วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 147

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 147 นิทานนางฟ้า

ค่ำคืนในป่าเงียบเป็นพิเศษ ไม่มีเสียงหมาป่าเห่าหอนหรือแมลงกรีดร้อง เย่หวูเฉินกางกระโจมที่นำมาจากบ้าน พร้อมกับเตียงกว้างจากห้องของตน หนิงเสวี่ยและทงซินนอนอย่างเกียจคร้านหลังเหนื่อยมาทั้งวัน พื้นที่เล็กๆและเตียงที่คุ้นเคยทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน

ขณะที่พวกนางนอนหลับอุตุ เย่หวูเฉินออกมานอกกระโจม พิงร่างกับต้นไม้ใหญ่ ค่อยๆปิดตาลง สงบลมหายใจยาวอย่างรวดเร็ว ราวกับเขาหลับไปแล้ว

สตรีที่ยังไม่จากไปมองมายังทางเย่หวูเฉิน นางรู้สึกได้ถึงความรักใคร่ที่เขามีต่อสาวน้อยทั้งสอง แววตาที่หนิงเสวี่ยและทงซินมองที่เขาแฝงความรักสัมผัสใจ ความรู้สึกที่ประทับลึกในมโนวิญญาณ ยากนักที่จะตัดทำลาย ราวกับสายใยรักในครอบครัวแต่ว่าไม่ใช่ นางสูญเสียครอบครัวและเพียงจำความรู้สึกนี้ได้ลึกในความทรงจำ

หลังพักผ่อนยาวนาน แผลบนไหล่นางเกือบหายสมบูรณ์ นางยืนขึ้นแล้วเดินช้าๆมาที่เย่หวูเฉินผู้กำลังหลับอยู่ เป็นโอกาสเหมาะสุดที่นางจะลงมือและบรรลุเป้าหมายอย่างปลอดภัย

เมื่อนางเข้ามาใกล้ จู่ๆเย่หวูเฉินก็ลืมตาขึ้น เงยศีรษะมองแล้วยิ้มกล่าว “นางเซียนยังไม่นอนอีกหรือ?”

สตรีหยุดฝีเท้าลง แล้วเฉไฉเบี่ยงสายตาหลบไปที่อื่น

“ในเมื่อพวกเรายังไม่หลับ งั้นมาสนทนากันเป็นอย่างไร? แม้ว่าพลังของท่านไม่ได้อ่อนแอ แต่อยู่ลำพังในป่าอาจเจออันตรายได้ทุกที่ เรามาร่วมเดินทางด้วยกัน คอยระวังภัยให้กันจะไม่ดีกว่าหรือ?”

สตรีลังเลชั่วขณะ แต่จากนั้นพิงต้นไม้ที่อยู่ถัดจากเขา นางนั่งลงแต่ไม่กล่าวคำใด ไม่ทราบนานเท่าใดแล้ว ที่นางไม่ได้คุยกับชายอื่นนอกจากคนใน “ตระกูล”

“นี่สมควรเป็นการเดินทางไกลครั้งแรกของท่าน” เย่หวูเฉินประสานมือไว้หลังศีรษะ พิงมือแล้วแหงนมองพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนท้องฟ้า คำพูดเขาคล้ายคำถาม ขณะเดียวกันกลับกล่าวอย่างมั่นใจ

“ไม่ตอบแสดงว่าท่านยอมรับ ไม่แปลกใจเลย... ท่านรู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงแน่ใจ? ประการแรก ท่านยโสโดยธรรมชาติ ไม่ต้องการพูดจากับคนภายนอก ท่านปิดตัวเองเกินธรรมดา ข้ามีพี่สาวอยู่คนหนึ่งที่คล้ายกับท่านมาก นางแทบไม่ออกจากบ้าน กระทั่งห้องตัวเองยังไม่ค่อยออกมา ข้าคิดว่าหากพี่สาวข้าเดินทางไกลครั้งแรก นางคงแทบจะเป็นเหมือนกับท่าน ฉะนั้น ต้องมีเหตุสำคัญพิเศษ ท่านถึงออกจากบ้านหรือสำนักอาจารย์มา ถูกหรือไม่?” เย่หวูเฉินกล่าวไม่เร่งรีบขณะหยิบใบไม้แห้งขึ้นจากพื้น เงาของเย่ฉุ่ยเหยาปรากฎขึ้นในใจอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ร่างของเย่ฉุ่ยเหยาประทับในจิตใจ และทำให้เขาคิดถึงนางซ้ำแล้วซ้ำอีก

อ่าห์ เสน่ห์ของอิสตรี!

หากเปรียบเฉพาะหน้าตา เย่ฉุ่ยเหยางดงามกว่าฮั่วฉุ่ยโหรว นางงดงามกว่าสตรีทุกคนที่เขาเคยพบเจอ เขาเชื่อว่าหากเปรียบนางกับโฉมงามอันดับหนึ่งของเทียนหลงฉุ่ยเมิ่งฉาน นางไม่ด้อยกว่าแน่นอน

“ประการที่สอง ท่านสงวนตัวเกินไป ดูจากอาการของท่าน ไม่เพียงการแตะต้องร่างกาย กระทั่งแค่มองยังทำให้ท่านขัดเคือง หากท่านเคยเดินทางอยู่ด้านนอกย่อมไม่มีอาการเช่นนี้”

“ประการที่สาม การรับมือกับศัตรู เห็นได้ชัดว่าท่านขาดประสบการณ์ แม้ท่านไม่อาจเอาชนะอสูรเขาเดียว แต่การใช้ต้นไม้บังร่างและอาศัยความเร็วหลบหนีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ท่านกลับบาดเจ็บทั้งยังเกือบถูกสังหาร”

“ประการที่สี่ ท่านรู้ตัวว่าเมื่อเดินทางไกลเพียงลำพังต้องพบอันตรายหลายประการ ดังนั้นท่านจึงปรารถนาเดินทางไปกับพวกเรา แต่ท่านกลับลังเลเป็นเวลานานที่จะเอ่ยปากพูด และ...”

“ท่านไม่ต้องพูดมากไปกว่านี้แล้ว” ในที่สุดสตรีก็เปิดปากพูด “ท่านพูดถูก นี่คือครั้งแรกที่ข้าเดินทางเพียงลำพังเป็นระยะทางไกลถึงเพียงนี้”

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอบังอาจถาม ท่านจะเดินทางไปที่ใด?” เย่หวูเฉินหันหน้ามา

สตรีกอดเข่าไว้แล้วลดศีรษะลง ร่างของนางโค้งเว้างดงามในท่วงท่านั่ง นางดูลังเลเล็กน้อย จากนั้นกล่าวเสียงเบา “เมืองเหยียนหลง”

เมืองเหยียนหลงตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของอาณาจักรเทียนหลง เป็นเมืองที่อยู่ใกล้ภูเขาไฟเทียนเม่ยมากที่สุด ทั้งยังเป็นเมืองที่เย่หวูเฉินจำเป็นต้องเดินทางผ่าน คราแรกเย่หวูเฉินแปลกใจ จากนั้นเขายิ้มและกล่าว “ดูเหมือนไม่ใช่แค่วาสนาธรรมดาที่พวกเรามาพบกัน ข้าเองก็กำลังจะไปที่เมืองเหยียนหลงอยู่พอดี งั้นเรามาเดินทางด้วยกันเป็นอย่างไร?”

สตรียังคงเงียบ จากนั้นตอบกลับเย็นชา “อย่าเรียกข้าว่านางเซียน”

คำตอบนางเห็นได้ชัดว่านางยอมรับ ดังนั้นเย่หวูเฉินจึงถามต่อ “ถ้าอย่างนั้น นางเซียนมีชื่ออันไพเราะว่าอย่างไร? โอ้ ใช่ แซ่ของข้าคือเย่ ชื่อของข้าคือหวูเฉิน พวกนางคือน้องสาวของข้า หนิงเสวี่ยและทงซิน”

“เมิ่งจื่อ” นางลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายก็เอ่ยชื่อออกมา

“เมิ่งจื่อ... เป็นชื่อที่ไพเราะมาก” เย่หวูเฉินยิ้มเล็กน้อย ชื่นชมกับสองคำนี้ “แต่ข้ารู้สึกว่าชื่อจื่อเมิ่งน่าจะเหมาะกับท่านมากกว่า”

ม่านตานางสั่นไหวเล็กน้อย แต่ในทันทีนั้นนางก็ปกปิดมัน

“นางเซียนเมิ่ง ค่ำคืนมืดมิดเช่นนี้ ท่านหลับอยู่ด้านนอกแบบนี้จริงๆหรือ? ท่านดูเหมือนคุณหนูที่ใช้ชีวิตสะดวกสะบายราวฟ้าประทาน เดินทางครั้งแรกกลับไม่นำอาหารใดๆมาด้วย แม้กระทั่งกระโจม ข้าเดาว่าท่านพกเงินติดตัวก่อนออกจากบ้าน ครอบครัวของท่านไม่บอกเลยหรือว่าต้องเตรียมสิ่งใด? ครั้งต่อไปท่านควรจำให้ดี”

เมิ่งจื่อ “........”

เย่หวูเฉินเคลื่อนขยับฝ่ามือ แหวนเทพกระบี่เปล่งแสงสีขาว กระโจมขนาดเดียวกับของเขาปรากฎขึ้นเบื้องหน้า เย่หวูเฉินเก็บมือกลับแล้วยืนขึ้น “ต่อให้ท่านเป็นเซียนจริงๆ การหลับนอนกลางแจ้งนอกเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องดี ข้างในนั้นมีเตียง... อย่าห่วงเลย เป็นเตียงใหม่ ไม่มีใครเคยใช้มาก่อน และยังมีขนมปิ้งอีกหลายอย่าง ท่านคงหิวแล้ว”

หลังจากพูดจบ เขาหันร่างและจากไป กลับไปที่กระโจมที่ตนพักร่วมกับหนิงเสวี่ยและทงซิน ขณะที่เขากำลังจะปิดกระโจม เขาเหลือบมองเมิ่งจื่อผู้เหม่อลอยแล้วยิ้ม... เป็นรอยยิ้มให้กำลังใจ

กลางคืนเย็นเยียบราวแผ่นน้ำ ไอลมเย็นพัดผ่าน นำพาบรรยากาศให้เย็นลง เมิ่งจื่อกอดตัวเอง ก่อนหน้านี้นางบาดเจ็บ ร่างกายอ่อนแอ นางไม่ทราบเลยว่าหากเดินทางลึกเข้าไป จะไม่มีบ้านเรือนผู้คน หากทั้งวันกระทั่งน้ำสักหยดยังไม่ตกถึงท้อง นางย่อมหิวโหยอย่างที่สุด อย่างไรก็ตาม นางเป็นสตรีที่เดินทางเพียงลำพัง เดินทางไกลครั้งแรกนางขาดตกสิ่งของพื้นฐานมากมาย

ความหิว , ความหนาวเย็น และความเหน็ดเหนื่อยจู่โจมนางในเวลาเดียวกัน ในที่สุดนางขบฟันขาวของตน สละความสงวนตัวแล้วเข้าไปในกระโจม

อย่างที่เย่หวูเฉินบอก ด้านในมีเตียงกว้างนุ่มและกลิ่นหอม ไม่มีสิ่งใดทำให้นางระคายตา ทั้งฟูกนอน , ผ้าห่ม , หมอน ล้วนปักด้วยลายหงส์งดงาม มีผลไม้และขากระต่ายย่าง เขาคงตั้งใจเก็บไว้ให้ก่อนแล้ว

เมิ่งจื่อยืนโง่งมอยู่ตรงนั้น ไม่ทราบสมควรรู้สึกอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางได้สติกลับคืน แล้วก้าวเข้าไปใกล้ช้าๆ จิตใจนางไม่สงบเหมือนแต่ก่อน

วันต่อมา สตรีนามว่าเมิ่งจื่อร่วมเดินทางไปกับคนทั้งสาม นางเอ่ยวาจาเพียงไม่กี่คำ เย่หวูเฉินไม่ได้กล่าววาจาเช่นกัน ดังนั้นจึงมีเพียงหนิงเสวี่ยที่พัวพันรอบๆนางแล้วถามคำถามแปลกๆ

พวกเขาไม่รู้ว่าม้าแดงน่าสงสารตัวนั้นหายไปไหน มันอาจหนีไปหรืออาจถูกสัตว์อสูรกิน ดังนั้นคนทั้งสี่จึงเดินทางด้วยเท้า เนื่องจากพวกเขาไม่ได้เร่งรีบ

“ท่านพี่ เล่านิทานหน่อยสิ” หนิงเสวี่ยเหน็ดเหนื่อยพิงกายบนอกของเย่หวูเฉิน โอบแขนไว้รอบลำคอเขา การฟังเรื่องราวสนุกทุกวันเป็นสิ่งที่นางโปรดปราน แววตาทงซินเปล่งประกายเป็นพิเศษ แหงนมองเขาด้วยใบหน้าคาดหวัง

“ตกลง เสวี่ยเอ๋อร์อยากฟังเรื่องแบบไหน?” เย่หวูเฉินถาม ด้วยระดับพลังของเขายามนี้ อุ้มหนิงเสวี่ยเดินทั้งวันไม่ทำให้เขาเหน็ดเหนื่อย เช่นเดียวกับทงซิน สำหรับเมิ่งจื่อ... นางไม่มีธุระอันใดกับเขาชั่วคราว

“ข้าอยากฟังเรื่อง... หมาป่าตัวโตกับหนูน้อยหมวกแดง” หนิงเสวี่ยตะโกนอย่างตื่นเต้น

เย่หวูเฉินสีหน้านิ่งไปนิดหนึ่ง เขายิ้มและกล่าว “เรื่องนี้เล่าให้ฟังหลายครั้งแล้ว พี่ชายจะเล่าเรื่องอื่นให้เจ้าฟัง... เอาเป็นเรื่องนิทานนางฟ้าเป็นอย่างไร?”

“นางฟ้า? เยี่ยมเลย ข้าอยากฟัง”

“อะแฮ่ม อะแฮ่ม” เย่หวูเฉินแสร้งทำคอให้โล่ง จากนั้นลอบมองเมิ่งจื่อผู้มีสีหน้าไม่สนใจ เขาเล่าอย่างจริงจัง “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนางฟ้าจากสวรรค์ที่งดงามอย่างยิ่ง นางมีผมยาวงามสวมชุดหิมะขาว วันหนึ่ง นางอยากทัศนาชมแดนโลกมนุษย์ ดังนั้นนางจึงแอบลงมาจากสวรรค์ ด้วยเหตุที่นางเพิ่งเคยออกบ้านเป็นครั้งแรก นางจึงไม่รู้ว่าสวรรค์อยู่สูงเพียงใด เมื่อก้าวออกมาไม่ทันระวัง นางจึงร่วงลงมาใบหน้ากระแทกพื้น ใบหน้านางกลายเป็นแผลร้ายแรง ดังนั้น นางฟ้าผู้น่าสงสารจึงต้องปกปิดใบหน้าด้วยผ้าขาวทุกวันตั้งแต่นั้นมา ด้วยกลัวว่าผู้คนจะเห็นหน้านาง”

“อ้า! นางฟ้าผู้นี้น่าสงสารจัง แล้วหลังจากนี้เกิดอะไรขึ้น นางรักษาแผลได้รึเปล่า?” หนิงเสวี่ยถามอย่างกังวล เมิ่งจื่อที่เงียบอยู่เริ่มตัวเกร็ง

“หลังจากนั้น... เมื่อนางฟ้าผู้น่าสงสารลงมาถึงโลก สายฝนได้กระหน่ำจากท้องฟ้า นางเปียกโชกเกือบทั้งตัว นางพบกระท่อมน้อยมุงคาจึงเข้าไปหลบฝน แต่สายฝนกระหน่ำไม่หยุดตก มีคนชั่วสามสี่คนเข้าไปหลบฝนเช่นกัน พวกมันเห็นนางฟ้าปกปิดใบหน้าและคิดว่านางงดงาม ดังนั้นจึงคิดคร่ากุมและนำนางมาทำเป็นภรรยา สุดท้าย นางฟ้าผู้เก่งกาจได้สั่งสอนบทเรียนพวกมัน”

“นางไม่รั้งอาศัยในกระท่อมน้อยและเดินทางลงใต้ ในที่สุดนางมาถึงป่าโดยไม่ทันระวัง ในป่ามีสัตว์อสูรดุร้ายมากมาย นางฟ้าคิดว่าพวกสัตว์ในโลกมนุษย์นั้นเชื่อง นางจึงไม่ทันป้องกันตัว และถูกทำร้ายด้วยอสูรเขาเดียวตัวโต นางเกือบถูกมันกิน แต่โชคดีมีมนุษย์ใจดีสามคนผ่านมา พวกเขาสังหารอสูรดุร้ายและช่วยเหลือนางฟ้า แต่นางฟ้าแทนที่จะขอบคุณที่พวกเขาช่วยชีวิต นางกลับเฉยชาไม่แม้แต่จะเหลียวมอง อีกทั้งยังพูดคุยกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา”

“อืม นางฟ้าผู้นี้หยาบคายจัง... เอ๋? ท่านพี่ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน? ท่านพี่เคยเล่าเรื่องนี้มาก่อนใช่มั้ย?” หนิงเสวี่ยยื่นนิ้วจิ้มที่มุมปาก ครุ่นคิดอย่างหนักว่าเคยได้ยินเรื่องนี้ที่ไหน

“หลังจากนั้น นางฟ้าจึงรู้ว่าโลกมนุษย์ช่างอันตราย หัวใจนางหวาดกลัว นางอยากให้มนุษย์ทั้งสามปกป้อง แต่นางอายไม่กล้าเอ่ยคำ มนุษย์ใจดีทั้งสามไม่ถือสาที่นางเคยหยาบคาย พวกเขาเตรียมเตียงและอาหารหลายอย่าง... แต่ชายใจดีคิดไม่ถึงเลยว่า นางฟ้าผู้บอบบางจะกินจุมาก ในคืนเดียวนางกินมากกว่ามนุษย์สามคนรวมกัน และเพราะนางกินมูมมาม ฟูกเตียงเลยเปื้อนด้วยอาหาร” เย่หวูเฉินอดไม่ได้และถอนหายใจอย่างซุกซน

สีหน้าเมิ่งจื่อยิ่งมายิ่งแดงก่ำ แม้ว่ามีผ้าคลุมหน้าบดบัง แต่สีแดงยังเรื่อลามไปถึงใบหูนาง นางแอบเอามือจับไว้ นางจะต้องไม่เผยให้ประจักษ์ตา

“โอ้! ท่านพี่ ข้านึกออกแล้ว นางฟ้าที่ท่านพูดถึงเหมือนกับพี่หญิงเมิ่งเลย” หนิงเสวี่ยเห็นแสงสว่างในฉับพลันแล้วมองที่เมิ่งจื่อผู้กระวนกระวาย

“เปล่านะ...ไม่ใช่ข้า” เมิ่งจื่อสะดุ้งเฮือกและส่ายศีรษะ มองที่เย่หวูเฉินผู้กำลังกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ นางครางเสียงเย็นและขบฟันแน่น นางรีบเบือนใบหน้าแดงหลบออกข้างทาง นางได้แต่โทษความหิวจัดของเมื่อวาน ที่ทำให้นางจัดการอาหารที่เย่หวูเฉินเตรียมไว้ให้จนเรียบ กระนั้นนางยังคงไม่รู้สึกอิ่มดี



<<<PREV    .    NEXT>>>