วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 128

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 128 เทพโอสถ

เมื่อได้รับคำตอบ ขันทีพลันเร่งกลับวังหลวงด้วยความยินดีเพื่อไปแจ้งข่าว เมื่อได้รับรายงานทั้งหลงหยินและตระกูลหลินต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทั้งสีหน้าและความกังวลต่างสลายหายสิ้นในฉับพลัน ราวกับไร้เรื่องใดที่สำนักจักรพรรดิใต้ไม่อาจจัดการ

เทพโอสถกระจ่างแก่ใจถึงสถานการณ์ยามนี้ แต่เขายังคงเลื่อนออกไปเป็นอีกวันหนึ่ง หากเป็นคนทั่วไปย่อมนับเป็นการลบหลู่ต่อราชตระกูล กระนั้นพวกเขาก็ไม่ปริปากบ่น การที่สำนักจักรพรรดิใต้หยิบยื่นความช่วยเหลือย่อมนับเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ ยังมีสิ่งใดที่จะต้องขุ่นข้อง?

เช้าวันต่อมาเทพโอสถฉุ่ยหนานเหอมาที่วังหลวงตามที่รับปากไว้ในวันก่อน ในใจยังคงจดจำถ้อยคำของฉุ่ยเมิ่งฉานที่บอกเอาไว้ว่า “ให้ตรวจวินิจฉัยโรคภัยและหาสาเหตุ ส่วนจะรักษาหรือไม่ให้ขึ้นอยู่กับท่าน”

หลงหยินออกมารอรับที่หน้าประตูราชวังด้วยตัวเอง เขาแสดงมารยาทต่อสำนักจักรพรรดิใต้อย่างดียิ่ง ฉุ่ยหนานเหอพูดจาด้วยอัธยาศัยไมตรี วาจาไหลลื่นดุจลมโชย ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้คุกเข่าคารวะหรือหวั่นไหวบนใบหน้ายามที่จักรพรรดิออกมาต้อนรับ เพื่อจัดการธุระในมือ เขาขอเข้าไปพบกับคนไข้ในทันที

ลักษณะของฉุ่ยหนานเหอสร้างความสงบใจให้กับหลงหยินและตระกูลหลิน ชายชราจิตใจดีผู้นี้ราวกับเทพเซียนเมื่อเทียบกับหมอคนอื่นที่มาวันก่อน พวกเขาต่างกันราวฟ้ากับแผ่นดิน เมื่ออยู่ต่อหน้าชายชรากระทั่งหลินซานและหลินขวงผู้ทรงอิทธิพลยังต้องนอบน้อมด้วยความเคารพ บุรุษที่ปลีกตนจากโลกหล้าทำให้ราคีบนร่างกายค่อยๆรางเลือน กลิ่นอายที่แผ่สัมผัสได้ล้วนเปี่ยมความมั่นใจที่ไม่ธรรมดา

หลินซิวนอนอยู่ในสภาพร่างครึ่งเป็นตาย ตั้งแต่เที่ยงของวันก่อนจนถึงตอนนี้นางไม่อาจขยับได้แม้กระทั่งนิ้ว นางนอนติดเตียงราวกับคนตาย มีเพียงเปลือกตาเท่านั้นที่เปิดเล็กน้อย ตลอดทั้งคืนนางไม่อาจหลับ นางอยากขยับตัวแต่ไม่อาจทำได้ มันเจ็บปวดยิ่งจนคิดอยากตาย ทว่านางไร้พลังแม้กระทั่งจะปลิดชีพตน

เมื่อฉุ่ยหนานเหอตวัดสายตามองหลินซิวปราดหนึ่ง คิ้วขาวของเขาย่นลงโดยไม่รู้สึกตัว มีหลากวิธีนานับที่ทำให้ร่างกายดำคล้ำลง ทว่าอาการนี้เห็นได้ชัดว่าแผ่มาจากภายในออกมาสู่ภายนอก บางทีเป็นไปได้ว่านางอาจจะถูกพิษ

“ท่านเซียน โปรดช่วยเสด็จแม่ของข้าด้วย” หลงเจิ้งเยว่กังวลกล่าว ตลอดบ่ายวันก่อนและตลอดคืนพวกเขาเชิญหมอมีชื่อแทบทุกคนในเมืองเทียนหลง คำตอบที่ได้รับล้วนซ้ำเป็นคำเดิม ดังนั้นนี่คือความหวังสุดท้ายของพวกเขา หากแม้กระทั่งเทพโอสถแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ยังไร้หนทาง เช่นนั้นหลินซิวก็มีแต่ต้องรอคอยความตาย

“อย่ากังวลไปเลย พวกเราต้องอดทนและรอดู อย่าได้รบกวนผู้อาวุโส ทักษะแพทย์ของเขาบรรลุถึงขั้นสูงสุด เขาต้องรักษาเสด็จแม่ของพวกเราได้แน่” หลงเจิ้งหยางตบบ่าของหลงเจิ้งเยว่ ในใจเปี่ยมไปด้วยความหวัง

หลงเจิ้งเยว่ผงกศีรษะ มองฉุ่ยหนานเหอที่เข้าไปอยู่ข้างๆหลินซิวด้วยความกังวล เขากลัวได้ยินคำว่า “ไร้ความสามารถ” อีกครั้ง

ในห้องกลายเป็นเงียบงัน ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง ในห้องนอกจากหลงหยินและตระกูลหลินก็ยังเต็มไปด้วยพวกหมอหลวง ฉุ่ยหนานเหอไม่ใส่ใจและคิดไล่ให้พวกเขาออกไป เขามองสำรวจใบหน้านางอย่างเคร่งขรึม จากนั้นกดนิ้วที่ข้อมือแล้วปิดดวงตาชราลง ไม่กล่าวคำใดทั้งใบหน้าก็ไม่หวั่นไหว แต่ทันใดนั้นเขาถอนมือกลับออกมา สีหน้าท่าทางกำลังครุ่นคิด

“ท่านเซียน เสด็จแม่ของข้าเจ็บป่วยด้วยโรคอันใด?” หลงเจิ้งเยว่ไม่อาจทนรอและถามออกไปในที่สุด

ฉุ่ยหนานเหอทำท่าให้เงียบเสียง หลงเจิ้งเยว่ปิดปากอย่างเชื่อฟังทันที ในใจคล้ายความหวังจะเพิ่มขึ้น ฉุ่ยหนานเหอไม่ได้บอกว่าเขาไม่อาจทำอันใดเหมือนเช่นหมอคนอื่น

หลังจากเงียบอยู่พักใหญ่ ในที่สุดฉุ่ยหนานเหอที่ครุ่นคิดอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหว เขาขยับยืนตั้งกายตรง มือทั้งสองยื่นออกมาและเร่งเปล่งแสงสีขาว

“นักเวทย์แสงที่แกร่งกล้ายิ่งนัก!” หลงหยินกล่าวเสียงเบา กระทั่งนักเวทย์แสงที่เก่งกล้าที่สุดในวังยังไม่อาจควบรวมธาตุแสงที่ทรงพลังในเวลาอันสั้นเช่นนี้ ธาตุแสงสามารถใช้เพื่อเพียงรักษาบาดแผลทางกายให้หายได้อย่างรวดเร็ว แต่สำหรับหลินซิวเห็นได้ชัดว่านางไร้บาดแผลทางกาย แล้วเหตุใดชายชราถึงได้ทำเช่นนี้?

ฉุ่ยหนานเหอค่อยๆขยับเคลื่อนฝ่ามือ ธาตุแสงซึมซาบเข้าไปในร่างของหลินซิว ผิวภายนอกร่างกายอาบคลุมด้วยชั้นแสงขาว เมื่อฉุ่ยหนานเหอถอนมือออกมา สีหน้าของเขายังคงเคร่งเครียด ชั้นแสงขาวบางอาบไล้ร่างกายหลินซิวอยู่ชั่วไม่กี่อึดใจ จากนั้นมันเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว สีเทาทะมึนบนร่างจางลงเล็กน้อย ราวกับถูกลบล้างด้วยพลังธาตุแสง

ใบหน้าผู้คนตระกูลหลินฉายไปด้วยความสุข ขณะที่หลงเจิ้งเยว่และหลงเจิ้งหยางถอนหายใจยาวติดตามกัน เขาคือเทพโอสถอย่างแท้จริง โรคประหลาดที่หมอหลวงทั้งหลายไม่สามารถกลับเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขา และอาการของจักรพรรดินีดีขึ้นทันตาเห็น

สำหรับพวกเขา การที่ปราณทะมึนลึกลับมีสีจางลงย่อมหมายถึงอาการดีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

หลงหยินสังเกตสีหน้าของฉุ่ยหนานเหออยู่ตลอดเวลา หัวใจเขาดิ่งวูบและรีบถาม “ท่านเซียน จักรพรรดินีป่วยเป็นโรคภัยใด?”

ฉุ่ยหนานเหอถอนหายใจกล่าว “เรื่องนี้ทำให้ข้านึกถึงโรคระบาดร้ายแรงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆของอาณาจักรคุยชุยเมื่อสิบปีก่อน ร่างกายของผู้คนกลายเป็นดำคล้ำหลังจากติดโรค และแน่นอนผลลัพธ์คือความตาย ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตจากโรคระบาดในครั้งนั้น อาการของจักรพรรดินีเมื่อเทียบอาการของโรคระบาด.... นับว่าเหมือนกันโดยแท้”

“โรคระบาด?” หลงเจิ้งเยว่กล่าวทวนเสียงเบา สีหน้าเขาเปลี่ยนและกล่าวตื่นตระหนก “หากเป็นโรคระบาด เช่นนั้นผู้คนที่สัมผัสกับเสด็จแม่ข้าในสองวันที่ผ่านมานี้จะไม่ติดโรคด้วยหรือ?”

คำพูดของเขาสร้างความตื่นตระหนกอย่างหนัก กระทั่งหลงหยินที่มีปกติสงบสุขุมยังม่านตาหดลีบอย่างรุนแรง

“ไม่ องค์ชายโปรดอย่าได้กังวล อันที่จริง มันไม่ใช่โรคระบาดเสียทีเดียว” ฉุ่ยหนานเหอกล่าวพร้อมส่ายศีรษะ

“เนื่องจากผู้คนจำนวนมากตกตายด้วยโรคภัยนี้ ผู้คนภายนอกจึงเข้าใจว่ามันเป็นโรคระบาดร้ายกาจ ผู้คนเริ่มทะยอยออกห่างจากพื้นที่เพื่อหลีกหนีจากมัน กระทั่งจนถึงตอนนี้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้พื้นที่แห่งนั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนที่เฉียดใกล้หมู่บ้านแห่งนั้นต่างล้มป่วยและตกตายด้วยโรคแบบเดียวกัน ผืนดินบริเวณนั้นเป็นสีเทาทะมึนอย่างน่ากลัว มันกลายเป็นแดนร้างในที่สุด เมื่อข้าเข้าไปยังสถานที่นั้นเป็นครั้งแรก ข้ารู้สึกได้ถึงพลังน่ากลัวที่ทะลักซึมเข้ามาในร่างและดูดกลืนพลังชีวิตออกไป ข้ารีบออกจากที่นั่นทันที หลังจากนั้นข้าใช้พลังขับไล่ไอปราณน่าหวาดหวั่นออกจากร่าง ในตอนนั้นเอง ข้าถึงตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่โรคระบาด หากแต่เป็นไอปราณปนเปื้อนที่เหมือนกับ...พิษ! เมื่อผู้คนเข้าใกล้มัน “พิษ” นี้จะแพร่กระจายเข้าสู่ร่าง”

ฉุ่ยหนานเหอกล่าวถูกต้องอย่างแท้จริง “พิษ” ที่เขากล่าวถึงคือไอปราณมรณะ หากแต่ตรงกันข้ามไอปราณมรณะที่พบอยู่รอบๆหอคอยปีศาจ ตรงที่มันจะไม่ซึมซ่านเข้าสู่ร่างกาย ไอปราณมรณะที่ฉุ่ยหนานเหอเรียกว่า “พิษ” ล้วนมีคุณสมบัติไม่แตกต่างกัน หากแต่ไอปราณมรณะในร่างหลิวซิวนั้นน่ากลัวกว่าอย่างมาก

ด้วยภูมิความรู้ของทวีปเทียนเฉินในปัจจุบัน ผู้คนยังไม่รู้จักสามธาตุลิขิตชะตาคือ ชีวิต , มรณะ และ จิตใจ(วิญญาณ) ไม่มีใครที่มีพลังแห่งธาตุลิขิตชะตานี้อยู่ในร่าง ดังนั้นฉุ่ยหนานเหอจึงเรียกมันว่าพิษแทนที่จะเป็นธาตุมรณะ

สิ่งที่เย่หวูเฉินแพร่ใส่ร่างของหลินซิวสามารถนับได้ว่าเป็น “พิษ” ชนิดหนึ่ง

เมื่อได้ยินว่ามันไม่ใช่โรคระบาด ผู้คนต่างสงบความกังวลใจ หลงเจิ้งหยางเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสเทพโอสถ ท่านหมายความว่าเสด็จแม่ของข้าติด ‘พิษ’ ชนิดนี้อย่างนั้นหรือ?”

“ถูกต้อง เมื่อครู่ข้าใช้พลังของข้าทดสอบ และตอนนี้ก็เป็นอันยืนยัน” ฉุ่ยหนานเหอกล่าว สีหน้าเคร่งเครียด

“ในเมื่อท่านเทพโอสถสามารถขับ ‘พิษ’ ชนิดนี้ออกจากร่างตนเองได้ เช่นนั้นท่านย่อมรู้วิธีกำจัดมันออก โปรดช่วยรักษาเสด็จแม่ของพวกเรา ตระกูลหลงเราจะจดจำความเมตตาของท่านไว้ตลอดไป!” หลงเจิ้งหยางกล่าวด้วยความนบนอบ

“ถูกต้อง! ท่านเซียนสามารถขับพิษออกจากร่างตนเองได้ เมื่อครู่เขาสามารถบรรเทาอาการของเสด็จแม่ ดังนั้นเสด็จแม่จะต้องปลอดภัย” หลงเจิ้งเยว่กล่าวด้วยความตื่นเต้น

“เฮ้อ!” ฉุ่ยหนานเหอถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง เขากล่าว “ช่างแย่นักที่ข้าไม่อาจรักษาพิษชนิดนี้ได้”

ถ้อยคำราวสายฟ้าฟาดทำลายความหวังสุดท้าย หลงเจิ้งเยว่กล่าวอย่างตระหนก “แต่ว่าท่านเซียน ท่านรักษาพิษที่อยู่ในร่างของตนเองได้ แล้วเหตุใดถึงไม่สามารถรักษาพิษชนิดเดียวกันในร่างของเสด็จแม่? อีกอย่าง... เมื่อครู่ท่านพึ่งรักษาจนอาการของเสด็จแม่ดีขึ้นมากมิใช่หรือ?”

“เฮ้อ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” ฉุ่ยหนานเหอถอนหายใจอีกครั้ง เขากล่าวอย่างจนใจ “นี่เป็นพิษที่ประหลาดมาก หากในร่างของคนที่ต้องพิษมีพลังยุทธ์หรือพลังเวทย์อยู่บ้าง พวกเขาสามารถขับพิษออกจากร่างได้ทีละน้อย แต่จากความเข้มข้นของพิษที่อยู่ในร่างของจักรพรรดินี อย่างต่ำนางต้องมีพลังระดับ3 จึงจะสามารถขจัดมันออกไป ทว่าหากใช้พลังของผู้อื่น ไม่ว่าคนที่ช่วยจะมีพลังแกร่งกล้าเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ที่ข้าสามารถบรรเทาอาการของจักรพรรดินีได้ชั่วคราว เนื่องจากพลังธาตุแสงสามารถระงับพิษชนิดนี้ได้ แต่ข้าทำได้เพียงประคองอาการ อีกไม่นานอาการของนางก็จะกลับมากำเริบอีกครั้ง”

แสงเป็นปฏิปักษ์กับความมืด และยังเป็นปฏิปักษ์ครึ่งหนึ่งกับความตาย มรณะเป็นธาตุลิขิตชะตา ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมธาตุชนิดนี้ได้ ต่อให้ทรงพลังสักเพียงใด ก็ไม่อาจแทรกแซงธาตุลิขิตชะตาได้

หลงหยินส่ายศีรษะ ถอนหายใจแล้วกล่าว “ท่านเซียนพูดได้ถูกต้อง เมื่อวานนี้อาวุโสหลี่และอาวุโสหลิวต่างก็สงสัยว่าจักรพรรดินีถูกพิษเช่นเดียวกัน พวกเขาใช้พลังตรวจสอบและพบไอปราณประหลาดในร่างของนาง แม้ว่าอาวุโสทั้งสองจะใช้พลังทั้งหมดก็ไม่อาจขับไอปราณประหลาดนี้ออกจากร่างของนางได้”

“นี่มัน...”

หลินซานและหลินขวงกลายเป็นเงียบงัน หลงเจิ้งหยางและหลงเจิ้งเยว่ล้วนเงียบเสียงไม่ต่าง คำที่ฉุ่ยหนานเหออธิบายต่อหลงเจิ้งหยางหมายถึงหลินซิวต้องตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย

“ท่านเซียน ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าพิษชนิดนี้แพร่เข้าสู่ร่างได้อย่างไร?” หลงหยินถาม กระทั่งเทพโอสถของสำนักจักรพรรดิใต้ยังไม่อาจรักษา เขาหมดสิ้นความหวังลงแล้วเรียบร้อย สิ่งที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้คือสืบหาแหล่งที่มาของมัน มิเช่นนั้น หากพิษนี้แพร่ไปสู่คนอื่นอีกครา ในราชวังย่อมเกิดความแตกตื่นโกลาหลอย่างไม่ต้องสงสัย

“ข้าไม่รู้ นี่คือหนที่สองที่ข้าพบกับมัน จากที่ข้าเคยเจอในอาณาจักรคุยชุยเมื่อสิบปีก่อน พิษชนิดนี้เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ไม่ทราบว่าจักรพรรดินีได้ไปเยือนแดนรกร้างแห่งใดมาหรือไม่?”

เกิดจากธรรมชาติ? เมื่อฉุ่ยหนานเหอกล่าวคำนี้ออกมา แม้แต่เขายังสงสัยคำพูดของตัวเอง เนื่องจากฉุ่ยเมิ่งฉานมอบหมายให้เขาวินิจฉัยว่าเป็นโรคใด ส่วนที่มาของโรคเขาย่อมไม่สนใจ เนื่องจากโรคนี้เกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น...

แล้วคนผู้นั้นคือใคร?

[ปล. air , breath , aura มันมีรากศัพท์ตัวหนึ่งที่เหมือนกันคือ 气(qi) แปลออกมาผมใช้หลายคำยำกันมั่วเลยเช่น ปราณ , ลมปราณ , ไอปราณ , กลิ่นอาย สรุปมันคือตระกูลเดียวกันนะครับ ถ้าอ่านละสับสนต้องขออภัย ช่วงนี้คนแปลมึนหนัก ฮ่าๆ~]



<<<PREV    .    NEXT>>>