วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 353

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 353 ดินแดนแห่งความตาย (2)

**เปลี่ยนการสะกดชื่อของเสี่ยวม่อ เป็น เสี่ยวโม่**

เย่หวูเฉินเดินเข้ามาใกล้ขึ้นอีก ยื่นมือออกแตะลงที่แขนของบุรุษ สัมผัสความรู้สึกเย็นเยียบผ่านฝ่ามือ เขาถอนมือกลับแล้วลองแตะที่สตรี จากนั้นถอนมือกลับแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง  เขาเคลื่อนสายตาออกจากพวกเขาและมองสำรวจไปรอบๆ

ห่างออกไปหลายสิบเมตรมีบ้านอยู่หลังหนึ่ง แม้จะทรุดโทรมแต่ก็ยังคงเป็นบ้าน สภาพดูดีกว่าหลังอื่นๆที่ผ่านมา รอบบ้านมีถังเก่าๆจำนวนมาก เย่หวูเฉินสัมผัสได้ถึงธาตุน้ำจากถังเหล่านั้น ในนั้นย่อมมีน้ำอยู่ไม่มากก็น้อย

เย่หวูเฉินเดินตรงไปที่บ้าน และเมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ เขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายมรณะที่เข้มข้นขึ้น

“หนานเอ๋อร์ เจ้าเจออะไรบ้างหรือเปล่า?” เย่หวูเฉินเอ่ยถามหนานเอ๋อร์ในใจในขณะที่เดินอยู่ แม้ว่าหนานเอ๋อร์จะค่อนข้างสมองกลวงในเรื่องทั่วไป แต่นางก็มักรู้เรื่องที่ชาวบ้านเขาไม่รู้กัน

“ความตาย.... ความมืด.... เป็นการผสานของความตายและความมืด แต่ว่ามันต่างจากของน้องทงซิน ทงซินมีสัดส่วนของสองธาตุนี้เท่ากัน อีกทั้งยังบริสุทธิ์อย่างมาก ส่วนกลิ่นอายของที่นี่มีความมืดเป็นหลัก พลังมรณะอ่อนแอกว่า ไม่สิ....หากกล่าวให้ถูกต้องก็คือ พลังมรณะของที่นี่ไม่ใช่พลังมรณะบริสุทธิ์ แต่เป็นบางอย่างที่แปรสภาพมาจากพลังความมืด ไม่ได้บริสุทธิ์และนุ่มนวลเหมือนทงซิน มันเกรี้ยวกราดและรุนแรง....ใช่แล้ว มีความชิงชังที่แรงกล้าอยู่ในนั้น” หนานเอ๋อร์ครุ่นคิดขณะกล่าวตอบ

“ความมืด?” เย่หวูเฉินกระซิบซ้ำเบาๆ พลังแห่งธาตุที่เขามีอยู่ ไม่ได้รวมถึงความมืด ดังนั้นเขาจึงไม่อาจสัมผัสถึงธาตุทมิฬ รวมทั้งใต้แสงตะวันธาตุทมิฬย่อมอ่อนแออย่างมาก ดังนั้นเขาจึงสัมผัสได้เพียงพลังมรณะ

“ความมืด.... ความชิงชัง ความชิงชังสามารถเปลี่ยนพลังทมิฬให้กลายเป็นพลังมรณะได้งั้นเหรอ?” เย่หวูเฉินเอ่ยถาม

“เอ๋? ตรงนั้นมีคนกำลังมา คนที่เป็นเจ้าของพลังนี้” หนานเอ๋อร์ร้องอุทาน

“ข้ารู้แล้ว” เย่หวูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย สายตาปราดมองไปทางใต้ หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ เขาก็ทะยานร่างขึ้นกลางอากาศ บินไปที่บ้านหลังนั้นและเข้าไปซ่อนตรงมุม มองลอดรอยแยกของผนังออกมา ไร้เสียงใดๆตั้งแต่เริ่มจนจบ

ในบ้านมืดอย่างมาก การจัดวางภายในเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีโต๊ะเล็กๆตัวหนึ่งที่ขาหักหนึ่งข้าง มีม้านั่งไร้พนักพิงที่วางชิดกับผนัง มีเตียงสะอาดอยู่หลังหนึ่ง ข้างเตียงมีตู้ไม้เปิดอยู่ มีชุดหลากสีเด่นสะดุดตาอยู่ข้างใน ยิ่งกว่านั้น ชุดเหล่านี้ยังงดงาม สมควรเป็นชุดสำหรับดรุณีน้อย

เย่หวูเฉินรักษาท่าทางอันสงบนิ่ง มองลอดรอยแยกออกไปข้างนอก ที่แห่งนี้เงียบสงบเกินไป เพียงเสียงเล็กน้อยก็ทำให้คนรู้ตัวได้

พลังทมิฬใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงฝีเท้าบางค่อยๆใกล้เข้ามา พร้อมกับร่างสาวน้อยที่ปรากฎแก่สายตา นางอยู่ในชุดสีเหลืองอ่อน ส่วนบนของร่างสวมเสื้อสีชมพู เอวเล็กๆคาดเข็มขัดสีสดใส กระโปรงยาวปักลายผีเสื้อระบำ ที่เท้าสวมใส่รองเท้าสีเดียวกับกระโปรง

ใบหน้าน้อยๆแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา ผมเปียสองเส้นแกว่งไปมาขณะที่นางเดิน.... นางคือคนที่เย่หวูเฉินช่วยไว้เมื่อสามปีก่อนที่นอกเมืองเทียนฟง และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ได้พบนางอีกครั้งที่เมืองเทียนหลง นางคือเสี่ยวโม่!

สามปีก่อนที่ได้พบกับเสี่ยวโม่ครั้งแรก เย่หวูเฉินกำลังร้อนใจเพราะเย่ฉุ่ยเหยา เขาจึงคุยกับนางเพียงไม่กี่คำด้วยความเร่งรีบ ไม่ทันสังเกตความผิดปกติของนาง ไม่ใส่จดจำมากนัก ทว่าเมื่อพบนางครั้งที่สอง ในใจของเขาปรากฎเงาที่ยากจะลบออก เพราะเขาสัมผัสได้ว่าตัวนางไม่ธรรมดา.... และตอนนี้ภาพที่เห็นตรงหน้า นางไม่ใช่เพียงแค่ไม่ธรรมดาแล้ว

เย่หวูเฉินสงบลมหายใจ หัวคิ้วขมวดแน่น มองสาวน้อยที่ค่อยๆใกล้เข้ามาอย่างเงียบงัน เสี่ยวโม่เดินมาถึงเบื้องหน้าของสองคนนั้น นางเงยศีรษะมองหน้าของพวกเขา จากนั้นยิ้มแฉ่งและกล่าว “ฮี่ ท่านพ่อ ท่านแม่ วันนี้เสี่ยวโม่ออกไปเล่นไม่มีความสุขเลย ดังนั้น....”

เสี่ยวโม่ยังคงยิ้มอยู่ ทันใดนั้นนางยื่นมือออกมาและวาดแขน ปรากฎแสงทมิฬพวยพุ่งออกมา

ตูม!

ตูม!

เสียงระเบิดดังขึ้นสองครั้ง สองคนนั้นที่เสี่ยวโม่เรียกว่า ‘ท่านพ่อ’ กับ ‘ท่านแม่’ ถูกนางโบกมือปล่อยพลังซัดร่าง จนร่างระเบิดกลายเป็นหมอกเลือด....

เย่หวูเฉินม่านตาหดลีบอย่างรุนแรง หัวใจเต้นกระหน่ำ เขาสูดหายใจบาง จากนั้นจึงสงบลง

“ดังนั้น.... พวกท่านจงตายซะ เสี่ยวโม่จะได้หาพ่อแม่คู่ใหม่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่!” เสี่ยวโม่มองสองกลุ่มหมอกตรงหน้าที่ฟุ้งตามสายลม เสียงหัวเราะยังคงไร้เดียงสา ใครจะเชื่อว่าภายใต้รอยยิ้มนี้ มีสองบุคคลที่หายไปด้วยมือนาง จนแม้กระทั่งกระดูกยังไม่เหลือ

พ่อแม่คู่ใหม่.... เมื่อได้ยินเสี่ยวโม่กล่าวคำอย่างคล่องแคล่ว เย่หวูเฉินก็แทบไม่อาจหยุดยั้งอารมณ์ที่กระเพื่อมในใจ เสี่ยวโม่ยิ้มอย่างไร้เดียงสา กล่าวคำร่าเริงไม่ต่างจากเด็กหญิงธรรมดาทั่วไป ทว่ายามนี้เมื่อได้ยินคำของนาง หัวใจก็เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง เย่หวูเฉินหวาดหวั่นขึ้นมาเล็กน้อยในความเงียบงัน

หมอกดำค่อยๆจางลง สองคนที่ยืนนิ่งได้หายสาบสูญไปจากโลกนี้ เสี่ยวโม่ยิ้มบางขณะมองดูพวกเขาหายไป ราวกับว่าชื่นชมกับภาพตรงหน้า เป็นความรื่นรมณ์สูงสุดที่นางไม่อยากพลาดแม้รายละเอียดเดียว

นางเคลื่อนเท้าบางเบา เดินอย่างมีชีวิตชีวาตรงมายังบ้านที่เย่หวูเฉินซ่อนอยู่ นี่คือสถานที่ที่นางใช้เป็นบ้าน ในเมื่อนางปรากฎตัวขึ้นที่นี่ ที่แห่งนี้ก็ต้องเป็นของนาง นอกจาก ‘พ่อแม่’ ที่นางคอยเปลี่ยนอยู่ตลอด ที่นี่ก็ไม่มีผู้ใดอีก ดินแดนแห่งนี้เป็นโลกของนางโดยสมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้เข้าไปในบ้าน ทว่าหยุดลงตรงที่ไม่ห่างนัก นางยื่นมือน้อยๆออกมา ริมฝีปากบางขยับเล็กน้อย มีมุกสว่างปรากฎในมือ จากด้านหลังผนัง เย่หวูเฉินสัมผัสได้ว่ามุกที่ไม่ใหญ่มากนั้นบรรจุพลังธาตุอัคคีอันแกร่งกล้า ยิ่งกว่านั้นยังเป็นธาตุอัคคีที่เขาคุ้นเคยอย่างล้ำลึก ฉับพลันเขาก็ตระหนักได้ว่าความคุ้นเคยนี้มาจากไหน

“ฮึ่ม.... ต้องทำยังไงถึงจะดูดซับพลังของมุกมังกรอัคคีนี้ได้?” เสี่ยวโม่จ้องมองที่มุก ขณะที่ปากกล่าวเสียงต่ำ นางหาคำตอบของเรื่องนี้มาสามปีแล้ว ถึงตอนนี้นางก็ยังไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีใด

มุกมังกรอัคคี.... เย่หวูเฉินสีหน้าหม่นลง ในใจไร้ความสงสัยอีก มุกนี้ ฉู่จิงเทียนเคยเล่าจากปาก ว่าอดีตเผ่าพันธุ์ปีศาจมาเยือนทวีปเทียนเฉินเพื่อตามหามุกมังกรอัคคี , มุกจิตวารี , มุกสลายวายุ และมุกเรืองปฐพี! เพราะการดำรงอยู่ของมัน พลังธาตุอัคคีและจิตปราณแห่งสวรรค์และปฐพีจึงรวมตัวกัน ทำให้ภูเขาไฟเทียนเม่ยก่อตัวขึ้น มันยังเป็นแก่นชีวิตของมังกรเพลิงฟ้า การจะนำมุกมังกรอัคคีออกมาจึงต้องสังหารมันก่อน

เป็นนาง.... ที่สังหารมังกรเพลิงฟ้า!

เย่หวูเฉินจิตใจปั่นป่วน การเคลื่อนย้ายแบบสุ่มของเซียงเซียงได้พาเขามาพบความลับอันยิ่งใหญ่ ทำให้ตกอยู่ในดินแดนอันตราย ในอดีตมังกรเพลิงฟ้ามอบพลังของมันให้กับเขา มันจึงเหลือพลังน้อยกว่าหนึ่งในสิบส่วน แม้จะเหลือพลังแค่นั้น แต่ก็ยังไม่ด้อยไปกว่าระดับเทวะ ทว่ามันกลับตายด้วยฝีมือของสาวน้อยตรงหน้า ในเมื่อนางมีพลังเพียงพอสังหารมังกรเพลิงฟ้า เย่หวูเฉินยามนี้จึงไม่อาจต่อต้านนาง เขาไม่กล้าขยับกายใดๆ ไม่อย่างนั้นย่อมเป็นอันรู้กัน ว่าหากนางเข้ามาในห้องนี้ เย่หวูเฉินย่อมไม่มีโอกาสหลบหนี

หัวเราะร่าขณะพรากชีวิตคน มีพลังเหนือล้ำกว่าขอบเขตเทวะ ผู้ใดจะคิดว่าสาวน้อยที่มีรูปลักษณ์ดุจนางฟ้าผู้นี้ จะซ่อนฝีมือและหัวใจปีศาจเอาไว้

วิกฤติของเย่หวูเฉินกำลังใกล้เข้ามา แววตาของเสี่ยวโม่ที่จับจ้องมุกมังกรอัคคีอยู่ ฉับพลันนั้นวาบแสงทมิฬ นางเก็บมุกมังกรอัคคีในมือกลับ หันศีรษะมาช้าๆ อากาศอบอวลด้วยธาตุทมิฬและธาตุมรณะ.... เสี่ยวโม่เผยยิ้มบางที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ตื่นเต้นราวสาวน้อยที่พบของเล่นน่าสนุก

เมื่อรู้ตัวว่าตนเองถูกพบ เย่หวูเฉินเย็นวาบเล็กน้อย เขาถอนสายตาออกจากรอยแยก ขยับเท้าดีดร่างออกจากบ้านในรูปเงาเงิน แล้วปรากฎอยู่ตรงหน้าร่างเล็กๆ เผชิญหน้านางในระยะไม่ถึงสิบเมตร

“น้องหญิง พวกเราพบกันอีกแล้ว” เย่หวูเฉินถอดหน้ากากเงินออก เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาไร้ตำหนิ ต่อหน้านาง เขาไม่ปิดบังว่าตนคือจักรพรรดิมาร เพราะนี่คือหนทางเดียวที่เขาจะหลุดรอดจากสถานการณ์อันตรายนี้

แน่นอนว่า เสี่ยวโม่มองหน้าอย่างแปลกใจ นางเอียงศีรษะเล็กน้อยมองเขาอย่างจริงจัง ในที่สุดก็โก่งคิ้วขึ้นและยิ้มหวาน “พี่ชาย ที่แท้ก็เป็นท่าน.... ฮี่ ฮี่ คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะได้พบกันอีกครั้งรวดเร็วเพียงนี้ แต่ว่า พี่ชายเห็นความลับของข้ามากเกินไป เรื่องนี้....ข้ายอมไม่ได้”

ซู่ว....

ท้องฟ้ามืดลงทันที สายลมกรรโชกอย่างฉับพลัน ราวกับว่าใบหน้าร่าเริงไร้เดียงสาของเสี่ยวโม่จะไม่มีวันจาง ทว่าเย่หวูเฉินกลับรู้สึกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง สาวน้อยนางนี้พร้อมสังหารโดยไม่ลังเล จิตสังหารจ้องตรึงที่ร่างของเย่หวูเฉิน พลังมรณะและทมิฬกำลังถูกควบกลั่นในมือนางอย่างเงียบงัน

“ดังนั้น.... ข้าคงต้องกำจัดท่านแล้ว แต่พี่ชายช่วยขยับออกด้านข้างได้หรือไม่? ข้าไม่อยากทำลายบ้านหลังน้อยของตัวเอง” เสี่ยวโม่ยิ้มน่าหลงใหล ไม่เหมือนคนที่กำลังจะพรากชีวิตผู้อื่น แต่คล้ายคนกำลังเล่นสนุกอยู่

เย่หวูเฉินเหลือบมองไปยังผนังด้านหลัง ในใจกระเพื่อมไหวเล็กน้อย เขายังไม่ทันได้พูดสิ่งใด ก็พลันได้ยินเสียงเสี่ยวโม่พูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ชาย ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ดังนั้น ข้าจะต้องกำจัดท่านโดยด่วน”

เมื่อเสียงเริงร่าจบลง ท้องฟ้าก็ยิ่งมืดครึ้ม มีเสียงหวีดดังขึ้น แสงทมิฬสองกลุ่มพุ่งออกจากมือของเสี่ยวโม่ มันแหวกอากาศปั่นป่วนพุ่งไปยังเย่หวูเฉิน นางที่เพิ่งกังวลเรื่องบ้านตัวเอง ยามนี้กลับลงมือโดยไร้ความลังเล

“เจ้านาย!” หนานเอ๋อร์ที่สัมผัสถึงอันตรายก็ตะโกนอย่างแตกตื่น พลังทมิฬนี้แม้ยังไม่อาจเทียบทงซิน ทว่าก็ไม่ห่างไกลกันนัก ยอดฝีมือเทวะยังยากที่จะต่อต้าน ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเย่หวูเฉิน

ปล.1 ขอเปลี่ยนเสี่ยวม่อ เป็น เสี่ยวโม่ เพราะคนแปลชอบแบบไม่มีเหตุผล แฮร่
ปล.2 รายละเอียดตรงไหนที่มันย้อนแย้งกัน ถ้าเจอผมจะไล่แก้ให้ make sense ขึ้นนะครับ เพราะบางทีแกะไม่ออกต้องเดาเอา แล้วมารู้อีกทีว่าผิดตอนที่แปลตอนใหม่



<<<PREV    .    NEXT>>>