วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 179

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 179 มังกรเพลิงฟ้า

น้ำเสียงลึกล้ำสะท้อนก้องมาจากที่ไกล หากแต่มันสะเทือนโสตจนอื้ออึง ทุกถ้อยคำดั่งภูเขากระแทกใส่หัวใจ สะท้านจนอวัยวะภายในปั่นป่วน โลหิตพุ่งขึ้นมาในลำคอ แต่เขาก็ยังฝืนกลืนมันลงไป หากเย่หวูเฉินไม่ได้กัดฟันเคลื่อนพลังหวูเฉินไว้ทั่วร่าง เขาคงร่วงหล่นลงสู่ทะเลม่วง

เป็นแรงกดดันสูงส่งสุดที่ได้พบตั้งแต่เกิดมา ท่วมท้นยิ่งกว่าตอนเผชิญหน้ากับทงซินที่หอคอยปีศาจ เพียงแรงกดดันที่มาจากเสียง ก็กลับสามารถครอบคลุมอาณาบริเวณทั้งหมดด้วยพลังที่มองไม่เห็น

“ท่านคือใคร?” เย่หวูเฉินมองไปรอบๆด้วยความเร็วสูงสุด ลดคิ้วลง ร่างกายยังคงดูดซับพลังจิตปราณแห่งสวรรค์และปฐพีอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเย่หวูเฉินต้องการจะหยุด แต่ตอนนี้เขาก็ไม่อาจกระทำ

มีชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาจนทำให้หัวใจเต้นระรัว...มังกรเพลิงฟ้า!

จากที่ตำนานว่าไว้ เทพปกปักษ์แห่งอาณาจักรเทียนหลงเป็นมังกรที่หลับไหลอยู่ในภูเขาไฟเทียนเม่ย หรือว่ามันมีตัวตนอยู่จริง หรือว่าเป็นเพียงมนุษย์บางคน?

ไกลออกไป เมื่อเสียงนั้นดังขึ้นในหูของเย่หวูเฉิน สายตาของทงซินก็วาบแสงสีดำอำมหิต ข้างๆนาง หนิงเสวี่ยรีบหันไปมองที่ภูเขาไฟเทียนเม่ยในทันที เพราะสถานที่นั้นมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยอยู่ เวลานี้ ก้อนน้ำแข็งยักษ์ได้ละลายไปแล้วสามในสิบส่วน

ทงซินก้าวอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็เคลื่อนอยู่ข้างหนิงเสวี่ย ยื่นฝ่ามือทั้งสองโอบเอวหนิงเสวี่ยอย่างอ่อนโยน ขณะต่อมามีแสงทมิฬแผ่จากฝ่ามือ มันคลุมรอบร่างหนิงเสวี่ยอย่างรวดเร็ว ปกป้องนางจากความร้อนแผดเผาเอาไว้ชั่วคราว เมื่อนางถอนมือกลับ หนิงเสวี่ยร้องอุทานตกใจ เพราะพวกนางกำลังพุ่งทะยานร่างตรงไปที่ภูเขาไฟเทียนเม่ยราวกับศรธนู ตอนนี้ทงซินใช้ความเร็วสูงสุดจนหนิงเสวี่ยไม่สามารถลืมตา

ตูม!

เสาเพลิงยักษ์พุ่งขึ้นมาจากล่างเท้าของเย่หวูเฉิน มันกระแทกใส่เขาอย่างรุนแรง เย่หวูเฉินปลิวขึ้นไปบนอากาศ เขาไร้ความตื่นตระหนก ใช้โอกาสนี้พลิกกายกลางอากาศ แล้วลอยร่างลงห่างออกไป เขาเคลื่อนเท้าอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่อึดใจก็ถอยมายืนอยู่ขอบทะเลม่วง เขายังไม่จากไปเพียงมองไปเบื้องหน้า คิ้วขมวดแน่นแล้วถาม “ท่านคือ...มังกรเพลิงฟ้า?”

“มังกรเพลิงฟ้า? ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า... นั่นเป็นชื่อที่คนพวกนั้นตั้งให้ข้าเมื่อนานมาแล้ว หลังจากผ่านมาหลายปี เจ้าเป็นคนแรกที่ปลุกข้าให้ตื่นขึ้นมา และเจ้ายังเป็นผู้เดียวที่ข้าเคยเห็นผู้ที่ไม่กลัวไฟ พลังของเจ้าอ่อนด้อย กระนั้นข้าไม่อาจระบุพลังที่เจ้าใช้ได้ แต่เจ้ารบกวนการหลับไหลอันสงบของข้า และพยายามทำลายรังหลับนอน เจ้า...รนหาที่ตาย...”

น้ำเสียงโอฬารหายไปเมื่อสนามพลังมหึมาได้หยุดอากาศโดยรอบ คลื่นทะเลม่วงได้หยุดลงกลายเป็นผิวทะเลไร้ระลอก อากาศที่ไหลเวียนกลายเป็นหยุดนิ่งในทันที ทุกๆสิ่งคล้ายถูกแช่แข็งในพริบตา

เย่หวูเฉินรู้สึกเหมือนร่างถูกท่วมทับด้วยภูเขาลูกใหญ่ เขากัดฟันโคจรพลังทั่วร่างแต่ก็ไม่อาจขยับ กระทั่งการหายใจยังต้องใช้ความพยายามยิ่งยวด

มันคือมังกรเพลิงฟ้าจริงๆ ตำนานเป็นเรื่องจริง!

กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตเทวะยังไม่กล้ากระตุ้นโทสะมัน เพราะพลังของมันเหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตเทวะ! นี่คือสัตว์อสูรระดับเหนือเทพ!

ขณะที่อากาศถูกหยุด เขารู้ว่าตัวเองไร้ทางสู้เหมือนมดตัวหนึ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงว่าสถานการณ์วิกฤตเพียงใด เพียงแค่ขยับเล็กน้อยยังไม่อาจกระทำ

เย่หวูเฉินเลิกดิ้นรน สายตาจ้องตรงไปเบื้องหน้า คาดหวังว่าจะได้เห็นมังกรเพลิงฟ้าตัวจริง เขาไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยเพราะเชื่อใจในทงซิน แม้เขาไม่อาจเอาชนะมังกรเพลิงฟ้า แต่เขาสามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัย

หากแต่มังกรเพลิงฟ้านั้นไม่แสดงความเมตตาต่อมนุษย์ นั่นแปลว่าเขาไม่สามารถดูดซับพลังจิตปราณแห่งสวรรค์และโลกหล้าจากที่นี่ได้...

เปรี้ยง~~~

มังกรเพลิงฟ้ายังไม่ทันสำเร็จโทษ คลื่นพลังหวาดหวั่นแห่งความตายก็พุ่งเข้ามาใกล้ แรงปะทะของสองพลังเลื่อนลั่นจนทำให้เลือดลมปั่นป่วน

สนามพลังของมังกรเพลิงฟ้าถูกทำลาย ทงซินยืนอยู่เบื้องหน้าของเย่หวูเฉิน ใช้มือน้อยๆและร่างบอบบางเข้าป้องกัน นางมาถึงช้ากว่าที่เขาคาดไว้ เมื่อเห็นหนิงเสวี่ยอยู่ข้างนางเขาพลันตระหนก แต่เมื่อเห็นสีหน้านางไร้ความทรมานเขาก็โล่งใจ ม่านทมิฬที่เรืองรองรอบอยู่คือคำตอบ

สมควรเป็นม่านพลังที่ป้องกันความร้อนได้

“ทงซิน ไปกันเถอะ พวกเราอย่ายุ่งกับมันเลย” เย่หวูเฉินจูงมือหนิงเสวี่ยและกล่าวอย่างสงบ แม้เขาเชื่อว่าพอมีทางอยู่ แต่เขาต้องไม่ฝืนทำในเวลานี้ พลังมหาศาลของมังกรเพลิงฟ้าที่กดดันบอกเขาว่าทงซินแทบไม่มีโอกาสเอาชนะมัน

เมื่อได้ยินทงซินก็ไม่ลังเล ใช้มือหนึ่งจับหนิงเสวี่ย อีกมือหนึ่งจับเย่หวูเฉินเตรียมที่จะจากไป

พริบตานั้นทะเลม่วงก็แตกกระเซ็นซ่านอย่างรุนแรง ลาวาปลิวว่อนไปทั่วทิศ เหมือนมันกำลังเดือดพล่าน

“ช้าก่อน!!!”

เสียงคำรามลั่นก้อง ทะเลม่วงยิ่งพุ่งพล่านรุนแรง ทั่วภูเขาไฟเทียนเม่ยสั่นสะเทือน ทงซินหยุดชะงัก เบื้องหน้าเกิดกำแพงเพลิงม่วงพุ่งทะยานขึ้นสูงเสียดสวรรค์เบื้องบนปิดกั้นทางหนี ทงซินขยับถอยสองสามก้าวด้วยความร้อนของเปลวเพลิง แม้นางมีพลังแกร่งกล้า แต่ไม่ได้มีภูมิต้านทานเหมือนเย่หวูเฉินที่ไม่กลัวไฟ

ตูม!

ลาวาม่วงพุ่งขึ้นฟ้า อสูรยักษ์สีแดงก่ำโผล่ขึ้นจากทะเลม่วง ลาวาม่วงแตกกระเซ็นไปทั่วภูเขาไฟเทียนเม่ย เป็นสัตว์อสูรขนาดมหึมา ชั่วพริบตามันอยู่สูงกว่า 20 เมตร สองแสงแดงมองจากเบื้องบนลงมาที่คนทั้งสาม มันคือดวงตาขนาดใหญ่ที่ลุกโชนด้วยแสงแดง มันเป็นอสูรยักษ์ที่มีเคราแดง , เขาแดง , ปากอ้าเล็กน้อยเผยคมเขี้ยวมังกรราวเพลิงไฟ น่าประทับใจว่ามันคือหัวมังกรจริงๆ

เมื่อมาถึงทวีปเทียนเฉิน เย่หวูเฉินยังไม่เคยได้เห็นมังกรตัวจริง เพียงปราดตามองเขาก็บอกได้เลยว่านี่คือหัวมังกรแน่นอน ลักษณะมันเหมือนกับมังกรในตำนานของหัวเซี่ย

และมังกรเพลิงฟ้าตัวนี้เพียงเผยแค่ส่วนหัวของมันออกมา แต่กระนั้นยังมีขนาดมหึมาอย่างยิ่ง หากมันเผยออกมาทั้งตัว ผู้คนย่อมตกตะลึงจนไม่อาจจินตนาการ

ทงซินปล่อยหนิงเสวี่ยและเย่หวูเฉิน นางหันร่างพุ่งทะยานขึ้นฟ้าในฉับพลัน พริบตานั้นมีแสงทมิฬห่อหุ้มร่าง นางพุ่งลงมาเหมือนดาราที่ร่วงจากฟ้า ตกตรงไปที่ศีรษะมังกรยักษ์ พลังมหาศาลทำให้ทะเลม่วงที่เดือดพล่านยุบลง

มังกรเพลิงฟ้าคำรามลั่นโลก มันพุ่งศีรษะเข้าใส่ทงซิน ทงซินเล็งลงที่ระหว่างคิ้วของมัน เกิดเสียงกึกก้องกัมปนาทจากการปะทะ ศีรษะมังกรเพลิงฟ้าถูกกระแทกถอยไปกว่าสิบเมตร กำแพงเพลิงมหึมาเบื้องหลังของพวกเขาได้สลายไป

เย่หวูเฉินกอดหนิงเสวี่ยไว้ในอ้อมแขนแน่น เขาไม่ถูกคลื่นกระแทกจากพลังการปะทะ เขาลอบโล่งใจแล้วถาม “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”

“อื้ม ข้าไม่เป็นไร แล้วพี่หญิงทงซิน...”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า... ที่แท้ก็เป็นเจ้า... ที่แท้ก็เป็นเจ้า... ไม่สิ เป็นพวกเจ้าทุกคน! แต่เหตุใดพลังของเจ้าถึงได้ลดลงมากมายถึงเพียงนี้? กระทั่งร่างกายของเจ้ายังกลับกลายเป็น...”

เสียงหัวเราะสะเทือนโสตยิ่งดังกว่าครั้งก่อน เย่หวูเฉินขมวดคิ้วมองมังกรเพลิงฟ้าที่หัวเราะคำราม หัวใจเขาปั่นป่วนเพราะเสียงนั้น

ทงซินปลิวกระเด็นขึ้นฟ้านับร้อยเมตร ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหยุดร่างได้ นางรีบกลับไปอยู่ข้างเย่หวูเฉิน จับแขนของเขาและหนิงเสวี่ยโดยไม่ลังเล การปะทะธรรมดาเมื่อครู่นี้ทำให้นางรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่มือของมังกรยักษ์ ดังนั้นนางจึงต้องรีบหนีด้วยความเร็วสูงสุด

“รอก่อน ทงซิน” เย่หวูเฉินรีบพูดหยุดนาง “อย่าห่วงเลย มันไม่ทำร้ายพวกเราแล้ว”

ถึงแม้ทงซินจะสับสน แต่นางไม่เคยขัดคำของเย่หวูเฉิน เมื่อไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า นางจึงยืนป้องกันอยู่เบื้องหน้า สายตาแรงกล้ามองไปที่มังกรเพลิงฟ้า

การปะทะธรรมดาของทงซินและมังกรเพลิงฟ้า ทงซินใช้พลังเพียงสมควร เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเย่หวูเฉินและหนิงเสวี่ย มังกรเพลิงฟ้าที่คิดสังหารก็ยังยับยั้งพลังเพื่อไม่ให้ทำร้ายเขาเช่นกัน ด้วยข้อสงสัยนี้รวมกับถ้อยคำของมัน เขาจึงเลิกล้มความคิดที่จะหนีไป

“มนุษย์ เจ้าเชื่อเรื่องลิขิตชะตาหรือไม่?” มังกรเพลิงฟ้ามองเย่หวูเฉินด้วยดวงตาแดงก่ำ เสียงของมันไม่ได้รุนแรงเหมือนก่อนหน้า หากแต่นุ่มนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าเชื่อว่าหลายสิ่งถูกลิขิตโดยสวรรค์ และไม่อาจหลีกเลี่ยงพวกมัน มีเพียงจำต้องยอมรับชะตา โดยเฉพาะการเกิด , การแก่ , การเจ็บ และการตาย นอกจากสามารถควบคุมชะตาของตน ไม่เช่นนั้น ต่อให้ทำอย่างไรก็ไม่อาจหนีพ้นวัฏจักรแห่งลิขิตชะตาได้” เย่หวูเฉินตอบ มือข้างหนึ่งจูงมือหนิงเสวี่ย อีกข้างหนึ่งบางบนบ่าบอบบางของทงซิน

“เจ้าพูดถูก เช่นนั้น... เจ้าคิดยืนหยัดต่อต้านลิขิตชะตาของตนเองหรือไม่?”

เย่หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวอย่างสงบ “ก่อนที่ข้าจะมีพลังเพียงพอยืนหยัดและต่อต้านมัน ข้าจะยังไม่ทำ ในเมื่อชะตาถูกลิขิตเอาไว้แล้ว มันย่อมกลายเป็นกฎแห่งสวรรค์และปฐพี เมื่อไม่สามารถต่อต้านสวรรค์และปฐพี แล้วจะต่อต้านลิขิตชะตาได้อย่างไร?”

เมื่อได้ยินคำตอบ มังกรเผลิงฟ้าหัวเราะลั่นอย่างน่าเกลียด “เจ้าพูดถูก คิดไม่ถึงเลยว่าแม้จะเยาว์วัยถึงเพียงนี้ กลับตระหนักรู้ในสิ่งที่ข้าค้นพบด้วยเวลาชีวิตถึงหนึ่งหมื่นปี เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะส่งเจ้าไปยังสถานที่ที่เจ้าควรไป หากเจ้าได้รับการยอมรับ ไม่เพียงการดูดซับพลังของที่นี่ ต่อให้เจ้าต้องการชีวิตข้า ข้าก็จะมอบให้เจ้าอย่างแน่นอน”

ทันใดนั้นแสงแดงสามกลุ่มปรากฎขึ้น เข้าปกคลุมร่างของคนทั้งสาม ขณะที่ทงซินกำลังจะพังมันออกไปเย่หวูเฉินก็กดไหล่ของนางไว้ เขาส่ายศีรษะและตะโกนเสียงดัง “ท่านจะส่งพวกเราไปไหน?”

ไร้เสียงตอบกลับขณะที่กลุ่มแสงแดงเพลิงวาบขึ้นด้านข้าง หนิงเสวี่ยและทงซินได้หายไปพร้อมกัน

นี่คือครั้งแรกที่เย่หวูเฉินได้เห็นพลังเคลื่อนย้ายอันลึกลับ

“ไกลออกไปในคุยชุย...วิหารสาบสูญ เจ้าจะได้ไปยังที่นั่น...” เสียงลึกล้ำของมังกรเพลิงฟ้าดังขึ้นข้างใบหู

“ทำไมพวกเราถึงต้องไปที่นั่น?”

“เพื่อตามหาบางสิ่งที่เป็นของๆเจ้า... เจ้ามีพลังจิตใจที่บริสุทธิ์ที่สุด แต่มันยังอ่อนแอเกินไป ตอนนี้ให้ข้าได้ใช้พลังจิตใจของเจ้าเป็นตัวนำ ส่งมอบทักษะ ‘เนตรวิญญาณ’ ให้เป็นของขวัญ มันจะสามารถช่วยเจ้าได้...”

พลังมหาศาลแผดจ้าราวกับค้อนหนักหน่วงทุ่มทุบส่วนลึกที่สุดของสติ ความเจ็บปวดชำแรกขึ้นสู่ศีรษะ สายตาพร่าเลือนจนกระทั่งกลายเป็นว่างเปล่า...



<<<PREV    .    NEXT>>>