วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 348

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 348 หนึ่งศรทลายฟ้า (1)

“ข้อแลกเปลี่ยน? เฮอะ ไหนลองว่ามา ว่าข้อแลกเปลี่ยนอะไร?” เหยียนต้วนหุนทำท่าสนใจเล็กน้อย แค่นเสียงเย็นขณะกล่าว สายตาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหว คันศรบาปวิบัติแห่งจักรพรรดิเหนืออยู่ที่มัน ดังนั้น จักรพรรดิมารจึงน่าสนใจยิ่งกว่าสำนักมารไปไกลนัก ตอนนี้มันเข้ามาในรังย่อมถือเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยม ก่อนจะชิงคันศรเป่ยตี้มาจากมือมัน ไหนเลยเขาจะยอมให้มันตายได้

ผ่านไปอีกชั่วขณะหนึ่ง อีกสามบุคคลจากที่ไกลก็มาถึง เหินร่างมาอยู่เบื้องหลังเหยียนต้วนหุน เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่สำนักจักรพรรดิเหนือมีผู้บุกรุก เหตุการณ์ใหญ่ที่นานๆครั้งจะเกิดที ไม่มีใครกล้าทำตัวเหลวไหล

“เซียงเซียง เตรียมตัวรอไว้.... เล่งหยา ข้าคงต้องฝากทุกอย่างไว้ที่เจ้าแล้ว พลังแห่งจิตใจย่อมไม่หลอกลวงข้า!” เย่หวูเฉินกล่าวคำในใจพลางยื่นแขนทั้งสองออก ขณะเดียวกันมีแสงโลหิตสว่างวาบขึ้น ลักษณะของมันเป็นสีดุจโลหิตแดงก่ำ มีธนูน่าหวาดหวั่นปรากฎขึ้นในมือ มันคือคันศรบาปวิบัติแห่งจักรพรรดิเหนือ

คันศรบาปวิบัติปรากฎในมือจักรพรรดิมาร ในชั่วเวลานั้น บรรยากาศกลายเป็นหนักหน่วงในฉับพลัน สุ้มเสียงหายใจดังขึ้นจนได้ยิน รวมถึงกระทั่งเสียงหัวใจเต้น ในวันที่จักรพรรดิมารยิงศรแยกผาดาวตก วันนั้นสำนักจักรพรรดิเหนือจึงทราบว่าคันศรเป่ยตี้มีตัวตนอยู่ และมีเพียงสำนักจักรพรรดิเหนือกับสำนักจักรพรรดิใต้เท่านั้นที่รู้ ผู้คนทั่วไปย่อมไม่อาจมองออก ฉากในวันนั้น นอกจากเหยียนซีหมิงก็ไม่มีผู้ใดรู้ตัวตนของคันศรเป่ยตี้ และตอนที่จักรพรรดิมารนำคันศรออกมา รูปลักษณ์โลหิตและกลิ่นอันเบาบาง ทำให้พลังเพลิงวิญญาณในกายถูกรบเร้ารุนแรงยิ่ง พวกเขาจึงมั่นใจไร้ที่เปรียบ.... ว่าหนึ่งศรสะเทือนฟ้าที่จักรพรรดิมารยิงออกในงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินนั้น มันถูกยิงออกจากคันศรเป่ยตี้

“คันศรเป่ยตี้!” เหยียนซีหมิงไม่อาจควบคุมตัวเองและตะโกนเสียงต่ำ เสียงตะโกนของเขาทำให้ผู้คนไร้ความสงสัยใดๆอีก

เมื่อสายตาคู่หนึ่งมองตรึง สายตาหลายคู่จึงเคลื่อนตาม จับจ้องอยู่ที่จักรพรรดิมารและคันศรบาปวิบัติ ผู้คนกว่าครึ่งแหงนมองด้วยแววตาลุกโชน หากไม่ใช่เพราะประมุขเพิ่งสั่งห้าม พวกตนคงพุ่งขึ้นไปแล้ว สำหรับสำนักจักรพรรดิเหนือ คันศรบาปวิบัติเป็นเพียงตำนานที่เล่าลือ มันมีอยู่หรือไม่ล้วนไม่มีใครทราบ พลังของมันยิ่งไม่มีใครรู้เข้าไปใหญ่ ทว่าหนึ่งศรสะเทือนฟ้าที่ยิงออกมาในงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน ทำให้ทวีปเทียนเฉินต้องสั่นสะเทือน ทำให้สำนักจักรพรรดิเหนือต้องดิ้นรนตามหาคันศรเป่ยตี้อีกครั้ง ฉับพลันหัวใจผู้คนก็อยากได้คันศรมาครอง ผู้ใดบ้างไม่ปรารถนาศาสตราต้องห้ามที่สามารถแยกปฐพี!

เหยียนต้วนหุนไหนเลยจะสงบใจได้อีก เมื่อเห็นคันศรเป่ยตี้ครั้งแรกหัวใจก็เต้นบ้าคลั่ง เขารีบส่งสายตาไปยังคนเบื้องหลังไม่ให้วู่วาม จากนั้นมองขึ้นไปและกล่าว “คันศรเป่ยตี้.... หรือว่าเจ้าอยากใช้มันเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน?”

“ถูกต้อง ไม่ทราบว่าประมุขสำนักจักรพรรดิเหนือจะพอใจกับข้อเสนอแลกเปลี่ยนของข้าหรือไม่?” เย่หวูเฉินกล่าวตอบพร้อมแค่นเสียงบาง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า.... ประเสริฐ ประเสริฐ ไหนลองว่าเงื่อนไขแลกเปลี่ยนของเจ้ามา ข้าอยากจะฟังนัก” เหยียนต้วนหุนหัวเราะลั่นและกล่าว

“อา....” รอยยิ้มของจักรพรรดิมารยิ่งมายิ่งลึกลับ ในเวลานี้เอง ชุดสีเงินเกิดกระพือพัดอย่างฉับพลัน ผ้าคลุมสีเงินยังสะบัดขึ้น ราวมีสายลมกรรโชกเข้ามากะทันหัน ทว่าสำนักจักรพรรดิเหนือที่อยู่เบื้องล่างไม่มีผู้ใดรู้สึกถึงกระแสลมเลย ในใจบังเกิดความงุนงงสงสัย

“ข้อแลกเปลี่ยน? เราจักรพรรดิได้ยินข่าวลือเมื่อนานมาแล้ว.... ว่าสำนักจักรพรรดิเหนือของพวกเจ้าตามหาคันศรที่อยู่ในมือเรา รวมถึงเจ้านายแห่งคันศรนี้ เมื่อใดหาพบจะติดตามเจ้านายแห่งคันศรนี้ตลอดไป ไม่มีวันคิดทรยศ ไม่ทราบว่าประมุขแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือ จะปฏิเสธเรื่องนี้หรือไม่?”

ยอดฝีมือแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปหลายหลาก ต่างแค่นเสียงจนสะท้อนในอากาศ เหยียนต้วนหุนตวัดสายตาไปเบื้องหลัง ส่งสัญญาณหยุดบางคนที่กำลังจะเปิดปาก เขาเอ่ยคำพร้อมหัวเราะ “ถูกต้อง มีข่าวลือนี้อยู่จริง แต่สิ่งที่พวกเราตามหาคือคันศรเป่ยตี้ ที่มีชื่อว่าคันศรบาปวิบัติ เจ้าจะยืนยันได้อย่างไรว่าที่อยู่ในมือเจ้านั้น คือคันศรบาปวิบัติที่พวกเราตามหา?”

“แล้วเจ้าล่ะจะพิสูจน์ยังไง?” จักรพรรดิมารยังคงสงบไม่เปลี่ยน

เหยียนต้วนหุนสืบเท้าออกมาก้าวหนึ่ง เอ่ยปากอย่างภาคภูมิ “ข้าคือประมุขสำนักจักรพรรดิเหนือ ไหนเลยจะไม่รู้จักคันศรเป่ยตี้ หากเจ้ากล้าให้ข้าดูในระยะใกล้ และปรากฎว่ามันคือคันศรเป่ยตี้จริงๆ พวกเราสำนักจักรพรรดิเหนือทั้งเบื้องต่ำและเบื้องสูง ย่อมทำตามความประสงค์ของเจ้า”

จักรพรรดิมารเงียบงันไร้คำพูดเป็นเวลานาน เมื่อทุกคนคิดว่าเขาย่อมไม่บ้าพอให้เหยียนต้วนหุนเข้าไปใกล้ เขากลับทำในสิ่งที่ผู้คนแทบไม่เชื่อสายตา.... เขาเหวี่ยงแขนออก โยนคันศรบาปวิบัติออกจากมือ คันศรโลหิตร่วงลงจากฟ้า และตกลงในมือของเหยียนต้วนหุน

“เชิญเจ้ามองดูให้หนำใจ” จักรพรรดิมารกล่าวคำเรียบเรื่อย

หลายคนที่อยู่ข้างหลังเหยียนต้วนหุนชะงักชั่วขณะ จากนั้นพุ่งมามุงรอบกายเหยียนต้วนหุน ขณะดูรูปลักษณ์ที่แท้จริงของคันศรเป่ยตี้ หัวใจก็ตกตะลึงกับการกระทำของจักรพรรดิมาร มันกลับโยนคันศรเป่ยตี้ใส่มือเหยียนต้วนหุนโดยตรง.... การกระทำอันลึกลับและไม่อาจคาดเดานี้ ของจักรพรรดิมารผู้กุมอำนาจสำนักมารอันเหนือล้ำ ไหนเลยจะเรียบง่ายอย่างที่เห็น

หรือว่ามันจะเป็นของปลอม? หรือจักรพรรดิมารกำลังเล่นลูกไม้อันใดอยู่?

ถือคันศรบาปวิบัติอยู่ในมือ เหยียนต้วนหุนสัมผัสถึงความร้อนแผดเผาที่แผ่ทะลักเข้ามาในมือได้ มันไหลเวียนเข้าสู่ชีพจรทั้งแปด ดังนั้นเขาจึงไม่สงสัยว่ามันคือคันศรบาปวิบัติที่แท้จริง เขาจับคันศรบาปวิบัติไว้มั่น แหงนศีรษะมองจักรพรรดิมารที่อยู่กลางอากาศ และกล่าวช้าๆ “ยอดเยี่ยม.... เป็นคันศรบาปวิบัติของจักรพรรดิเหนือจริงๆ.... ยอดเยี่ยมนัก เช่นนั้นเจ้าก็ตายได้แล้ว.... โอ้! จะจับเป็นหรือจับตายก็ได้ทั้งนั้น!!”

เหยียนต้วนหุนออกคำสั่ง เหล่าคนที่ตรึงจิตที่จักรพรรดิมารก็ทะยานร่างขึ้นไปทันที โจมตีใส่จักรพรรดิมารที่อยู่ตรงนั้น เย่หวูเฉินหรี่ตาลง มีแสงโหดเหี้ยมวาบออกมาเย็นเยียบ เขาไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ ทว่าฉับพลันร่างกายก็พุ่งขึ้นฟ้า ราวศรเงินที่หลุดจากแล่ง ดังนั้นเหล่าคนที่ไร้ทักษะการบินจึงร่วงลงไป ทว่าวิกฤติของจักรพรรดิมารยังไม่จบสิ้น เสียงคำรามก้องดุจสายฟ้าสองสายพุ่งเข้ามาประดุจสายลม ชายกลางคนผู้หนึ่งอายุ 50 ต้นๆ และอีกคน 50 ปลายๆ พุ่งทะยานไล่ตามจักรพรรดิมารที่บินขึ้นฟ้า คลื่นอัดอากาศที่รุนแรงพอจะเคลื่อนขุนเขา ถูกผลักส่งออกไปเบื้องหน้า

สองยอดฝีมือเทวะลงมือประสานกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการโจมตีที่รุนแรงสุดนับแต่เย่หวูเฉินเข้ามายังทวีปเทียนเฉิน หากถูกปะทะเข้าโดยตรง แม้เขาครองร่างกายที่ไม่ธรรมดา หากไม่ตกตายก็คงเจ็บหนัก

เย่หวูเฉินยังคงพุ่งขึ้นฟ้า เมื่อพลังกดดันหนักหน่วงใกล้เข้ามา ทันใดนั้น เขาหยุดร่างและหันกายกลับ กู่ร้องเสียงต่ำและโคจรพลัง สายลมแรงกล้าปรากฎขึ้น มันพุ่งลงไปเบื้องล่าง เตรียมรับพลังสองสายที่บรรจุพลังเพลิงวิญญาณอันไร้ต้าน

เสียงสายลมโหยกรรโชก พลังวายุของจักรพรรดิมารเป็นที่รู้กันในทวีปเทียนเฉินถึงความโหดเหี้ยม เพราะวายุที่ออกจากมือของจักรพรรดิมาร ทุกศพย่อมแหลกเละไม่เหลือเศษซาก ราวกับไม่ใช่พลังลม แต่เป็นคมเคียวของเทพมัจจุราช ตัดผ่านทุกสิ่งเบื้องหน้าอย่างโหดเหี้ยมไร้ใจ

แม้ว่าพลังวายุของเย่หวูเฉินจะแข็งแกร่ง แหกกฎนักเวทย์ระดับเดียวกันไปห่างไกล ทว่าเมื่อเผชิญกับพลังของสองยอดฝีมือเทวะ เขาก็ไม่คิดว่าพลังตนจะหยุดยั้งพลังของสองคนนั้นได้ เขาอาศัยประโยชน์จากการปลดปล่อยพลังวายุ ผลักร่างตัวเองให้สูงขึ้นไป ในใจกล่าวคำเสียงต่ำ “เซียงเซียง!”

แสงขาวปรากฎคลุมร่างของเย่หวูเฉินทันที นำร่างเขาให้ปรากฎห่างออกไป 30 เมตร หลบหลีกพลังเพลิงวิญญาณสองสายได้อย่างสมบูรณ์ ทว่าพลังวายุของเย่หวูเฉินไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แม้ลมหมุนไม่ได้ทำร้ายสองยอดฝีมือเทวะแต่อย่างใด ทว่ามันลดทอนพลังสองสายนั้นได้เป็นส่วนใหญ่ เมื่อลมหมุนพุ่งลงไปเบื้องล่างยังฝูงคน มันนำพากลิ่นอายเย็นเยียบเสียดกระดูก ยามที่มันเข้าใกล้กาย ผิวหนังพลันรู้สึกเจ็บปวดคล้ายจะฉีกออก

“ระวัง!” ฝูงคนตื่นตระหนกและชี้นิ้วไปยังวายุที่กรีดร้องลงมา พวกเขาส่งพลังโจมตีราวกับนัดกันไว้ นอกจากจู่โจมบางส่วนก็โคจรพลังเพลิงวิญญาณคุ้มกันตน ลมหมุนบ้าคลั่งถูกกระหน่ำซัด มันอ่อนแอลงจนไร้พลังคุกคาม แม้มันไม่อาจทำร้ายพวกเขาใดๆ แต่ยังคงส่งให้พวกเขาถอยหลังไปหลายก้าว

เย่หวูเฉินยื่นมือขวาออก มุมปากเผยยิ้มเย้ยหยันแห่งความสุข ชั่วขณะที่เขายื่นมือออกมา เหยียนต้วนหุนก็ส่งเสียงอุทานร้อง ฝ่าเท้ายังถอยหลังไปก้าวหนึ่ง คันศรบาปวิบัติกลายเป็นแสงแดง แล้วพุ่งกลับไปรวมอยู่ในมือของเย่หวูเฉิน

เหยียนต้วนหุนหงายฝ่ามือขวาที่สั่นเทาขึ้นช้าๆ บนฝ่ามือปรากฎเป็นรอยแผลแตก ราวกับแก้วน้ำที่เต็มไปด้วยรอยร้าว โลหิตซึมออกมาทั่วฝ่ามือ ด้วยพลังของเหยียนต้วนหุน ต่อให้เขาไม่ป้องกันตัว ยอดฝีมือธรรมดาแม้ใช้ศาสตราเทวะก็ไม่อาจทำร้ายเขาได้ ทว่า.... ที่เขาสัมผัสได้จากการบาดเจ็บเมื่อครู่นั้น สาเหตุไม่ใช่เป็นเพราะตัวคันศรบาปวิบัติโดยตรง หากแต่เป็นกลิ่นอายสังหารที่แผ่ออกมา ก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นแสงแดง

เพียงกลิ่นอายสังหาร ก็ทำให้ยอดฝีมือเทวะต้องหลั่งเลือด

“ท่านพ่อ!”

“ท่านประมุข เป็นอะไรรึเปล่า?”

เหยียนต้วนหุนยกมือขึ้นเพื่อบอกว่าตนไม่เป็นไร เขากำมือขวาแล้วเคลื่อนลงช้าๆ ไพล่สองมือไว้ด้านหลัง แค่นเสียงเย็นขณะกล่าว “แบบนี้สินะ”

“สำนักจักรพรรดิเหนือ ทำตัวได้คู่ควรกับชื่อเสียงเสียจริง” จักรพรรดิมารปราดตามอง กล่าวคำอย่างราบเรียบ ทว่าแม้เสียงของเขาจะราบเรียบราวแผ่นน้ำ หากฟังอย่างไรก็ได้ยินเป็นเย้ยหยัน

เหยียนต้วนหุนขมวดหัวคิ้ว กล่าวคำเสียงต่ำ “ขึ้นไป!”

เมื่อจบคำ สองยอดฝีมือเทวะที่เพิ่งลอยร่างลงมาก็พุ่งขึ้นไปราวกับลูกธนู ตรงไปที่เย่หวูเฉินทันที มีแรงกดดันหนักหน่วงราวขุนเขาใกล้เข้ามา เย่หวูเฉินไม่หลบเลี่ยง จดจ้องพวกเขาที่เข้ามาใกล้ มีเพียงมือซ้ายที่ยกคันธนูขึ้นมา ขณะที่มือขวาค่อยๆน้าวสาย....

ทันใดนั้น ราวกับท้องฟ้ามืดทะมึนลง สายลมยังหยุดนิ่ง อากาศกลายเป็นนิ่งงัน ข้างหูไม่ได้ยินเสียงใดอีก ราวกับว่าทุกสิ่งในเวลานี้ได้หยุดลง



<<<PREV    .    NEXT>>>