วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 355

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 355 มิติวิญญาณ (2)

“เป็นจักรพรรดิมาร! จักรพรรดิมารมีพลังดุจเทพในตำนานจริงๆ.... เจ้าต้องไม่เชื่อแน่ว่าเพียงหนึ่งศรที่เขายิงออกมา กลับสามารถทำร้ายท่านประมุขและเจ็ดอาวุโสจนบาดเจ็บ อาวุโสหลายคนที่เข้าป้องกันยังตกตาย.... ตอนนี้ท่านประมุขและเจ็ดอาวุโสกำลังปิดตนรักษาตัว ส่วนในสำนักกำลังจัดเตรียมพิธีฝังศพ ฮ่าย เสียแต่เจ้าไม่ได้ออกไปดูเอง เจ้าคงนึกไม่ออกว่าจักรพรรดิมารแข็งแกร่งเพียงใด” พอคิดว่าสำนักจักรพรรดิเหนือแทบแยกเป็นสองฝั่งเพราะรอยแตกขนาดใหญ่ เขาก็สั่นกลัวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“จักรพรรดิมาร?” พอปิงเอ๋อร์ได้ยินคำตอบที่ผิดความคาดหมายสิ้นเชิง นางก็เอ่ยเสียงเบา “เป็นจักรพรรดิมารได้ยังไงกัน ทำไมถึงไม่ใช่เย่....”

เมื่อคำว่า ‘เย่’ หลุดจากปาก นางก็สะดุ้งเฮือกและปิดปากลง จากนั้นถาม “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับจักรพรรดิมาร? เขาถูกจับได้รึเปล่า?”

จักรพรรดิมาร.... หรือว่าเขาจะเป็น.... ใช่แล้ว เย่หวูเฉินย่อมไม่กล้าเผยตัวต่อหน้าสำนักจักรพรรดิเหนือ เพื่อไม่ให้คนในตระกูลถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนั้น.... ต้องใช่แน่ ต้องใช่แน่ๆ!

“จักรพรรดิมารออกไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขาออกไปได้อย่างไร” เสี่ยวปาเหม่อมองและกล่าว “จักรพรรดิมารจงใจยั่วยุพวกเราอย่างเห็นได้ชัด เฮ้อ จักรพรรดิมารผู้นี้น่ากลัวเกินไป ตอนนี้ทั้งสำนักกำลังคุยกันเรื่องนี้อยู่ และรอให้ท่านประมุขออกมาว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง อย่างไรก็ตาม ท่านประมุขมีคำสั่งให้เริ่มสืบเบาะแสของสำนักมารแล้ว จากนี้จะเป็นยังไงต่อ ไม่ใช่เรื่องที่ผู้น้อยอย่างพวกเราจะทราบได้”

“ไปแล้ว?” ปิงเอ๋อร์สะดุ้งอีกครั้ง ลืมทำสีหน้าเจ็บปวด นางหวังอย่างยิ่งว่าเย่หวูเฉินจะพานางออกไปและตามหาเหยียนจื่อเมิ่ง อย่างน้อยเขาก็ควรพานางออกไปจากสำนักจักรพรรดิเหนือก่อน คิดไม่ถึงว่าคำตอบที่นางได้รับกลับมาจะเป็น.... เขาออกไปแล้ว

ในเมื่อมีครั้งแรกที่เขาเข้ามาที่นี่ได้ ดังนั้นย่อมมีครั้งที่สองที่เข้ามาได้อีก.... เมื่อยังมีพวกพ้องอีกคนที่ตกค้างอยู่ที่นี่ ตราบใดที่นางคอยดูเจ้าคนชื่อเล่งหยา เขาย่อมกลับมาหาหมอนี่อีกครั้ง บางทีเขาอาจไม่ได้ออกไปไหน แต่ซ่อนตัวอยู่ไหนสักแห่ง.... พอคิดได้ดังนี้ ปิงเอ๋อร์ก็สงบใจลงครึ่งหนึ่งทันที เวลานี้เอง เสี่ยวจิ่วที่วิ่งไปเอายาจากแม่หมอได้วิ่งกลับมา ในแขนหอบขวดยาเล็กๆและถุงเล็กๆอีกสองใบ “คุณหนูปิงเอ๋อร์ นี่คือยาที่ข้านำมาจากแม่หมอ นางบอกว่า....”

“เยี่ยม เยี่ยม เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้ว่ามันใช้ยังไง.... เฮ้! ทำไมมีอยู่แค่นี้ ข้าบอกให้เจ้าเอามาเยอะๆไม่ใช่เหรอ?” ปิงเอ๋อร์หยิบขวดยาและถุงเล็กๆออกจากมือเขา หลังจากมองเล็กน้อย นางก็กล่าวอย่างขัดเคือง

“คือ....แม่หมอบอกว่าแค่นี้ก็มากพอแล้ว ข้าบอกนางว่าคุณหนูปิงเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ แม่หมอเลยจัดยามาเผื่อให้ เจ้าน่าจะใช้ได้นาน โอ้ หรือว่าจะให้ข้าเรียกผู้อาวุโสจื๋อ เขาเป็นนักเวทย์แสง....”

“ไม่ต้องๆ แผลเท่านี้ข้าจัดการเองได้ เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ไปสิ รีบไปเร็วๆ” ปิงเอ๋อร์โบกมือไล่อย่างไม่อาจอดทน จากนั้นกลับเข้ามาในห้องและปิดประตู

เสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วมองหน้ากันอย่างว่างเปล่า ทว่าไม่ได้แปลกใจ ทั้งอารมณ์และอุปนิสัยของปิงเอ๋อร์ พวกเขาคุ้นเคยมาตลอดสามปีที่ผ่านมา พวกเขายังทอดถอนใจอยู่บ่อยครั้ง คุณหนูสาวใช้ผู้นี้แม้ถูกจำกัดอิสระภาพ ทว่าเมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว นางยังสุขสบายกว่าหลายเท่า

ปิงเอ๋อร์เอาหูแนบกับประตู รอจนกระทั่งพวกเขาเดินออกไปไกล จากนั้นยกมือทาบหน้าอกตน วิ่งไปที่เล่งหยาอย่างเบาเท้า นางย่อกายลง คว้าเท้าขวาของเขาและดึงออกมา จากนั้นเริ่มแกะผ้าที่พันไว้ออก “ในสำนักจักรพรรดิเหนือของข้า แม่หมอคือคนที่มีฝีมือแพทย์สูงสุด ถึงแม้นางจะดูค่อนข้างน่ากลัว แต่ก็รักษาผู้คนได้อย่างยอดเยี่ยม ยาที่นางปรุงขึ้นถือว่าไร้เทียมทานในโลก มันมีสรรพคุณรักษาแผลสดได้อย่างดีเยี่ยม หลายปีก่อนข้ากระดูกหักหลายท่อน พอได้ใช้ยาของแม่หมอ เพียงไม่ถึงเจ็ดวันข้าก็ดีขึ้นมาก”

เล่งหยามองนางก้มกายทำแผลอย่างขะมักเขม้น ฟังนางกล่าวคำโดยไม่ขัดจังหวะ เมื่อนางเริ่มใส่ยาลงบนแผลของเขา เล่งหยาก็เคลื่อนสายตามองแขนขวาของนาง เขาถาม “แขนขวาของเจ้าเป็นอะไร?”

ตั้งแต่ตอนที่นางถอดรองเท้าให้ เขาก็สังเกตเห็นทันทีว่านางมักใช้เพียงเฉพาะมือซ้าย และแม้จะใช้มือขวาอยู่บ้างแต่ก็ดูไม่คล่องตัว บางครั้ง แขนขวาของนางยังดูคล้ายเคลื่อนไหวอย่างติดขัด

ปิงเอ๋อร์ชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นไม่สนใจอีกและกล่าว “ไม่มีอะไร แค่อุบัติเหตุทำแขนหักเมื่อสามปีก่อน.... ยาของแม่หมอยอดเยี่ยมมาก แม้ได้มาช้าไปหน่อยแต่ก็ไม่เป็นไร”

เล่งหยา “......”

สามปีก่อนจู่ๆก็มีหิมะตกในราตรี นางขัดขวางเหยียนซีหมิงและกอดขาเขาไว้อย่างไม่คิดชีวิต ผลลัพธ์คือแขนขวาของนางที่หักเป็นสามท่อน บาดเจ็บภายในจนต้องนอนพะงาบบนเตียงถึงหนึ่งเดือน หลังจากที่รักษาจนหายดีแล้ว นางก็ถูกนำตัวมาขังไว้ในนี้ เป็นเวลาสามปีที่นางไร้อิสระภาพ

“แล้วทำไมเจ้าจึงถูกขังอยู่ในนี้?” ปิงเอ๋อร์แสดงอาการเหม่อลอยชั่วขณะ และเล่งหยาไม่พลาดสังเกตเห็นมัน ในใจปวดแปลบทันที เขาอดไม่ได้และเอ่ยถาม

“ข้า....” ปิงเอ๋อร์เงยหน้ามองคราหนึ่ง จากนั้นวางขวดยาลงและเริ่มพันแผลให้เขาใหม่ “เรื่องนี้ จะโทษเย่หวูเฉินก็ไม่ได้ สามปีก่อนในระหว่างงานสมรสใหญ่ของคุณหนูกับนายน้อย จู่ๆ.... นางก็เกิดมีอาการ จากนั้นนางถูกพบว่าตั้งครรภ์ ทว่านายน้อยไม่เคยมีอะไรกับคุณหนูสักครั้ง ดังนั้น ทั้งนายน้อย , ท่านประมุข , และท่านหญิง ทั้งหมดโกรธกริ้วอย่างมาก คุณหนูมาอยู่กับพวกเขาได้หลายปี ด้วยความผูกพันจึงไม่ถูกลงโทษสถานหนัก แต่พวกเขาอยากให้นางเอาลูกออก ไหนเลยคุณหนูจะยอมรับได้....”

ปิงเอ๋อร์เล่าต่อขณะพันผ้าทำแผล “ต่อมา นายน้อยบังคับคุณหนูให้เอาลูกออกภายในวันนั้น คุณหนูไม่ยอม นายน้อยจึงเริ่มลงมือรุนแรง ข้าเลยเข้าไปหยุดไว้.... ใช้พลังทั้งหมดขัดขวางนายน้อย ให้คุณหนูมีโอกาสได้หนีออกไป สุดท้าย นายน้อยกลับมาด้วยสีหน้าทะมึน พอข้าเห็นสีหน้านั้นจึงรู้ว่าคุณหนูหนีออกไปได้สำเร็จ หลังจากนั้นข้าก็ไม่ได้พบคุณหนูอีกเลย ทุกคนในสำนักไม่รู้ว่านางไปอยู่ที่ไหน คืนนั้นด้านนอกมีหิมะตกหนัก มันสมควรกลายเป็นม่านอำพราง ทำให้คุณหนูหนีออกไปได้ ราวกับสวรรค์คอยช่วยเหลือคุณหนู เพราะเท่าที่ข้ารู้ อาณาจักรคุยชุยไม่เคยมีหิมะตกมาก่อน”

“ดังนั้น ข้าจึงถูกขังอยู่ที่นี่ นายน้อยโกรธมากและอยากเอาข้าไปขังในคุกใต้ดิน ทว่าเมื่อนายหญิงออกปาก นายน้อยก็ได้แต่รับคำ นายหญิงชอบข้ามากและยังดีต่อข้านัก แม้ข้าจะทำความผิดใหญ่หลวง แต่นางก็ยังคอยปกป้องข้า สองคนที่อยู่ข้างนอกนั้น.... พวกเขาเรียกว่าเสี่ยวปา กับ เสี่ยวจิ่ว นายหญิงคอยย้ำกับพวกเขาอยู่ตลอดว่าห้ามทำให้ข้าไม่มีความสุข หรือปฏิบัติต่อข้าไม่ดี ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะต้องถูกทำโทษ”

พันผ้าสำเร็จลงอีกครั้ง ปิงเอ๋อร์ตบมือเบาๆ แล้วใส่ยาลงบนแขนตัวเองอย่างลวกๆ แม้ว่านางแสร้งทำทีว่าเจ็บปวดมาก แต่นางย่อมไม่กล้ากรีดตัวเองลึก และเพียงไม่นานที่เลือดไหลซึมออกมา นางก็ใช้พลังเพลิงวิญญาณระงับบาดแผลไว้

“เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ?” เล่งหยาถามต่อ เขาพบว่าตัวเองอยากเข้าใจนางให้มากกว่านี้

“ใช่แล้ว ตอนนี้มีแต่ข้า หากเจ้ามาเร็วกว่านี้อีกสองวัน ที่นี่จะไม่ได้มีเพียงข้าเท่านั้น หลายวันก่อนมี 16 คนดื่มเหล้ากันเมาแอ๋ พวกเขาเลยถูกส่งมาขังที่นี่เป็นเวลาสามวัน.... ปกติที่แห่งนี่มีไว้เพื่อให้คนสำนึกผิด ถูกขังนานถึงเพียงนี้คงมีข้าคงเป็นคนแรก เฮ้ เจ้าได้ยินรึเปล่าว่าจักรพรรดิมารออกไปแล้ว.... ฮึ่ม ที่แท้จักรพรรดิมารก็คือเย่หวูเฉิน”

ปิงเอ๋อร์ไม่เอ่ยถาม แต่กล่าวออกมาโดยตรงด้วยน้ำเสียงมั่นใจ จากนั้นรอดูอาการของเล่งหยาอย่างระวัง

เล่งหยาเงียบ

และการเงียบของเขา เท่ากับการยอมรับคำพูดของปิงเอ๋อร์

“ฟู่ว....” ปิงเอ๋อร์ยกมือทาบอก “เขาเก่งกาจจริงๆ ทำร้ายได้แม้กระทั่งท่านประมุขและเจ็ดอาวุโส ในเมื่อเขากล้าเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเพื่อตามหาคุณหนู แสดงว่าเขาเป็นคนที่ยึดมั่นในคุณธรรม ฉะนั้นเขาต้องกลับมารับเจ้าแน่ คนอย่าง.... เอ๊ะ? เดี๋ยวนะ เขาเข้าออกเพียงลำพังได้ตามอำเภอใจ เหตุใดต้องพาเด็กน้อยอย่างเจ้าเข้ามาด้วย แปลกจริงๆ....” ปิงเอ๋อร์พบจุดที่น่าสงสัยทันที นางมองเล่งหยาขึ้นลงด้วยสีหน้าประหลาด ส่วนปากก็กล่าวคำไปเรื่อย

...................

...................

ทางเหนือของอาณาจักรคุยชุย ดินแดนแห่งความตาย สถานที่ซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าเหยียบย่าง

เย่หวูเฉินและเสี่ยวโม่ยืนนิ่งงัน และยังอยู่ใกล้กันมาก ไม่ว่าฝ่ายใดหากสืบเท้าออกมาก็จะชนอีกฝ่ายทันที ทว่าน่าประหลาดที่ทั้งสองเอาแต่ยืนเงียบงัน ร่างกายไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ดวงตาไร้แววขยับไหว ไม่ได้จดจ่อมองสิ่งใด.... คล้ายกับสองคนก่อนหน้า ที่เสี่ยวโม่เพิ่งพรากชีวิตไปอย่างไรอย่างนั้น

ภายในมิติวิญญาณไร้ขอบเขต ทั้งเบื้องบน , เบื้องล่าง , เบื้องหน้า และเบื้องหลัง ล้วนแต่เป็นสีขาวบริสุทธิ์ ราวกับว่ากระทั่งอากาศก็เป็นสีขาว

“ที่นี่มัน....” น้ำเสียงสงสัยของหนานเอ๋อร์ดังขึ้นในห้วงสำนึก

“นี่คือมิติวิญญาณที่เซียงเซียงสร้างขึ้น” ในโลกสีขาว เย่หวูเฉินกล่าวตอบ เขากระซิบต่ออีกครั้ง “ตอนนี้ นี่เป็นเพียงวิธีเดียวเท่านั้น”

ในตอนนั้น เขาถูกมิติวิญญาณอันประหลาดของเซียงเซียงดึงเข้าไปพร้อมกับหนิงเสวี่ย เซียงเซียงมีทักษะการฝืนบังคับที่ผิดปกติ เพราะกระทั่งตัวเขาที่เห็นได้ชัดว่ามีพลังจิตใจ ก็ยังถูกดึงเข้ามาโดยไม่อาจต่อต้าน และตอนนี้ภาวะสติของเขายังพร่าเลือน

ต่อหน้าพลังของเสี่ยวโม่ เย่หวูเฉินย่อมไม่อาจต้านทาน  เขาจึงต้องฝืนใช้ทักษะของเซียงเซียง วิญญาณของเขาและเสี่ยวโม่ถูกดึงเข้าสู่มิติวิญญาณพร้อมกัน ด้วยวิธีนี้นางย่อมไม่อาจทำร้ายเขาได้ อย่างน้อยก็จนกว่านางจะออกไปจากมิติวิญญาณ เดิมทีเซียงเซียงใช้เพียงวิญญาณตัวเองก็สร้างสามารถสร้างมิตินี้ขึ้นมาได้ ทว่าหลังจากที่เย่หวูเฉินกลายเป็นเจ้านายนาง นางจำเป็นต้องใช้วิญญาณของเขาด้วย ไม่อย่างนั้น มิติวิญญาณจะพังทลายลงทันที

“โอ้? นี่มันที่ไหนกันเนี่ย? ประหลาดดีจัง” น้ำเสียงแปลกใจและงุนงงของเสี่ยวโม่ลอยมาจากด้านหน้า ทว่าทันใดนั้น นางก็ตอบกับตัวเอง “ดูเหมือนจะเป็นมิติวิญญาณ ฮะฮ่า คิดจะหยุดข้าด้วยวิธีนี้อย่างนั้นเหรอ?”

เย่หวูเฉินเดินตามเสียงของนางไป และเพียงไม่ไกลในโลกสีขาวนั้น เขาก็เห็นร่างสีเหลืองอ่อนงดงามกำลังมองมา เขาเดินไปหยุดตรงหน้านางและยิ้มกล่าว “เสี่ยวโม่เก่งกาจนัก ที่นี่ย่อมไม่อาจหยุดเจ้าได้”

“โอ้? ฮิ ฮิ พี่ชายพูดจาประหลาดนัก ท่านไม่เชื่อสินะว่าข้าสามารถออกจากที่นี่และสังหารท่านได้” เสี่ยวโม่กล่าวพร้อมยิ้มแฉ่ง ขณะที่คำ ‘สังหาร’ หลุดออกจากปากนาง สีหน้านางยังคงสงบเป็นธรรมชาติ

“แน่นอนว่าข้าเชื่อ แต่น้องหญิงช่วยคุยกับข้าก่อนที่จะสังหารข้าได้หรือไม่? ที่นี่ไม่มีคนอื่นอีก ยิ่งกว่านั้น ในโลกนี้ยังเป็นสีขาวทุกหนแห่ง เจ้าไม่คิดว่าที่นี่น่าตลกบ้างเลยหรือ?” เย่หวูเฉินกล่าวพลางขยับเข้ามาใกล้นางอีกเล็กน้อย



<<<PREV    .    NEXT>>>