วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 352

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 352 ดินแดนแห่งความตาย (1)

“คันศรเป่ยตี้.... ของสิ่งนั้นสมควรเป็นของพวกเรา” เหยียนต้วนหุนสีหน้าหมองคล้ำ ไม่ทราบว่าเพราะหวาดกลัวต่อหนึ่งศรที่จักรพรรดิมารยิงออก หรืออิจฉาที่คันศรเป่ยตี้ไม่ได้เป็นของตน

เมื่อพวกเขาเลิกล้มการตามหาคันศรเป่ยตี้ มันกลับปรากฎออกมา.... ดังนั้น สำนักจักรพรรดิเหนือจึงจับตาที่คันศรเป่ยตี้ ทว่าเหตุผลหลักกลับไม่ใช่เพราะคำสั่งของบรรพชน แต่เพราะโลภในพลังแกร่งกล้าของศาสตรา โดยเฉพาะวันนี้ คนมากมายในสำนักจักรพรรดิเหนือได้ประจักษ์ในพลังแกร่งกล้าของคันศรเป่ยตี้ด้วยตัวเอง ความโลภในจิตใจจึงขยายตัว ดุจลูกโป่งที่พองจนใกล้แตก

เมื่อทุกอย่างคืนสู่ความสงบ ผู้คนแทบทั้งหมดของสำนักจักรพรรดิเหนือแตกตื่นและพากันกรูมาที่นี่ จดจ้องที่หลุมขนาดใหญ่ รวมถึงรอยแตกยาวบนพื้นโดยแทบไม่เชื่อสายตา เสียงร้องโอดโอยดังระงม ซากศพนอนเกลื่อนกลาด หลายคนในนั้นหากอยู่นอกสำนักจักรพรรดิเหนือ ย่อมเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ สามารถกุมอำนาจได้ด้วยหนึ่งมือ

“ถ่ายทอดคำสั่ง สามเดือนนับจากนี้จงหยุดงานทุกสิ่งที่อยู่ในมือ ข้าจะต้องรู้ขุมกำลังที่กระจายตัวของสำนักมารในทวีปเทียนเฉินให้ได้มากกว่าครึ่ง ไปจัดการเดี๋ยวนี้!!” เหยียนต้วนหุนตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นสะบัดกายเดินออกไป หากเขายังอดทนได้ย่อมไม่ใช่เหยียนต้วนหุน สำนักจักรพรรดิเหนือไม่เคยทอดธุระในการสืบเบาะแสของสำนักมาร ทว่าคำสั่งเด็ดขาดเช่นนี้ถือครั้งแรกในรอบหลายปีที่เหยียนต้วนหุนสั่งออกมา วันนี้จักรพรรดิมารมาเยือนพร้อมสำแดงอานุภาพของคันศรบาปวิบัติด้วยตัวเอง ในที่สุดมันก็ยอมแพ้ที่จะนิ่งเงียบ

ทว่าเมื่อเขาเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ร่างกายก็โซเซในฉับพลัน โลหิตที่ข่มกลั้นไว้ในลำคอก็พุ่งออกมา ร่างกายยังอ่อนยวบลง

“ท่านประมุข!” เสียงตื่นตระหนกดังขึ้น ผู้คนสำนักจักรพรรดิเหนือเข้ามารายล้อมด้วยความแตกตื่น เขาข่มระงับโลหิต ยกมือขึ้นหอบหายใจขณะกล่าว “พาข้าไปที่ห้อง.... ประกาศออกไป ว่าข้าจะปิดตนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์!”

ทันใดนั้น ทั่วสำนักจักรพรรดิเหนือทั้งเบื้องสูงและเบื้องต่ำ ทุกผู้คนต่างรู้ถึงการปรากฎตัวของจักรพรรดิมาร คำสั่งเด็ดขาดของเหยียนต้วนหุนถูกถ่ายทอดไปทั่วโลก สำนักจักรพรรดิเหนือที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่

.............

.............

“ที่นี่คือที่ไหน?”

เย่หวูเฉินหอบหายใจและหันศีรษะมองรอบๆ การเคลื่อนย้ายแบบสุ่มของเซียงเซียงได้พาเขามาที่นี่ สิ่งหนึ่งที่น่ายินดีคือบริเวณโดยรอบไร้สัตว์อสูรใดๆ ทว่าแม้เย่หวูเฉินจะเพิ่งมาถึง แต่เขาก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าบริเวณแห่งนี้มีความหดหู่เย็นเยียบผิดปกติ

ไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ ไร้นกและสัตว์อสูร พื้นดินเป็นสีเทาทะมึน ไม่มีแม้กระทั่งหญ้าแห้ง หากเป็นผืนดินธรรมดาที่ไม่ใช่ทางเดินของสัตว์อสูร มันย่อมมีหญ้าเขียวขจีขึ้นปกคลุม และต่อให้เป็นฤดูหนาว ก็ต้องมีร่องรอยของเศษหญ้าแห้ง ทว่าดินแดนแห่งนี้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ไร้เศษหญ้าใดๆแม้แต่น้อย เพียงมองปราดตาก็ไม่อาจอดห้ามความสงสัยในใจได้

“เซียงเซียง ที่นี่คือที่ไหน?” เย่หวูเฉินมองไปรอบๆและถามเซียงเซียงอีกครั้ง ทว่าเสียงที่ตอบกลับมา กลับเป็นเสียงหอบที่ค่อนข้างดัง เขาก้มศีรษะลงมอง และพบว่าสาวน้อยผมขาวขนาดพกพากำลังจับปกเสื้อของเขาอยู่ นางพิงกายอย่างอ่อนแรง

เย่หวูเฉินไม่เคยเห็นนางเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน เขาทราบว่าวันนี้นางพยายามอย่างหนัก เขายื่นมือลูบร่างเล็กๆของนางอย่างอ่อนโยน “เซียงเซียง ลำบากเจ้าแล้ว พักผ่อนเถอะนะ”

“อิ๊....” เซียงเซียงตอบกลับเสียงแผ่ว จากนั้นปิดตาลง กลับสู่ร่างหลักเป็นจิ้งจอกมังกรในกลุ่มแสงขาว เจ้าขนปุยกระโดดเข้าอ้อมแขนของเย่หวูเฉิน นางไม่จำเป็นต้องใช้พลังในการคงสภาพสาวน้อยขนาดพกพา แต่เหตุที่นางกลับสู่ร่างจิ้งจอกมังกรเพราะรูปลักษณ์นี้นอนในอ้อมแขนของเขาได้สบายกว่า

แม้เซียงเซียงไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่เขาก็พอรู้คำตอบ ในเมื่อเป็นการเคลื่อนย้ายแบบสุ่ม นางย่อมไม่ทราบว่านี่คือที่ใด เย่หวูเฉินอุ้มจิ้งจอกมังกรตัวน้อยเอาไว้ ขณะเดินไปข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดลง หัวคิ้วขมวดมุ่น คู่ดวงตาหรี่ลง สัมผัสกลิ่นอายที่อยู่โดยรอบอย่างเงียบงัน

สายลมโชยมาบางแผ่ว กลิ่นอายที่คุ้นเคยโชยแตะจมูก โชยกระทบทั่วร่างกาย ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเหตุใดบริเวณแห่งนี้จึงไร้ชีวิต เป็นดุจดินแดนแห่งความตาย....สาเหตุเพราะมันคือดินแดนแห่งความตายที่แท้จริง

กลิ่นอายนี้....เห็นได้ชัดว่าเป็นพลังมรณะ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นกลิ่นอายมรณะที่รุนแรง แม้ไม่ได้เข้มข้นเท่าบริเวณหอคอยปีศาจ แต่มันก็รุนแรงพอพรากชีวิต ระดับความน่ากลัวของมันสามารถมองเห็นได้ชัด

“กลิ่นอายมรณะ.... เหตุใดที่นี่ถึงมีกลิ่นอายมรณะ? ยิ่งกว่านั้น มันยังแผ่ขยายเป็นวงกว้าง” เขามองไปเบื้องหน้าที่ปรากฎเป็นผืนดินว่างเปล่า สิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้นอย่างผิดธรรมดา ดุจเดียวกับกลิ่นอายมรณะที่รายรอบหอคอยปีศาจ ซึ่งเกิดจากทงซินที่ถูกพันธนาการไว้ ด้วยไม่อาจหลุดออกจากโซ่ตรวน นางจึงปลดปล่อยกลิ่นอายมรณะห้อมล้อมบริเวณโดยรอบ ตลอดเวลา 20 ปี ที่แห่งนั้นจึงถูกเปลี่ยนเป็นป่าดำ ในสถานที่แห่งนี้ มันเกิดขึ้นเพราะเหตุใด

ในอดีต เย่หวูเฉินเคยใช้พลังมรณะกับหลินซิว ทำให้ฉุ่ยหนานเหอต้องเข้าไปในราชวังเทียนหลงเพื่อรักษาจักรพรรดินีหลินซิว เขาเคยกล่าวในตอนนั้นว่าในทางตอนเหนือของอาณาจักรคุยชุยมีสถานที่หนึ่งเป็นดินแดนแห่งความตาย ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นล้มตายลง กระทั่งเขายังไม่กล้าอยู่ที่นั่นนาน.... หากเย่หวูเฉินเคยได้ยินฉุ่ยหนานเหอพูดถึงเรื่องนี้ เขาย่อมคาดเดาได้ทันที เพราะตอนนี้เขาอยู่ในอาณาจักรคุยชุย และที่นี่ย่อมเป็นสถานที่ที่ฉุ่ยหนานเหอกล่าวถึง ดินแดนแห่งความตายที่ไม่อาจอธิบาย

พลังมรณะย่อมพรากชีวิตของคนปกติ ทว่ามันไม่มีผลใดๆต่อเย่หวูเฉิน เขาก้มลงมองเซียงเซียงที่หลับไปแล้ว เมื่อเห็นนางไม่มีความผิดปกติใดๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องถอยออกมา ตอนนี้เขามองไปเบื้องหน้า แล้วสืบเท้าก้าวไปช้าๆ

ภาพตรงหน้าราวกับซ้ำรอยเดิม มันปรากฎเป็นแผ่นผืนว่างเปล่า ไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ บางครั้งอาจพบบ้านเรือนเก่าๆไม่กี่หลัง ด้วยอยู่ใต้พลังมรณะเป็นเวลานาน มันจึงเป็นสีเทาทะมึนอย่างเห็นได้ชัด

“นี่มันที่ใดกัน.... แล้วรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นในใจนี้ มันคืออะไร....” เย่หวูเฉินถามตัวเองอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาหยุดเท้าลง ดวงตาฉายแววสง่างาม สุดสายตาที่อยู่ห่างออกไปนั้น เขาเห็นเงาร่างของสองบุคคล.... เป็นสองบุคคลไม่ผิดแน่ ในสถานที่ยากต่อการดำรงชีวิตเช่นนี้ กลับมีสองบุคคลอาศัยอยู่ ตัวตนของสองบุคคลนั้นย่อมไม่ธรรมดา!

จากสภาพของเขาในเวลานี้ ย่อมไม่อาจพาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายได้ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเข้าใกล้สองคนนั้น ทว่ารอบกายไม่มีสิ่งใด เขาไม่อาจหาที่ให้ซ่อนตัวได้ เขาตวัดสายตา พบหินที่ยื่นขึ้นจากพื้นจึงพอใช้เป็นที่หลบ จากนั้นจ้องมองสองคนนั้นอยู่เงียบๆ แม้ว่าตอนนี้เขาจะอ่อนแรงอย่างมาก ทว่าสายตาไม่ได้รับผลกระทบใด เขาเชื่อว่าขณะที่ตนจดจ้องอีกฝ่ายอยู่ ฝ่ายนั้นย่อมไม่อาจสังเกตพบตน.... ต่อให้สองคนนั้นเป็นยอดฝีมือเทวะก็ตาม

อย่างไรก็ตาม เขาพบว่ามีบางสิ่งไม่ปกติ หลังจากที่มองทางนั้นอยู่นาน สองร่างกลับไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย สองคนนั้นไม่ได้นั่งอยู่กับพื้น ไม่ได้เข้าสมาธิแต่อย่างใด แต่เห็นได้ชัดว่ากำลังยืนข้างกัน เย่หวูเฉินจิตใจกระเพื่อมเล็กน้อย สายตายังคงจ้องตรึงที่สองคนนั้น ในขณะเดียวกัน พลังของเขากำลังฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เวลาค่อยๆผ่านไป ใต้สายลมที่ผสานกับธาตุมรณะ แม้เนิ่นนานสองร่างนั้นก็ยังไม่เคลื่อนไหว ยังคงยืนนิ่งงันดุจหินสลักอย่างไรอย่างนั้น

เย่หวูเฉินถอนสายตาออกและสัมผัสพลังในร่าง เมื่อแน่ใจว่าพลังที่ฟื้นฟูมาเพียงพอที่จะหลบหนี เขาหยิบกรวดเล็กๆขึ้นในมือ จากนั้นดีดตรงไปยังสองคนนั้น

“ฟิ้ว!” เสียงกรวดพุ่งผ่านอากาศ เพียงพริบตามันก็พุ่งเข้าใกล้สองร่างนั้น ถึงแม้ก้อนกรวดจะรวดเร็ว แต่ระยะทางก็ไกลจนสุดสายตา ในที่สุดกรวดก้อนเล็กก็พุ่งผ่านตรงกลางระหว่างสองคน แล้วตกลงกระทบพื้น

สองร่างนั้นยังคงไม่ตอบสนองใดๆ ไร้อาการสะดุ้งตกใจแม้แต่น้อย

เย่หวูเฉินเงียบงันต่ออีกครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็ก้าวออกมาและตรงไปหาเงาร่างทั้งสองคนนั้น เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ภาพของสองคนยิ่งปรากฎชัดเจน เป็นมนุษย์สองคนจริงๆไม่ใช่หินสลักแต่อย่างใด เย่หวูเฉินเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ จนอยู่ในระยะที่กระทั่งคนธรรมดายังรู้ตัว ทว่าสองคนนั้นยังคงไร้การตอบสนอง

แต่เมื่อเย่หวูเฉินมองเห็นใบหน้าของพวกเขาชัดเจน ตลอดถึงร่างกายส่วนต่างๆ เขาก็หยุดเท้าลงทันที จ้องตรึงด้วยคิ้วขมวดมุ่น จากนั้นเดินเข้าไปใกล้ด้วยความแปลกใจยิ่ง เย่หวูเฉินมาหยุดอยู่ห่างพวกเขาเพียงไม่กี่เมตร แล้วมองหน้าพวกเขาสลับไปมา

ทั้งสองคนอายุราว 30 กว่า เป็นบุรุษและสตรีคู่หนึ่ง แต่งกายในชุดหรูหราสวยงาม ดูไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธที่มีพลังสูงส่ง สีหน้าของพวกเขาดูเลื่อนลอย ดวงตามองตรงไปเบื้องหน้า ลูกตาไร้การเคลื่อนไหว ไม่มีการตวัดมอง พวกเขายืนนิ่งในท่าธรรมดา ทั่วกายมีเพียงชายเสื้อที่ขยับไหวตามสายลมที่พัดมาในบางครั้ง

หุ่นเหรอ?

ไม่ใช่.... เย่หวูเฉินมองสองคนตรงหน้าและครุ่นคิดในใจ

ยิ่งไปกว่านั้น สองคนนี้ทำให้เขารู้สึกคลับคล้ายกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทั้งยังเพิ่งเห็นมาไม่นาน

เพิ่งเห็นมาไม่นาน....

เย่หวูเฉินครุ่นคิดเล็กน้อย หัวคิ้วมุ่นลงอีกครั้ง เขาเคยเห็นสองคนนี้จริงๆ เวลานั้นเขาเหลือบมองเพียงเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าเขาสรุปได้แน่นอนว่าเป็นสองคนนั้น.... พวกเขาอยู่กับสาวน้อยประหลาดที่ชื่อ ‘เสี่ยวโม่’ บนท้องถนนในเมืองเทียนหลง นางเรียกสามีภรรยาคู่นี้ว่า ‘ท่านพ่อ’ และ ‘ท่านแม่’ เย่หวูเฉินไม่เคยลืมความประหลาด พวกเขาเรียกกันโดยไร้ความผูกพันแม้แต่น้อย

พ่อแม่ของเสี่ยวโม่.... เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่?

หรือจะเป็นการค้นพบที่น่าสนใจ? ดูจากสีหน้าของทั้งสองคนประหนึ่งว่าไร้วิญญาณ เย่หวูเฉินไม่อาจอธิบายความรู้สึกของตนเองได้ การสุ่มเคลื่อนย้ายของเซียงเซียง กลับนำเขามาสู่สถานที่อันน่าสนใจไม่น้อย



<<<PREV    .    NEXT>>>