วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 178

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 178 ทะเลม่วง

เย่หวูเฉินเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาจึงยิ้มน้อยๆแล้วกล่าว “ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง พี่หนานกง แต่ข้ามีหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งต้องไปทำ ทั้งยังเกี่ยวข้องกับภูเขาไฟเทียนเม่ย” เขามองหนิงเสวี่ยที่ตอนนี้มีสีหน้าแดงก่ำ เขาไม่ต้องการรั้งรออีก “พวกเราขอตัว”

เย่หวูเฉินพยักหน้าให้หนานกงเจิ้น จากนั้นเขากับทงซินเดินจากไปอย่างรวดเร็ว หนางกงเจิ้นหันไปมอง ดูคล้ายงุนงงขณะที่มองร่างของพวกเขาจากเบื้องหลัง “หรือว่าพวกเขาจะไปเก็บผลมังกรเพลิงฟ้า?”

นอกจากผลมังกรเพลิงฟ้าแล้ว เขาไม่อาจนึกหาเหตุผลอื่นออก ที่ทำให้พวกเขาต้องเข้าไปยังภูเขาไฟเทียนเม่ยโดยไม่สนใจคำเตือนใดๆ

“ผลมังกรเพลิงฟ้าคือวัตถุในตำนานที่สว่างและร้อนที่สุดใต้ฟ้าและปฐพี หากได้กินมันลงไปจะเพิ่มอำนาจธาตุไฟได้อย่างยิ่งยวด แต่ตำนานนี้สมควรเป็นเพียงเรื่องโกหก ไม่มีผู้ใดสามารถเก็บเกี่ยวมันได้ ดังนั้นจะมีคนที่ทราบผลของมันอย่างไร?” หนานกงเจิ้นมองยังทิศทางที่พวกเขาจากไปและพูดพึมพำกับตัวเอง หลังจากที่เขาส่ายศีรษะ เขาก็มุ่งหน้ากลับไปยังตระกูลหนานกง เขาเป็นบุตรชายคนเล็กสุดของตระกูลหนานกง รวมทั้งยังเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรมากที่สุด ตระกูลนักเวทย์ไม่เหมือนกับพวกตระกูลทหารและการเมืองที่แต่ละตระกูลคอยแข่งขันกัน พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งพลังยุทธและพลังเวทย์ เพราะได้รับอิทธิพลจากเหล่าผู้อาวุโสในตระกูล พวกเขาจะต่อสู้หมั่นเพียรเพื่อไม่ให้ล้าหลังคนอื่นๆในตระกูล

เมื่อพ้นสายตาของหนานกงเจิ้น เย่หวูเฉินมองตาส่งความหมายให้ทงซิน พวกเขาเร่งใช้ความเร็วสูงสุด ด้วยสภาพอากาศรุนแรงเช่นนี้ พลังของเขาควรลดลงอย่างรวดเร็ว แต่เขากลับสัมผัสถึงพลังที่ฟื้นคืนรวดเร็วเกินปกติ จิตใจผ่อนคลายไร้ความกังวลแม้เพียงเล็กน้อย ภูเขาไฟเทียนเม่ย เขาคิดถูกต้องที่มายังสถานที่แห่งนี้ ทุกสิ่งเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์

ยิ่งเข้าใกล้ภูเขาไฟมากขึ้น อุณหภูมิก็ยิ่งรุนแรง ผ่านไปสิบนาทีในที่สุดเย่หวูเฉินก็หยุดลง ทงซินหยุดตามและมองสายตาที่เขา ระยะห่างระหว่างพวกเขากับภูเขาไฟเทียนเม่ยยังคงเหลือพอสมควร

หนิงเสวี่ยหอบหายใจ ลมหายใจของนางร้อนอย่างน่ากลัว เย่หวูเฉินเจ็บปวดในหัวใจ ความเสียใจยิ่งเพิ่มทวีที่ยอมให้นางมาที่นี่ เขากอดหนิงเสวี่ยไว้แน่น สะบัดมือซ้ายวาบแสงสีขาว ก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาปรากฎต่อหน้า นี่คือก้อนน้ำแข็งที่เขาบอกให้ทงซินตัดจากแม่น้ำสวรรค์ใต้

“ทงซิน ผ่ามันออก” เย่หวูเฉินตะโกนขณะที่ลูบใบหน้าของหนิงเสวี่ย

ทงซินเข้าใจที่เขาสั่งและยืนอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว นางยื่นมือขวาออกมา ตวัดผ่านอากาศว่างจากบนลงล่าง แสงสีดำทมิฬวาบออกมา ก้อนน้ำแข็งยักษ์ถูกผ่าครึ่งอย่างเงียบงัน มันกลายเป็นสองเสี่ยงขนาดเท่ากัน นางแยกก้อนน้ำแข็งออกห่างจากกันหนึ่งเมตร

ก้อนน้ำแข็งยักษ์เริ่มละลาย อุณหภูมิโดยรอบพวกเขาเริ่มลดลง แผ่อากาศที่เย็นสบาย เย่หวูเฉินอุ้มหนิงเสวี่ยไปยังกึ่งกลางของน้ำแข็งทั้งสองซีก อากาศเย็นสบายพัดผ่าน ทำให้จิตใจนางปลอดโปร่งในทันที นางสูดหายใจเอาอากาศเย็นเข้าไปอย่างตะกละ สองมือน้อยๆแตะผิวน้ำแข็ง สัมผัสความเย็นอย่างเพลิดเพลิน

เหตุผลที่เย่หวูเฉินน้ำก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่มาจากแม่น้ำสวรรค์ใต้ เพราะเขาล่วงรู้ถึงสถานการณ์เช่นนี้ เขาถอนหายใจบางอย่างโล่งใจ ก้มศีรษะลงแล้วกล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้ากับทงซินรอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปดูข้างหน้านั้นก่อน”

“เอ๋? แต่...” เมื่อได้ยินว่าเขาจะไป หนิงเสวี่ยแทบจะตัวหดลีบลง

“อย่าห่วงเลย ไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าไม่กลัวไฟและความร้อน? เสวี่ยเอ๋อร์ นี่คือระยะไกลสุดที่เจ้าสามารถไปได้ หากข้าพาเจ้าไปด้วย ข้าจะไม่อาจไปต่อได้” เย่หวูเฉินกล่าว

เมื่อได้ยินว่านางจะกลายเป็นตัวถ่วงทำให้เขาช้าลง หนิงเสวี่ยยอมล้มเลิกความอิดออดและกล่าวอย่างกังวล “เช่นนั้น ท่านพี่ต้องรีบกลับมานะ”

เย่หวูเฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม รับคำอย่างมั่นเหมาะ จากนั้นกล่าวกับทงซิน “ปกป้องหนิงเสวี่ยให้ดี หากน้ำแข็งละลายเร็วเกินไป เจ้าจงพานางออกไปจากที่นี่”

หลังพูดจบ เขาไม่รอช้าและมุ่งหน้าตรงไปด้วยความเร็วสูงสุด เมื่อไม่มีหนิงเสวี่ย ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้น เหตุผลที่เขายอมให้หนิงเสวี่ยมาที่นี่ด้วย เพราะเขากังวลว่าอาจมีอันตรายไม่คาดฝัน หากเขาต้องให้ทงซินคอยคุ้มกัน การพาทงซินมาด้วยย่อมหมายถึงต้องพาหนิงเสวี่ยมาด้วยเช่นกัน เพราะเขาไม่อาจปล่อยหนิงเสวี่ยเอาไว้ตามลำพังด้วยกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิด

หากทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดโดยไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยน หลังจากสำรวจภูเขาไฟเทียนเม่ยแล้ว เขาจะกลับไปที่เมืองเหยียนหลงกับหนิงเสวี่ยและทงซินทันที จากนั้นตระเตรียมสิ่งจำเป็นแล้วกลับมาที่นี่อีกครั้งด้วยตัวลำพัง

ผ่านไปหนึ่งนาที เขาเคลื่อนร่างรวดเร็วเป็นเงายาวจนกระทั่งถึงตีนภูเขาไฟเทียนเม่ย เขามองขึ้นไปเบื้องบนปากปล่อง  จากนั้นปีนเขาสูงชันโดยไม่หยุดหย่อน เขารู้สึกได้ถึงดวงตาที่จ้องมองมารางๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นทงซิน เพราะมีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้จากระยะทางไกลถึงเพียงนี้

ภูเขาไฟเทียนเม่ยไม่ได้สูงเสียด มันสูงเพียงประมาณร้อยเมตรเท่านั้น หากแต่กินพื้นที่กว้างขวางขนาดใหญ่ ภูเขาว่างเปล่าเป็นสีแดงทั้งลูก ไร้ต้นไม้หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ มีเพียงเปลวเพลิงเท่านั้นที่ปกคลุมแทบทั้งภูเขา เย่หวูเฉินตะลุยผ่านเพลิงตรงขึ้นไปโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

เพียงเวลาสั้นๆเขาก็มาถึงปากปล่อง เขาก้มลงมองทันทีและต้องตกใจ แม้จะมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากในทวีปเทียนเฉิน ที่สามารถป้องกันตัวเองจนมาถึงจุดนี้ได้ แต่เขาเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อได้มองคราแรกย่อมรู้สึกตกใจ

เบื้องหน้านั้นเป็นสีม่วงน่าขนลุก ของเหลวสีม่วงเข้มข้นแผ่ผืนกว้างหลายร้อยเมตร ราวกับทะเลม่วงลึกที่ปรากฎอยู่ต่อหน้าสายตา

สีของเปลวเพลิงขึ้นอยู่กับความร้อน เพลิงธรรมดาทั่วไปเป็นสีเหลือง เมื่อร้อนขึ้นมันจะเป็นสีส้ม จากนั้นเป็นสีแดง เพลิงที่ร้อนกว่าเพลิงสีแดงคือเพลิงสีฟ้า และร้อนยิ่งกว่านั้นคือเพลิงสีม่วง จากที่ตำนานกล่าว เพลิงสีขาวคือเพลิงที่น่ากลัวยิ่งกว่าเพลิงสีม่วง

ลาวาสีม่วงน่ากลัวจนเหนือคำกล่าว เมื่อชิ้นโลหะถูกโยนลงไป มันหลอมละลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของทะเลทันที แล้วจะเป็นอย่างไรหากแทนที่ด้วยคน? ลาวาสีม่วงไม่สมควรมีตัวตนอยู่ เพราะด้วยอุณหภูมิที่สูงยิ่งยวด มันจะสลายทุกสิ่งกลายเป็นเถ้าและหายไป ไม่ใช่กลายเป็นลาวา ในตอนที่หลินเหยียนใช้พลังทั้งหมดสร้างเพลิงม่วงบนเวที มันได้ทำให้หินอ่อนหายไป กระทั่งพื้นยังยุบหายไปมาก อาจสันนิษฐานได้ว่ามีพลังลึกลับที่สร้างทะเลม่วงนี้ ทำให้ภูเขาไม่ระเหยหายไปด้วยความร้อนรุนแรง

ด้วยอุณหภูมิที่น่าหวาดหวั่น กระทั่งอากาศยังเบาบางจนน่ากลัว อากาศบิดเบือนสั่นไหวด้วยความร้อน และทำให้ภาพที่อยู่เบื้องหน้าเย่หวูเฉินบิดเบี้ยว

เย่หวูเฉินสูดหายใจลึกแล้วก้าวลงไปช้าๆ หลังจากเดินไปสิบกว่าก้าวเขาก็มาถึงขอบทะเลม่วง เขาย่อกายลงและยื่นมือแตะ

มือของเขาจมลงไปในลาวาม่วง... หากนี่เป็นมือของคนทั่วไป มันย่อมสลายหายไปในทันที แต่เย่หวูเฉินรู้สึกอบอุ่นสบายที่ฝ่ามือ เขาไม่ได้ตรวจสอบอุณหภูมิแต่เป็นความหนืดของมัน เมื่อได้ทราบผล มุมปากเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

เขายืนขึ้นมองตรงไปเบื้องหน้า ตรงใจกลางทะเลเพลิงกว้างใหญ่ เขาเห็นจุดสีแดงเด่นสะดุดตา เป็นจุดสีแดงงดงามประหลาดราวกับมีพลังอันอัศจรรย์ มันไม่ถูกทะเลม่วงเผาทำลาย แต่กลับตั้งเด่นราวกับเป็นราชันแห่งท้องทะเลม่วง แม้ว่ามันจะอยู่ไกลมาก แต่มันก็เห็นได้ชัดพอที่คนจะค้นพบมัน

ผลมังกรเพลิงฟ้า!

แม้ว่ามันมีขนาดที่เล็กอย่างยิ่ง แต่มันก็เด่นสะดุดตาจนผู้คนไม่อาจเพิกเฉย เย่หวูเฉินรวบรวมพลังแล้วทะยานเท้า ร่างของเขาเบาราวกับขนนกตรงไปเบื้องหน้า แตะเท้าลงบนทะเลม่วงแล้วก้าวไป แม้เขาไม่สามารถเดินบนผิวน้ำ แต่เขาสามารถเดินบนลาวาที่เหนียวหนืดได้ด้วยความลำบากอยู่บ้าง

เมื่อเดินจนมาถึงตรงใจกลาง ในที่สุดเขาก็เห็นผลมังกรเพลิงฟ้าทั้งลูก รากของมันหยั่งลงไปในทะเลม่วงอันน่ากลัว ก้านยาวเป็นสีม่วง ลุกโชติด้วยเปลวเพลิง ผลเพียงลูกเดียวบนก้านนั้นมีขนาดเท่าเล็บมือ เปล่งแสงสีแดงประหลาด สว่างเจิดจ้าจนไม่สามารถมองได้โดยตรง ด้วยผลที่เล็กถึงเพียงนี้ กลับสามารถทำให้คนพบเห็นได้จากระยะไกลนับร้อยเมตร หากมันเป็นสิ่งธรรมดาในโลกมนุษย์ จะมีผู้ใดเชื่อ?

เย่หวูเฉินไม่ได้มองที่มันนานนัก เหตุผลที่เขามาที่นี่ไม่ได้เป็นเพราะมัน ดูจากสภาพแล้ว หากเด็ดมันออกมาและออกห่างจากต้นกำเนิดเพลิง ผลลูกนี้ย่อมค่อยๆเสื่อมสลายไป

เขาควบคุมน้ำหนักของร่างให้เบาที่สุดขณะยืนอยู่บนใจกลางทะเลม่วง เขากางแขนออกและพึมพำ “ใช่แล้ว... ความรู้สึกนี้ที่พลังล่วงรู้ได้บอกกับข้า...”

ตำแหน่งที่เย่หวูเฉินยืนอยู่คือใจกลางของภูเขาไฟเทียนเม่ยพอดิบพอดี พื้นที่อันน่าสะพรึงกลัว รายรอบด้วยพลังจิตปราณของสวรรค์และปฐพี การดูดซับพวกมันเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถเพิ่มระดับของมนต์หวูเฉิน

จิตปราณของสวรรค์และปฐพีสามารถพบได้ทุกแห่ง แม้ในยามที่เย่หวูเฉินนอนหลับ ร่างกายของเขาก็ยังคงดูดซับจิตปราณเพื่อยกระดับพลัง เพียงแต่จิตปราณเหล่านั้นเบาบางเกินไป การเพิ่มระดับพลังจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า พลังของเขาเลื่อนจากขั้นหนึ่งไปขั้นสองใช้เวลา 17 ปี ด้วยการดูดซับจิตปราณจากธรรมชาติรวมกับจิตปราณของไข่อสูรสวรรค์ หากเขาอาศัยเพียงการดูดซับพลังเพียงธรรมดา เขาไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาแค่ไหนถึงจะเลื่อนพลังถึงขั้นสาม

ดังนั้นเขาจึงต้องการสถานที่ซึ่งมีพลังจิตปราณแห่งสวรรค์และปฐพีหนาแน่น อย่างเช่นภูเขาไฟเทียนเม่ยที่ร้อนที่สุดในทวีปเทียนเฉิน

เป็นไปตามที่คาดการณ์ ภายใต้การดูดซับพลัง ใจกลางภูเขาไฟเทียนเม่ยคล้ายมีปราณลึกลับอบอุ่น พุ่งทะลักทลายเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเทียบกับการดูดซับพลังในที่อื่นๆ ที่นี่รวดเร็วกว่าอยู่หลายเท่า เขารู้สึกถึงความสบายผ่อนคลายในร่างกาย พลังหวูเฉินที่ต้องใช้ประคองร่างลอยบนทะเลม่วงเทียบไม่ได้เลยกับพลังที่คอยฟื้นฟู

ความเร็วในการดูดซับจิตปราณเหนือล้ำอย่างยิ่ง แต่เวลาที่ต้องใช้ในการเลื่อนขั้นพลังหวูเฉินดูคล้ายจะมากกว่าที่เขาคาดการณ์ เขาหลับตาลง สัมผัสพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างเงียบงัน หากสามารถรักษาระดับความเร็วนี้ไว้ได้ ในเวลาสามวันเขาจะบรรลุสู่พลังขั้นที่สาม

เขารู้สึกขอบคุณต่อ “พรกิเลนศักดิ์สิทธิ์” ในความทรงจำ ที่ทำให้เขาไม่เกรงกลัวต่อธาตุทั้งห้า เขาจึงสามารถยืนอยู่อย่างอิสระท่ามกลางทะเลม่วง หากไร้มัน เขาย่อมไร้พลังและไร้ความสามารถ

ทะเลม่วงที่ปกติราบเรียบยามนี้เกิดระลอกคลื่นเล็กน้อยเพราะตัวตนของเขา เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าการดูดซับค่อยๆทวีความรุนแรง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เย่หวูเฉินมองไปรอบๆเตรียมตัวที่จะจากไป เขาบรรลุวัตถุประสงค์ในการสำรวจ และเขาไม่พบสิ่งไม่คาดฝันใดๆ เมื่อเขาส่งหนิงเสวี่ยและทงซินกลับไป เขาจะกลับมาอีกครั้งและยืนอยู่ตรงนี้เงียบๆเป็นเวลาสามวัน

เพียงแต่เมื่อเขากำลังย่างเท้าได้เพียงก้าวเดียว ก็มีเสียงลึกล้ำดังขึ้นข้างหู

“มันผู้ใด... มันผู้ใดดูดซับพลังจิตปราณในสถานที่แห่งนี้...”

[ปล.ขอย่อจากที่เคยใช้คำว่า ‘จิตวิญญาณปราณ’ เป็น ‘จิตปราณ’ เพื่อความกระชับขึ้นครับ]



<<<PREV    .    NEXT>>>