วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 350

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 350 เหยียนปิงเอ๋อร์ (1)

เล่งหยาที่ร่วงลงมายังไม่ทันยืนมั่นคงก็ต้องตกใจเช่นกัน เขาพุ่งกายเข้าหา เอามือปิดปากนางไว้แน่น เขาไม่ฆ่าสตรีและไม่คิดที่จะฆ่านาง การหยุดเสียงจากปากนางคือทางเลือกเดียวของเขา แต่เห็นได้ชัดว่าเขาช้าไปก้าวหนึ่ง เสียงกรีดร้องของนางหลุดผ่านนิ้วและลอยออกไปไกล

“เหยียนจื่อเมิ่งอยู่ที่ไหน?” เล่งหยาหัวใจเย็นวาบ คว้าปกเสื้อของหญิงสาวและถามอย่างจริงจัง หญิงสาวเมื่อได้ยินก็จ้องตาโตอย่างแตกตื่น เขาคว้านางเข้าไปในห้องไม้ที่นางเพิ่งออกมา ทันใดนั้นก็มีเสียง ‘สวบสาบ’ ย่ำเท้าหนักดังขึ้น ในสำนักจักรพรรดิเหนือจะมีคนที่ไร้ความสามารถได้อย่างไร เพียงระยะไม่ไกลพวกเขาย่อมมาถึงในพริบตา เล่งหยาไร้ทางเลือกต้องเข้าไปในห้อง เขาตวัดสายตาดุร้ายราวกับหมาป่าจ้องมองนาง ทว่านางกลับพลิกร่างผลักเขาติดผนัง และเปิดประตูอัดเขาติดหลังประตู

เขาหวังจะใช้สายตาดุร้ายข่มขู่หญิงสาว.... อย่างไรก็ตาม เขาเองก็รู้ตัวว่านี่เป็นความหวังลมๆแล้งๆ ดังนั้น.... เขาที่ยืนอยู่หลังประตูจึงค่อยๆยกกระบี่คร่าสายลมขึ้นมา ดูเหมือนทางเลือกเดียวของเขาในยามนี้คือสังหารชายทั้งสองในเวลาอันสั้นที่สุด เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจของคนอื่น

เล่งหยาซ่อนอยู่หลังประตู ไม่อาจมองเห็นว่าใบหน้าที่ตื่นตะลึงของหญิงสาวยามนี้กลับสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองรีบจัดแจงเสื้อผ้าตรงอกที่มีร่องรอยผิดปกติอย่างรวดเร็ว แววตาที่แต่เดิมคล้ายเฉื่อยชานั้น ตอนนี้ฉายแววตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าที่เปลี่ยนตาลปัตรอย่างรวดเร็วนี้ หากเล่งหยาเห็นเข้าคงจ้องโง่งมจนถึงเช้า

เพียงหลังจากที่เล่งหยาถูกอัดกระแทกกับหลังประตู ยามเฝ้าทั้งสองคนของสำนักจักรพรรดิเหนือก็วิ่งมาถึง พวกเขาตะโกนถาม “เกิดอะไรขึ้น?”

แม้ว่าสตรีนางนี้ก่อปัญหาให้พวกเขาไม่เว้นในแต่ละวัน ทว่าเมื่อครู่เป็นเสียงกรีดร้องที่ไม่เคยเกิดขึ้น ยิ่งกว่านั้น น้ำเสียงยังแตกตื่นผิดธรรมดา

คิ้วของเล่งหยาขมวดแน่น มือหนึ่งวางแนบกับประตูไม้ อีกมือหนึ่งยกกระบี่คร่าสายลมขึ้นในระดับลำคอคนปกติ วินาทีถัดไป เขาสามารถพุ่งออกมาดุจสายฟ้า ตวัดคมกระบี่ตัดลำคอคนทั้งสอง....

“หนู เป็นหนูตัวใหญ่มาก!” หญิงสาวตะโกนด้วยสีหน้าแตกตื่น เสียงนี้ทำให้เล่งหยาที่กลั้นลมหายใจไว้แทบหลุดออก ทั่วร่างอ่อนลงอย่างฉับพลัน ความรู้สึกที่ตั้งท่าเตรียมรับอันตรายด้วยพลังสูงสุด ดุจคนเกร็งกำลังทุบก้อนหินแต่กลับกลายเป็นก้อนสำลีแทน การพลิกผันสุดขั้วทำให้ร่างกายอึดอัด

ตึก....

พลังที่เกร็งไว้คลายออกทำให้ร่างกายขยับไหวเล็กน้อย ปลายเท้าขวาของเล่งหยาแตะถูกประตูไม้และเกิดเสียงบาง

หากเป็นมนุษย์ธรรมดาย่อมไม่ได้ยินเสียงนี้ ทว่าในหูของยอดฝีมือย่อมได้ยินแจ่มชัด ยามเฝ้าที่อยู่ด้านซ้ายใบหูขยับ เขาตวัดกระบี่ในมือขวา ส่งพุ่งไปที่ต้นกำเนิดเสียง....

สวบ! ฉึก!

กระบี่ยาวแทงออกอย่างรวดเร็ว เล่งหยาที่อยู่หลังประตูไม่ทันสัมผัสถึงการจู่โจมในคราแรก และเมื่อเขาตระหนักได้ เท้าขวาก็เจ็บปวดรุนแรง กระบี่ยาวเจาะผ่านประตูไม้และแทงใส่เท้าของเขา เสียบทะลุเท้าจนลงไปถึงฟางแห้ง

ทั่วร่างของเล่งหยานิ่งแข็งทันที ใบหน้าขาวซีดราวกระดาษ เขากัดฟันข่มไว้ไม่ให้ส่งเสียง จุดเด่นของเขาคือความเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการหลบหนีหรือระเบิดการจู่โจม เขาต้องใช้ความเร็วที่สูงยิ่ง ในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ สำหรับเขาแล้ว หนึ่งเท้าที่บาดเจ็บแย่ยิ่งกว่าแขนขาดหนึ่งข้าง

โลหิตแดงฉานไหลซึมไปตามฟางแห้ง เมื่อกระบี่ถูกตวัดออกจากมือ หัวใจของหญิงสาวก็กระตุกวูบหนึ่ง พอนางไม่ได้ยินเสียงใดตามมา หัวใจนางจึงคลายลง

“เอาล่ะ หนูถูกจัดการเรียบร้อย ข้าเคยบอกคุณหนูปิงเอ๋อร์แล้ว ว่าที่นี่มีหนูเป็นเรื่องปกติ ไม่เห็นต้องทำให้เป็นเรื่องอึกทึก” ชายคนที่ผลักกระบี่ยาวบุ้ยปากกล่าว เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนอีกผู้หนึ่งซ่อนตัวอยู่ไม่ห่าง และยิ่งไม่คิดว่ากระบี่ตัวเองจะเสียบถูกบุคคล จากจิตใต้สำนึก เขาไม่คิดว่าจะมีใครบุกรุกเข้ามาในสำนักจักรพรรดิเหนือ เช่นเดียวกับไม่คิดว่าจะมีคนลอบเข้ามาในคุกแห่งนี้

“เมื่อก่อนเจ้ายังกล้าทุบตีนายน้อยอยู่แท้ๆ ตอนนี้กลับตกใจกลัวเพียงเพราะหนูตัวหนึ่ง ฮี่ ฮี่” ชายอีกคนกล่าวพร้อมยิ้มบาง

ปิงเอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้นและกล่าวอย่างโกรธขึ้ง “เจ้าตัวน่าชัง หุบปากของพวกเจ้าเลยนะ เรื่องอะไรข้าจะกลัวเพียงแค่หนูตัวหนึ่ง แค่จู่ๆมีตัวอะไรพุ่งออกมาข้าจะกลัวไม่ได้เหรอ?”

ชายคนนั้นยักไหล่และกล่าว “เอาเถอะ ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นก็ดี ต่อไปก็อย่าเอะอะจนพวกเราต้องมาอีก” จากนั้น เขาก้าวเท้าเข้ามาเล็กน้อย หมายจะดึงกระบี่ที่เสียบกับประตูไม้ออกมา

เล่งหยากัดฟันทนความเจ็บปวดที่ชำแรก หัวใจยกระดับการจดจ่ออีกครั้ง กระบี่คร่าสายลมในมือฉายประกายสังหารที่พร้อมระเบิดออกทุกเวลา เมื่อใดมันดึงกระบี่ออกและเห็นเลือดบนกระบี่ ความสงสัยย่อมบังเกิดแน่นอน และเขาจะต้องถูกพบตัว

ปิงเอ๋อร์ขวางหน้าชายคนนั้นไว้และตะโกนอย่างแตกตื่น “เจ้าจะทำอะไร?”

ชายคนนั้นรีบยกมือสองข้างขึ้นทันที “คุณหนูปิงเอ๋อร์ วางใจได้ พวกเราจะไม่เข้าไปในห้องท่านโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่านก่อน” เขาเหลือบมองในห้องเล็กๆที่ว่างเปล่า หัวเราะเล็กน้อยและกล่าว “แต่กระบี่ของข้า....”

“ใครใช้ให้เจ้าเอากระบี่แทงประตูห้องข้า! รีบออกไปให้พ้นหน้าข้าซะ กระบี่เล่มนี้ถือเป็นของชดเชยสำหรับข้า.... ฮึ่ม นานแล้วที่ข้าไม่ได้ฝึกกระบี่ งั้นขอกระบี่เจ้ามาเล่นหน่อยก็แล้วกัน ไปสิ แค่เห็นหน้าพวกเจ้าข้าก็รำคาญแล้ว” ปิงเอ๋อร์ทำท่าโกรธเคือง จากนั้นผลักเขาออกไปอย่างไม่อาจอดทน

เล่งหยาสงบใจลงอย่างเงียบงัน แปลกใจที่สตรีที่เรียกว่า ‘ปิงเอ๋อร์’ ผู้นี้ กลับช่วยปกป้องเขาไว้อย่างคาดไม่ถึง

“นี่ เจ้ารื้อสะพานหลังข้ามเสร็จชัดๆ” ชายคนนั้นสีหน้าหมองลงจากความไม่ยุติธรรม อุปนิสัยของปิงเอ๋อร์นั้น เขาคุ้นเคยจนไม่อาจคุ้นเคยได้อีก เรื่องนี้เห็นได้ชัดอย่างไม่ต้องสงสัย ว่านางกำลังหาเรื่องแกล้งพวกเขาเพื่อเล่นสนุก อย่างไรเสีย การสูญเสียอิสรภาพย่อมไม่ใช่เรื่องน่ารื่นรมณ์ สายตาเปลี่ยนเป็นมองอย่างช่วยไม่ได้ เขาหันกายไปและกล่าว “ช่างเถอะ ในเมื่อคุณหนูปิงเอ๋อร์อยากเล่น เช่นนั้นก็ให้นางเล่น ข้าไปหากระบี่เล่มใหม่ก็ได้”

ปิงเอ๋อร์ถอนหายใจโล่งอก คนปรารถนาอยากโยนพวกเขาออกไปไกลๆเสียทันที “ไปสิ เร็วๆ รีบไปเร็วเข้า คราวหน้าก็อย่าด่วนวิ่งมาส่งเดชอีก”

“ชิ ข้าไม่ทำแบบนั้นหรอก” ชายคนนั้นกระซิบ ทว่าหลังจากที่เขากระซิบจบ เขาก็หันกลับมาโดยไร้คำเตือน พุ่งผ่านร่างของปิงเอ๋อร์ หัวเราะร่าและคว้ามือไปที่กระบี่

ตูม!!!!

แผ่นดินสั่นสะเทือน เสียงเลือนลั่นดังมาจากที่ไกล แก้วหูแทบจะฉีกออก ยามเฝ้าที่ยื่นมือหมายคว้าด้ามกระบี่ก็ล้มลงบนพื้น เขาพลันตะกายร่างขึ้นและกล่าว “เกิดอะไรขึ้น??”

“ทางเหนือ เจ้ามัวทำอะไรอยู่ รีบมาเร็วเข้า!” ชายอีกคนทรงกายอยู่บนพื้นที่สั่นสะเทือน ยามเฝ้าคนนั้นรีบตามออกไปโดยไม่สนใจกระบี่ยาวของตนเองอีก กระทั่งไม่มีเวลากล่าวลาปิงเอ๋อร์

เมื่อพวกเขาออกไปไกลแล้ว ปิงเอ๋อร์ก็หันกลับมา คว้ามือลงบนด้ามกระบี่ ขมวดคิ้วมุ่นลง จากนั้นดึงกระบี่ออกอย่างรวดเร็ว แล้วปิดประตูห้องเล็กๆอย่างรีบร้อนไว้แน่นหนา เล่งหยาที่ซ่อนอยู่หลังประตูตอนนี้ย่อกายลง กดมือลงบนบาดแผลที่หลังเท้า ฟางแห้งใต้ฝ่าเท้าเป็นสีแดงผืนหนึ่ง ทว่าสีหน้าของเขากลับสงบอย่างประหลาด ราวกับว่าเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ

ปิงเอ๋อร์จ้องมองอย่างโง่งม ในใจพลันเกิดความรู้สึกนับถือ นางย่อกายลงและเอ่ยถาม “เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”

เล่งหยาเงยหน้าขึ้นและจ้องมองนาง จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อยและถอนสายตากลับ ตอนนี้เขาจดจำรูปลักษณ์ของนางได้แล้ว นางมีร่างกายค่อนข้างเตี้ย หน้าตาสะสวย อายุราว 18 ปี ฟันขาวสะอาด ทว่าใบหน้านางดูซีดเซียวเล็กน้อย รวมถึงผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงอยู่บ้าง

“เฮ้! ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ.... เจ้าไม่คิดจะถามข้าหน่อยเหรอว่าทำไมข้าถึงช่วยเจ้า?” ปิงเอ๋อร์เกือบโมโหจากการตอบสนองของเขา หากขณะกล่าวคำยังดูคล้ายกังวล

“เหยียนจื่อเมิ่งอยู่ที่ไหน?” เล่งหยากดบาดแผลบนเท้า เลือดที่ไหลออกจึงหยุดลง ดวงตาคมกล้าจ้องมองนัยน์ตาของปิงเอ๋อร์ ถามอีกครั้งด้วยประโยคเดิมกับนาง เขาไม่ได้ถามว่า ‘เจ้าคือเหยียนจื่อเมิ่งใช่หรือไม่?’ เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าย่อมไม่ใช่นาง แม้ว่าเขาไม่เคยเห็นเหยียนจื่อเมิ่งมาก่อน ทว่าฟังจากคำอธิบายของเย่หวูเฉิน หญิงสาวตรงหน้าไม่เพียงมีอายุที่ต่างออกไปหลายปี อารมณ์ของนางยังไม่ใกล้เคียง

ปิงเอ๋อร์ที่ก้มศีรษะเตรียมจะตรวจดูแผลของเขา ฉับพลันเมื่อได้ยินคำถามก็สะดุ้งเฮือก คู่ดวงตากลายเป็นพร่ามัว กล่าวคำด้วยสติเลื่อนลอย “คุณหนู....” จากนั้นนางยกศีรษะมองขวับที่เล่งหยา “เจ้าเป็นใคร? แล้วเจ้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไง.... เจ้ามาที่นี่เพื่อตามหาคุณหนูอย่างนั้นเหรอ?”

การตอบสนองของนางต่อนามเหยียนจื่อเมิ่ง ทำให้แววตาที่ไม่ได้คาดหวังมากนักของเล่งหยาคมกล้าขึ้น ความเจ็บปวดที่เท้ายังถูกลืมในฉับพลัน เขาจ้องยังนัยน์ตาของหญิงสาวประหลาดตรงหน้า และถามเสียงต่ำทะมึน “เข้าต้องรู้แน่ว่านางอยู่ไหน....บอกข้ามา!”

ปิงเอ๋อร์จ้องเขากลับเช่นกัน.... สามปีก่อนนางยอมพลีชีพเพื่อถ่วงเวลาเหยียนซีหมิง เปิดโอกาสให้เหยียนจื่อเมิ่งได้หนีไป หลังจากนั้นนางไม่ได้พบกับเหยียนจื่อเมิ่งอีก วันนั้นเหยียนซีหมิงกลับมาด้วยใบหน้าทะมึนคล้ำ ทำให้นางทราบว่าเหยียนจื่อเมิ่งหนีไปได้สำเร็จด้วยวิธีบางอย่าง นางไม่ถูกสำนักจักรพรรดิเหนือที่อยู่ข้างนอกจับตัวกลับมาหรือถูกสังหาร และปิงเอ๋อร์ไม่ได้ยินข่าวคราวใดๆของนางอีก ถัดจากนั้นปิงเอ๋อร์จึงถูกคุมขังอยู่ที่นี่ ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหนเป็นเวลาสามปี หญิงสาวผู้มีชีวิตชีวาต้องมาทนใช้ชีวิตทุกข์ยากอยู่ในนี้ อย่างไรก็ตาม แม้นางทำความผิดครั้งใหญ่ในปีนั้น แต่นางไม่ถูกลงโทษสาหัสเพราะการปกป้องของท่านหญิงเหยียน นางจึงเพียงถูกขังไว้ในที่แห่งนี่ ปลาบปลื้มยินดีเมื่อคิดว่าเหยียนจื่อเมิ่งตอนนี้คง.... มีลูกตัวน้อยๆน่ารักและใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย.... ยิ่งเมื่อนางได้ยินว่าเย่หวูเฉินไม่ได้ตกตาย หากทั้งสองได้อยู่ร่วมกัน.... ย่อมเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ

ตลอดเวลาสามปี เหยียนจื่อเมิ่งหายตัวไปโดยไม่มีใครกล่าวถึง นางไปซ่อนตัวอยู่แห่งใดสำนักจักรพรรดิเหนือถึงไม่อาจตามหา? แต่ว่าสามปีก่อนเหยียนจื่อเมิ่งออกจากสำนักจักรพรรดิเหนือแทบนับครั้งได้ นางย่อมไม่ได้ติดต่อกับคนภายนอกใดๆ.... แล้วใครกันที่ตามหานางในเวลานี้ หรือว่าจะเป็น....

คนแปลกหน้าที่ปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าอย่างฉับพลัน ทำให้นางต้องร้องตกใจโดยสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อเล่งหยาเอ่ยถามว่า ‘เหยียนจื่อเมิ่งอยู่ที่ไหน?’ คำถามนี้ลบความแตกตื่นจากใจนางทันที แทนที่ด้วยความตื่นเต้นจนแทบไม่อาจระงับ และนางจะไม่ยอมให้คนอื่นที่ได้ยินเสียงนางได้ล่วงรู้



<<<PREV    .    NEXT>>>