้องฟ้าโดยตรง แม้จะใช้ความเร็วเพียงใดก็ไม่อาจหลุดรอดการถูกพบ แต่หากใช้วิธีตัดผ่านมิติเข้าย่อมจะเป็นการปลอดภัยที่สุด

นี่คือภายในสำนักจักรพรรดิเหนือ เวลานี้คนในสำนักย่อมไม่คิดฝันว่ามีสองบุคคลกำลังซุกซ่อนจากสายตา บุกรุกเข้ามาภายใน

เย่หวูเฉินปิดตาทั้งสองลง แผ่จิตสัมผัสตรวจสอบบริเวณโดยรอบ เมื่อยืนยันแน่ชัดว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ เขาก็เปิดปากเล็กน้อย กล่าวคำเสียงแผ่วเบา “จำไว้ว่าปิดบังอำพรางตัวเองให้ดี อย่าให้ผู้ใดพบเห็น ที่นี่คือสำนักจักรพรรดิเหนือ หลายปีมานี้ย่อมไม่มีใครรุกล้ำ ดังนั้นพวกมันย่อมไม่ระแวดระวังเท่าใด ด้วยความสามารถในการปิดบังตัวตนของเจ้า ต่อให้พวกมันระวังแค่ไหนก็ยังยากจะหาพบ” เขาหยุดชั่วขณะ จากนั้นกล่าวด้วยสายตาคมกล้า “ไป”

จากนั้น เย่หวูเฉินหันกายและมุ่งไปยังทางเหนือ ประดุจสายลมอันเงียบงัน ชายเสื้อคลุมพริ้วสะท้อนแสงเงินขณะเคลื่อนกาย

เล่งหยาเงียบงันอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน เขาสูดหายใจบางแล้วพุ่งกายไปทางใต้ ราวกับเส้นแสงสีดำที่ไหววับในพริบตา เขาซ่อนกายอยู่หลังกระท่อมร้างอีกหลัง หลับตาลงและนึกถึงตำแหน่งในผังพิมพ์เขียว จากนั้นดีดเท้าทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว และตกลงนุ่มนวลราวกับใบไม้ร่วง เขาแนบร่างลงบนหลังคา ใช้จิตสัมผัสตรวจดูบริเวณโดยรอบโดยไม่เคลื่อนไหว จากนั้นทะยานร่างอย่างเงียบงันลงบนหลังคาอีกหลัง

สำนักจักรพรรดิเหนือคือถ้ำเสืออย่างแท้จริง อันตรายยิ่งกว่าในราชวัง เล่งหยาจะเคลื่อนไหวเมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ หากพบว่ามีคนอยู่จะต้องรีบปิดปากและจมูก ไม่ปล่อยให้กลิ่นอายรั่วไหลออกจากกาย จากนั้นรอคอยโอกาสและทะยานร่างข้ามหลังคาอีกครั้ง ตามหาคนที่เรียกว่าเหยียนจื่อเมิ่ง

เมื่อลอบเข้าไปในราชวัง ต่อให้ถูกตรวจพบเขาก็มั่นใจว่าจะออกมาได้อย่างปลอดภัย ทว่าที่นี่ เขาตระหนักดีว่าเมื่อใดที่ถูกพบตัวย่อมไม่อาจมีชีวิตกลับออกไป ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้ตัวเองพ่ายแพ้ในการทดสอบครั้งนี้ ไม่ยอมให้เย่หวูเฉินเสียความเชื่อมั่นในตัวเขา เพราะนับตั้งแต่ติดตามเย่หวูเฉินจนถึงปัจจุบัน นอกจากการบุกรุกราชวังในคืนนั้น นี่ก็นับเป็นงานแรกที่เขาทำ

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เขาเคลื่อนกายไปตามหลังคาสูง เหยียบเท้าลงกระเบื้องด้วยเสียงแผ่วเบา ทว่าทันทีที่เหยียบเท้าลงเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแกร่งกล้าสองสาย เขาหยุดอยู่ในท่วงท่าลงจอดทันที นิ่งงันไม่เคลื่อนไหว ราวตุ๊กแกที่ติดหนึบอยู่บนหลังคา เขาระงับลมหายใจให้เบาบางที่สุดเท่าที่จะทำได้ นิ่งงันฟังเสียงที่ลอยผ่านมา แม้จะมีเพียงสองคนอยู่ในเรือนใต้หลังคานี้ หากแต่ละคนล้วนมีพลังไม่ด้อยไปกว่าเขา เล่งหยาหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับหินสลัก

ผ่านไปครบหนึ่งชั่วโมง ชราผมขาวสองคนก็เดินคุยกันออกมาและตรงไปยังทางเหนือ เล่งหยายังคงนิ่งงันอยู่ในท่าเดิม ผ่านไปนานจึงค่อยๆยืนขึ้น เขามุ่งหน้าไปทางใต้ต่อ ในผังนั้นเขารู้ว่าสถานที่ใกล้กับหนองน้ำมากที่สุดคือคุกคุมขังผู้กระทำผิดในสำนักจักรพรรดิเหนือ เมื่อเย่หวูเฉินคลี่ผังออกมา สายตาของเขาดูคล้ายติดตรึงอยู่ตรงตำแหน่งนั้น ไม่ทราบว่าจงใจหรือไม่ ทว่าแม้เย่หวูเฉินไม่กล่าวคำใด เล่งหยาก็คาดเดาความหมายของเขาได้.... ในฐานะคู่หมั้นของนายน้อยสำนักจักรพรรดิเหนือ เหยียนจื่อเมิ่งมีสัมพันธ์กับเย่หวูเฉิน ย่อมเป็นความผิดร้ายแรงในสำนักจักรพรรดิเหนือ เป็นไปได้มากที่นางจะถูกคุมขัง แต่เขาไม่อยากพูดออกมาและไม่อยากคิดถึงมัน เย่หวูเฉินไม่ใจเหี้ยมพอที่จะเห็นสตรีของตนเองถูกคุมขังอยู่ในสถานที่แบบนั้น

ดังนั้น เขาจึงส่งเล่งหยาไปที่นั่นก่อน

ในอีกด้านหนึ่ง

ประตูที่ปิดแน่นถูกเปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงและหล่อเหลาไม่ธรรมดาค่อยๆก้าวเท้าเข้ามา คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย ใบหน้าเหมือนมีบางสิ่งที่คับข้องใจไม่อาจคลายออก เขาปิดประตูกลับและเดินตรงมาข้างหน้า “ท่านพ่อ เมื่อไหร่พวกเราจะเริ่มลงมือกับเย่หวูเฉิน? ตอนนี้มันเป็นเพียงคนพิการ ท่านพ่อยังจะกลัวสิ่งใดอีก?”

เหยียนต้วนหุนที่หลับตาครุ่นคิดอยู่พลันลืมตาขึ้น จ้องมองตรงไปที่เหยียนซีหมิง ยามนี้เขาไม่ได้ตอบกลับด้วยคำว่า ‘รอก่อน’ เหมือนเช่นเคย แต่กลับถามบางเบา “สำนักมารซ่อนหูตาละโมภไว้ในที่ลับ ในเวลาเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงอยากลงมือกับมันนัก?”

เหยียนซีหมิงกล่าวอย่างจริงจัง “สามปีก่อน พวกเราหวังให้มันตกตายเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเป็นเพราะเหยียนจื่อเมิ่งผู้อาภัพนั่น.... เฮอะ! มันกุมความลับของกระบี่หนานฮวง ทั้งยังมีโอกาสอย่างสูงที่มันจะเป็นเจ้านายของกระบี่ หากไม่รีบจัดการกับมัน แล้วปล่อยให้สำนักจักรพรรดิใต้ได้กระบี่หนานฮวงจากมันไป ย่อมเป็นข่าวร้ายต่อพวกเราอย่างยิ่ง คันศรเป่ยตี้ทรงพลังเพียงใดข้าเองได้เห็นกับตาแล้ว กระบี่หนานฮวงย่อมทรงพลังไม่ต่างกัน พวกเราไม่อาจปล่อยให้พวกมันเอากระบี่หนานฮวงไปได้!”

เหยียนต้วนหุนหรี่ตาทั้งสองข้างลง และกล่าวเสียงเย็น “ข้าว่าเหตุผลใหญ่ที่สุดของเจ้าก็คือสตรีเหยียนจื่อเมิ่งนั่นมากกว่า”

เหยียนซีหมิงเมื่อได้ยินคำ สีหน้าก็คล้ำลงทันที กล้ามเนื้อบนใบหน้ายังเริ่มกระตุก ความอัปยศครั้งใหญ่ อย่าว่าผ่านมาเพียงสามปีเลย ต่อให้ผ่านไป 20 ปี หรือกระทั่งจวบจนชรา ความคับแค้นนี้ย่อมไม่อาจลบเลือนไปจากใจได้ คู่หมั้นของตัวเองลอบมีชู้และตั้งท้องกับชายอื่น ไม่ว่ากับบุรุษใด นี่คือความอัปยศสูงสุด ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงนายน้อยสำนักจักรพรรดเหนือผู้สูงส่ง เหยียนซีหมิงผู้เป็นว่าที่ประมุขสำนักจักรพรรดิเหนือ

“สามปี.... ข้าตามหามาตลอดว่ามันผู้นั้นเป็นใคร.... เดิมทีข้าเดาว่าต้องเป็นเย่หวูเฉิน ทว่าตอนนั้นที่มันตกตาย เหยียนจื่อเมิ่งกลับไม่ตายตาม ทำให้ข้าสิ้นความสงสัยในตัวมัน.... ทว่า ตอนนี้มันกลับมาจากความตาย.... ดังนั้นจะต้องเป็นมัน.... ต้องเป็นมันแน่!!” เหยียนซีหมิงขบฟันแน่น ดวงตาถมึงทึงและกำหมัดแน่น เขาแทบไม่อาจอดใจรอที่จะฉีกเย่หวูเฉินออกเป็นชิ้นๆ

“เฮอะ ไร้ความยับยั้ง เพียงแค่สตรีคนเดียวกลับสั่นคลอนอารมณ์เจ้าได้ หากไม่ใช่เพราะฉุ่ยหยุนเทียนจิ้งจอกเฒ่านั่นเผยพิรุธออกมา ข้าก็เกือบได้ก้าวขาลงสู่หายนะเพราะเจ้าแล้ว” เหยียนต้วนหุนแค่นเสียงเย็น

เหยียนซีหมิงเงยศีรษะขึ้น ใบหน้ามีเครื่องหมายคำถาม

“เจ้าอยากรู้หรือไม่ ว่าเหตุใดข้าถึงไม่อนุญาตให้เจ้าลงมือกับเย่หวูเฉิน? เฮอะ พูดถึงเรื่องกระบี่หนานฮวง จิ้งจอกเฒ่าฉุ่ยหยุนเทียนมันร้อนใจอยากได้กระบี่เสียยิ่งกว่าพวกเรา มันย่อมคิดว่าพวกเราจะทำลายเย่หวูเฉินเพื่อกันไม่ให้มันได้กระบี่หนานฮวง หลังจากที่เย่หวูเฉินกลับมาครบหนึ่งเดือน ในที่สุด....พวกมันก็ไม่อาจอดทนและลงมือเป็นฝ่ายแรก ทว่าจนถึงวันนี้ ข้าจึงได้รู้เหตุผล โชคดีที่จิ้งจอกเฒ่านั่นลงมือก่อน ไม่อย่างนั้น หากข้าเป็นฝ่ายลงมือกับเย่หวูเฉินก่อนละก็ เฮอะ!”

“เกิดอะไรขึ้น? สำนักจักรพรรดิใต้ลงมือกับเย่หวูเฉินแล้วงั้นเหรอ?” เหยียนซีหมิงขมวดคิ้ว ข่าวที่แพร่กระจายในเมืองเทียนหลง ทำให้เขาทราบว่าในหลายวันที่ผ่านมา เย่หวูเฉินหายตัวไปจากตระกูลเย่อย่างลึกลับและไร้ร่องรอย ฟังจากที่ตระกูลเย่คุยกัน คล้ายกับว่าในกลางดึกคืนนั้น เทพกระบี่ฉู่ชางหมิงเป็นคนมาหิ้วตัวเขาไป หรือว่าผู้ที่พาตัวเขาไปนั้นแท้จริงไม่ใช่ฉู่ชางหมิง แต่เป็นสำนักจักรพรรรดิใต้?!

“ถูกต้อง พวกมันลักพาตัวเย่หวูเฉินโดยไม่สนสิ่งใด ทั้งยังพาเข้าไปในสำนักจักรพรรดิใต้ ชัดเจนว่าพวกมันต้องการเค้นเอาคำตอบจากเย่หวูเฉิน.... หากพวกมันกลับคิดไม่ถึง แม้จะหลีกเลี่ยงสตรีเทพพิโรธและลักพาเย่หวูเฉินในโอกาสอันยอดเยี่ยมแล้ว สตรีเทพพิโรธกลับยังตามมาถึงสำนักจักรพรรดิใต้  ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่  ฉุ่ยหยุนเทียน พอนึกถึงสีหน้าเจ้าหลังจากผ่านวันนั้น ข้าก็เบิกบานใจนัก” เหยียนต้วนหุนสีหน้าผ่อนคลาย และเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน

“สตรีเทพพิโรธ? ยังไง! เกี่ยวอะไรกับสตรีเทพพิโรธ!?” เหยียนซีหมิงย่อมคุ้นเคยกับนามสตรีเทพพิโรธ และเมื่อได้ยินชื่อนี้ฉับพลันก็ตกใจ ความน่ากลัวของสตรีเทพพิโรธ ไหนเลยเขาจะไม่เคยได้ยิน

“ข้าไม่รู้ว่าสามปีก่อนสตรีเทพพิโรธหลบหนีออกจากหอคอยปีศาจด้วยวิธีใด ทั้งยังติดตามอยู่ข้างกายเย่หวูเฉิน เป็นเด็กหญิงชุดดำที่มักอยู่ข้างๆมัน” เหยียนต้วนหุนดวงตาฉายแววเย็นเยียบขณะกล่าว

“อะไรนะ!?” เหยียนซีหมิงตกใจหนักขึ้นกว่าเดิม หากไม่ใช่เพราะเหยียนต้วนหุนเป็นผู้กล่าวด้วยตัวเอง เขาคงคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น ข้างกายเย่หวูเฉินมีเด็กหญิงชุดขาวและเด็กหญิงชุดดำคอยติดตาม แม้เขาจะรู้เรื่องนี้ แต่ย่อมไม่เคยคิดฝันว่าเด็กหญิงชุดดำจะเป็นผู้สร้างหายนะ อาบโลหิตทั่วทิศเมื่อ 20 ปีก่อน สตรีเทพพิโรธที่สามารถต่อกรกับสี่เทวะแห่งทวีปเทียนเฉินได้ด้วยตัวลำพัง

เหยียนต้วนหุนกล่าวต่อ “ฉุ่ยหยุนเทียนเคยสู้กับสตรีเทพพิโรธมาแล้วครั้งหนึ่งในอดีต มันย่อมรู้ตั้งแต่แรกว่าเด็กหญิงที่ชื่อทงซินคือสตรีเทพพิโรธ ด้วยเวลาอันเนิ่นนาน มันกลับไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้ ทั้งยังปิดข่าวไว้อย่างมิดชิด พอมาคิดดูแล้ว พวกมันคงหวังให้พวกเราไม่ทันตั้งตัว กล่าวได้ว่าจิ้งจอกเฒ่าฉุ่ยหยุนเทียนคืองูพิษโดยแท้ หากมันทนต่ออีกเพียงครึ่งเดือน ข้าคงไม่อาจอดทนและลงมือก่อน..... ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ โชคไม่ดีที่มันนำพาสตรีเทพพิโรธ ให้บุกเข้าสู่สำนักจักรพรรดิใต้ด้วยตัวมันเอง”

เหยียนซีหมิงรีบระงับอาการสั่นจากความตกใจ ขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถาม “หรือว่าสำนักจักรพรรดิใต้ ไม่อาจต้านทานสตรีเทพพิโรธ?”



<<<PREV    .    NEXT>>>