วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 382

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 382 แสงสว่างที่หายไป

ที่นี่ที่ไหน....

ข้า.... ยังไม่ตายหรือ....

หากข้ายังไม่ตาย งั้นก็หมายความว่า เจวี๋ยเทียนตายแล้ว....

ดูเหมือน.... ในที่สุดก็หนีพ้นหายนะได้สำเร็จ

ของเหลวอบอุ่นและหอมหวานไหลลงสู่ปาก ไหลซึมเข้าสู่จิตใจเบื้องลึกโดยตรง สติของเย่หวูเฉินตื่นขึ้นมาในความมืด สิ่งแรกที่รู้สึกคือกำลังนอนราบ ความรู้สึกช่างเหมือนกับตอนที่ตื่นขึ้นมาใต้หุบเหวปลิดวิญญาณไม่มีผิดเพี้ยน

กลิ่นอายจากร่างกายแผ่ออกพร้อมการตื่น เขายังคงรู้สึกอ่อนแรงจากการใช้พลังเกินขีดจำกัด แต่มิได้สูญสิ้นพลังเหมือนเช่นในอดีต

ทุกส่วนในร่างกายมีความเจ็บปวดแผ่ลามบางเบา ร่างกายอ่อนล้าอย่างยิ่ง เปลือกตาหนักหน่วง เขาออกแรงหลายครั้งเพื่อเปิดเปลือกตา ในที่สุดเมื่อลืมตาขึ้นช้าๆ โลกตรงหน้าก็ยังคงเป็นดำมืด

“ตื่นแล้ว.... ตื่นแล้ว.... ท่านพี่ตื่นแล้ว”

ใกล้ๆหูมีเสียงคุ้นเคยกระโดดด้วยความดีใจ เมื่อได้ยินเสียงนี้ ในอกของเย่หวูเฉินก็ห่อหุ้มด้วยความอบอุ่น แต่ทว่า.... เขาไม่อาจยิ้มออก

“ยังมืดอยู่เหรอ?”  เขาพยายามลืมตากว้างขึ้นอีก หวังจะเห็นแสงสว่างบ้าง.... แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

หนิงเสวี่ยปาดน้ำตาออกจากหน้าด้วยความตื่นเต้น จากนั้นคว้ามือเขาไว้แล้วเขย่า และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เปล่านี่ ข้างนอกนั่นตะวันดวงโตออก.... ท่านพี่ ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว ท่านรู้หรือเปล่าว่าหลายวันที่ผ่านมาที่ท่านสลบไป.... ข้ากลัวแทบตายแน่ะ”

จากนั้น น้ำตาก็ลอบไหลลงจากดวงตาของหนิงเสวี่ย นางมองใบหน้าเขาด้วยสายตาที่พร่ามัวด้วยหยาดน้ำใส

เบื้องหลังนาง ฉับพลันมีเสียงแตก ‘เพล้ง’ ดังขึ้น ถ้วยน้ำซุปเล็กๆร่วงจากมือของเย่ฉุ่ยเหยาที่ยืนอยู่ข้างเตียง ม่านตางดงามสั่นไหวขณะที่มองยังเย่หวูเฉิน ดวงตาของเขากลับมองขึ้นไปอย่างไร้เป้าหมาย ความเจ็บปวดชำแรกหัวใจนางทันที นางเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “เสี่ยวเฉิน.... เจ้า.... ไม่เห็นพี่หญิงหรือ?....”

เย่หวูเฉินเคลื่อนดวงตาไปตามเสียง มองไปยังเย่ฉุ่ยเหยา สองคู่ดวงตาสบประสานกัน ทว่าม่านตาของเขาไร้จุดศูนย์รวมใดๆ ดวงตาดำขลับที่ครั้งหนึ่งทำให้นางหลงใหลยอมตามทุกครั้ง บัดนี้กลับหม่นมัวไร้ประกาย

ทั้งสองมองกันอย่างเงียบงัน เย่ฉุ่ยเหยาเดินไปหาและมองใบหน้า ยื่นมือออกไปตรงหน้าเย่หวูเฉินและไม่กล้ามองอีก สุดท้ายก็ร้องไห้เกิดเสียงสะอื้นออกมา

หนิงเสวี่ยตระหนักถึงบางสิ่งในที่สุด ใบหน้าของนางชะงักค้าง สองมือน้อยๆบีบมือเย่หวูเฉินแน่น นางถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านพี่ ดวงตาของท่าน.... มองไม่เห็นเสวี่ยเอ๋อร์เหรอ?....”

นอกจากเสียงแล้ว โลกนี้ก็ไม่ปรากฎสิ่งใดอีก ไม่อาจมองเห็นแสงสว่างแม้เพียงเล็กน้อย

เย่หวูเฉินปิดตาลง ยกมือหนึ่งจับมือของเย่ฉุ่ยเหยา อีกข้างจับมือหนิงเสวี่ยไว้และยิ้มตอบ “เสวี่ยเอ๋อร์อย่าร้องไห้เลย ข้ามองไม่เห็นแล้วจริงๆ แต่ข้ายังมีเสวี่ยเอ๋อร์อยู่ไม่ใช่หรือ?.... ต่อไปเสวี่ยเอ๋อร์ก็เป็นดวงตาให้ข้า ตกลงไหม?”

ผลสะท้อนกลับของพลังคันศรบาปวิบัติปรากฎเป็นคำสาป.... สูญเสียการมองเห็น นับเป็นคำสาปที่โหดร้ายสาหัส.... เย่หวูเฉินลอบถอนใจอยู่ภายใน สูญเสียแสงสว่างแห่งโลกหล้า ไร้สีสันใดๆ ย่อมขมขื่นและทรมาน.... บางที เขาอาจไม่ได้เห็นเสวี่ยเอ๋อร์อีก ไม่ได้เห็นทงซินอีกครั้ง ไม่อาจมองเห็นทุกสิ่งได้อีก....

ผลสะท้อนกลับของพลังคันศรบาปวิบัติไม่ได้พรากชีวิตเขาไป ทว่าพรากการมองเห็น ทว่านั่นเท่ากับช่วงชิงอีกครึ่งชีวิตของเขาไป....ครึ่งชีวิต

“ข้าไม่ได้ร้องไห้.... ไม่ได้ร้อง.... ฮึก!! ไม่นะ.... ข้าไม่อยากให้ท่านพี่มองไม่เห็น ไม่อยากเลย!....” หนิงเสวี่ยอดกลั้นความเสียใจที่พุ่งขึ้น ทว่าในที่สุดน้ำตาก็ไหลร่วง เพียงไม่ช้าน้ำตาก็ไหลอาบแก้มเล็กๆ หยาดน้ำใสอบอุ่นไหลเปียกมือของเย่หวูเฉิน พร้อมเสียงสั่นพร่าขณะร้องไห้

เย่หวูเฉินยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้านางเพื่อปลอบโยน ฉับพลันประตูที่หับแน่นก็เปิดออกในยามนี้ หวังเวิ่นชูจ้ำเท้าเข้ามาอย่างร้อนรน ตกใจกับเสียงสะอื้นของหนิงเสวี่ยจนหัวใจเย็นวูบ ด้วยคิดว่าเย่หวูเฉินจะเป็นอะไรไป.... นางแทบตะกายร่างมาเบื้องหน้าและโอดคราง “อะไร.... เกิดอะไรขึ้นกับเฉินเอ๋อร์....”

เพียงกล่าวได้เพียงครึ่งเดียว นางก็เห็นเย่หวูเฉินที่สลบมาห้าวัน ซึ่งตอนนี้ลืมตามองมาที่นางด้วยแววตาประหลาด นางปลดวางความกังวลในใจทันที ราวกับผุดจากขุมนรกขึ้นสู่สวรรค์ นางพลันส่งเสียงอย่างตื่นเต้นยินดี “เฉินเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้ว.... ดีจริงๆ.... เสวี่ยเอ๋อร์ เด็กดีอย่าร้องไห้เลย พี่ชายเจ้าตื่นแล้ว เจ้าต้องดีใจถึงจะถูก”


“....ท่านพี่มองไม่เห็นแล้ว.... ข้าไม่อยาก.... ข้าไม่อยากให้ท่านพี่มองไม่เห็น ไม่อยาก....” เสียงสะอื้นคร่ำครวญของนางยิ่งดังขึ้น เขาสูญเสียการมองเห็น นั่นหมายถึงไม่อาจมองเห็นนางได้อีก ไม่อาจเห็นทุกสิ่งได้อีกครั้ง หัวใจนางเจ็บปวดร้าวราน จิตใจไร้เดียงสาไม่อาจทนรับกับเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ นางยอมมองไม่เห็นเสียเอง ดีกว่าให้พี่ชายนางเป็นแบบนี้

“อะไรนะ?” สีหน้าแห่งความสุขของหวังเวิ่นชูชะงักค้างในฉับพลัน จากนั้นค่อยๆกลายเป็นขาวซีด ข้างๆมีเย่ฉุ่ยเหยาที่อดกลั้นน้ำตา พยักหน้าบางให้กับนาง หวังเวิ่นชูกำมือของเย่หวูเฉินช้าๆ

“เฉินเอ๋อร์....” หวังเวิ่นชูมองที่ดวงตาของเย่หวูเฉิน ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าสายตาประหลาดเมื่อครู่นี้หมายถึงสิ่งใด

“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร.... เสวี่ยเอ๋อร์อย่าร้องไห้เลย บางทีอาจเป็นเพราะข้าเพิ่งตื่นขึ้นมา เลยทำให้ไม่อาจมองเห็น หากผ่านไปช่วงหนึ่งอาจดีขึ้นก็ได้” เย่หวูเฉินยิ้มอย่างผ่อนคลาย ปลอบโยนนางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

หวังเวิ่นชูจิตใจปั่นป่วน จากนั้นกลายเป็นความแตกตื่น นางมองที่ดวงตาของเย่หวูเฉินด้วยสายตาพร่ามัว ร้องไห้โศกเศร้าขณะกล่าว “ลูกชายผู้น่าสงสารของข้า.... ร่างกายของเจ้าอ่อนแอ ตอนนี้ดวงตาของเจ้ายังสูญเสียการมองเห็นอีก มีสิ่งใดที่แม่จะช่วยเจ้าได้บ้าง....”

ก่อนที่อายุจะครบ 16 ปี เขาคือคนขี้โรคผู้โด่งดังในเมือง เมื่ออายุครบ 16 ปีก็ถูกลอบสังหาร จากนั้นกลับบ้านเมื่ออายุครบ 17 ปี สองเดือนต่อมาเขา ‘ตกตาย’ ภายใต้หุบเหวปลิดวิญญาณ สามปีให้หลังได้กลับมาอย่างปาฏิหาริย์ ทว่าก็กลายเป็นคนพิการ ตอนนี้เมื่อหายจากบ้านไปหลายวันแล้วกลับมา เขากลับสูญเสียการมองเห็นอย่างคาดไม่ถึง

สำหรับผู้เป็นมารดา เมื่อเห็นบุตรชายตัวเองประสบความทุกข์สาหัสตลอดชีวิต ความเจ็บปวดย่อมยากจะทานทน นางไม่ทราบว่าหลายวันที่ผ่านมา เย่หวูเฉินจากบ้านไปแห่งใด แต่จากฟังจากที่เย่ฉุ่ยเหยาเล่า เขาถูกเทพกระบี่ฉู่ชางหมิงพาตัวไป ดังนั้นนางจึงไม่กังวลมากนัก แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า....

“หมอหลวง....” ขณะที่แตกตื่นขาดสติ นางกล่าวคำซ้ำๆถึงหมอหลวงดุจคนเมา นางหันร่างแล้วออกไปจากห้องอย่างรีบร้อน “....แม่จะไปตามหมอหลวงที่เก่งที่สุดมา พวกเขาต้องรักษาดวงตาของเจ้าได้แน่ ต้องได้แน่....”

“ไม่จำเป็นหรอกท่านแม่....” เย่หวูเฉินยกมือขึ้นห้าม ทว่าหวังเวิ่นชูพุ่งออกประตูไปแล้ว เขาทำได้เพียงวางมือตัวเองลง เมื่อใดที่หวังเวิ่นชูไปตามหมอหลวงมา ข่าวเรื่องเขาสูญเสียการมองเห็นย่อมแพร่ไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ยามนี้ หากไม่ตามหมอหลวงที่ดีที่สุดมา ไหนเลยจะเป็นหวังเวิ่นชู

หนิงเสวี่ยยังคงร้องไห้ต่อเนื่อง ทว่าเสียงร้องเบาลง เย่หวูเฉินปลอบนางด้วยเสียงอ่อนโยน ปาดเช็ดน้ำตาที่ราวกับว่าจะไหลออกมาไม่มีวันหยุด “พี่หญิงทงซินของเจ้าล่ะ?”

เพียงส่งเสียงถามออกไป เขาก็พลันพบว่ามือข้างซ้ายเคลื่อนไปถูกบางสิ่งที่อ่อนนุ่ม ทว่าร่างนั้นกลับเย็นเยียบราวน้ำแข็ง

“ทงซิน” เย่หวูเฉินเอามือจับและเรียกเสียงเบา ข้างหูยังมีเพียงเสียงสะอื้นของหนิงเสวี่ย ไร้การตอบกลับใดๆจากทงซิน

“ทงซินเป็นแบบเดียวกับเจ้า นางสลบต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้ ร่างกายของนางไร้บาดแผลใดๆ คงเพียงแค่เหน็ดเหนื่อยมากเท่านั้น” เย่ฉุ่ยเหยาโน้มกายลงกล่าวตอบที่ข้างหู ทว่าคำตอบของนางยิ่งทำให้เย่หวูเฉินขมวดคิ้ว เขาเคลื่อนมือตามร่างกายของทงซินลงไปจับที่มือนาง มือของทงซินก็เย็นเยียบดุจน้ำแข็งเช่นกัน....

พลังของทงซินหายไป.... จากการสัมผัสมือและร่างของนาง เขาก็ได้รับคำตอบนี้ นางเป็นเช่นเดียวกับเขาเมื่อสามปีก่อน เป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังจากใช้รากฐานพลังโดยไม่มีเก็บยั้ง ทว่าเมื่อรากฐานพลังเหือดแห้งลง นั่นหมายถึงจะไม่อาจฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้อีกครั้ง

“ทงซิน....” เย่หวูเฉินเรียกชื่อทงซินอย่างแผ่วเบา เขารู้ว่าหลังจากที่ยิง ‘ศรตามจิตโลหิตดำ’ ออกไปโดยไม่สนผลลัพธ์ ทุกอย่างยังคงไม่ได้จบลง มีบางอย่างที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น ทว่าที่แน่นอนก็คือเจวี๋ยเทียนได้ตกตายลงแล้ว

“เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เจ้าจะได้ไม่ต้องคอยเผชิญอันตรายเพื่อข้าอีก ไม่ต้องหลั่งเลือดเพื่อข้า.... ตราบใดที่เจ้าอยู่ข้างกาย ผู้ใดก็อย่าหวังพรากตัวเจ้าไป”

ทว่า หากเย่หวูเฉินมีพลังแกร่งกล้ามากกว่านี้ เขาจะพบว่าที่ส่วนลึกในร่างของทงซิน มีสองมุกที่ไม่ทราบดำรงอยู่มาแล้วกี่ปี มันกำลังหมุนวนอย่างเงียบงัน ปลดปล่อยรัศมีแสงจาง ความเร็วในการหมุนวนค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า รัศมีแสงจางที่ไม่อาจสัมผัสยังเข้มข้นขึ้น

มุกทั้งสองเม็ดนี้มีขนาดเพียงนิ้วก้อย เม็ดหนึ่งสีดำ อีกเม็ดหนึ่งสีเทาเข้ม

.....................

.....................

ในห้องเงียบสงบ เย่เว่ยและเย่หนู่ต่างขมวดคิ้วมุ่นมองดูหมอหลวงหลี่ ในห้องกว้างขวางตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ตระกูลเย่ตั้งแต่สูงยันต่ำทั้งหมด หมอหลวงหลายคนอยู่กันเต็มสองฝั่ง

สายตาของทุกคนจับจ้องที่หมอหลวงหลี่ หมอหลวงอายุราว 80 ปีผู้นี้ขมวดคิ้วขณะมองดวงตาของเย่หวูเฉิน ปรับมุมในการตรวจอย่างต่อเนื่อง เย่หวูเฉินเองก็ให้ความร่วมมือ ทว่าไม่มีการตอบสนองเป็นพิเศษใดๆ หนิงเสวี่ยน้ำตานอง มือสองข้างประสานอยู่ตรงอก ท่าทางและแววตาดูน่าสงสารจับใจ

เป็นเวลาเนิ่นนาน หมอหลวงลี่จึงยืนขึ้นด้วยใบหน้าสับสนล้ำลึก เย่เว่ยรีบก้าวออกมาแล้วถาม “ใต้เท้าหลี่ มีหนทางรักษาหรือไม่?”

หัวใจของผู้คนตื่นตัวขึ้นทันที ที่พวกเขาหวาดกลัวที่สุดในยามนี้ คือคำตอบที่ว่าไม่มีหนทางรักษา

หมอหลวงหลี่ไม่ได้สั่นศีรษะ ไม่ได้พยักหน้า ทว่าดูคล้ายเค้นสมองอย่างหนักขณะกล่าว “น่าแปลกนัก.... ตอนที่ใต้เท้าจางกล่าว ผู้ชรานี้ยังคงรู้สึกสงสัย ทว่าตอนนี้ผู้ชราเห็นด้วยกับคำของใต้เท้าจางไม่ผิดเพี้ยน ดวงตาของนายน้อยเย่ไม่มีสิ่งใดต่างจากดวงตาปกติ ไม่ปรากฎร่องรอยเสียหายหรือจุดผิดปกติใดๆ.... นับเป็นเรื่องที่แปลกมาก หากสามารถหาสาเหตุของโรคภัยพบ ย่อมมีหนทางรักษาที่ถูกต้อง แต่ในกรณีเช่นนี้ ฮ่าย!”



<<<PREV    .    NEXT>>>