วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 129

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 129 นายน้อยเย่ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

“ท่านควรไปสืบดูว่าก่อนนี้มีใครบ้างที่สัมผัสร่างขององค์จักรพรรดินี ข้าเชี่ยวชาญเรื่องการรักษา กระนั้นก็ยังหมดทางและไม่คู่ควรกับความคาดหวังของพวกท่าน ข้าไม่มีหน้าจะอยู่ต่อ ดังนั้นข้าขอตัว”

ฉุ่ยหนานเหอส่ายศีรษะและหันกายเตรียมจากไป เขาพอทราบสาเหตุของโรคที่จักรพรรดิณีประสบอยู่ ดังนั้นถือว่าเขาบรรลุวัตถุประสงค์ที่มาที่นี่ สำหรับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การหมดหนทางรักษานับว่าเป็นความล้มเหลวและน่าอับอาย เขาไม่คุ้นชินกับคำนี้มาหลายปีแล้ว

เมื่อความหวังสุดท้ายสูญสลายไป สีหน้าของตระกูลหลินต่างหม่นหมอง ราวกับร่วงหล่นลงสู่ก้นเหวลึก พวกเขาไม่มีกะจิตกะใจกล่าวคำลาต่อฉุ่ยหนานเหอ หลินซิวไม่เพียงเป็นน้องสาวของหลินซานและลูกสาวของหลินขวง แต่นางยังเป็นจักรพรรดินีแห่งอาณาจักรเทียนหลง สถานะของนางสำคัญยิ่งยวดต่อตระกูลหลิน หากพวกเขาสูญเสียนางไป อิทธิพลอำนาจย่อมเสื่อมถอยลง

“โปรดรักษาตัวด้วย ท่านเซียน” หลงหยินกล่าวเสียงแผ่ว น้ำเสียงไร้พลัง หลงเจิ้งหยางใบหน้าหม่นหมองและเศร้าตรม ส่วนหลงเจิ้งเยว่ผวาร่างของตนไปที่เตียงของหลินซิวและร้องไห้คร่ำครวญ

เวลานี้เอง มีขันทีรีบเร่งวิ่งเข้ามา คุกเข่าแล้วกล่าว “ฝ่าบาท ท่านหมอหลวงหลี่ขอเข้าพบ เขาแจ้งว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับอาการของจักรพรรดินี”

หลงหยินตาเป็นประกาย “หรือว่าเขาจะพบหนทางรักษา? รีบเรียกเขาเข้ามาเร็ว”

ฉุ่ยหนานเหอที่พึ่งก้าวเท้าถึงปากประตูหยุดเท้าทันที เขากล่าวเสียงเบา “โอ้? ถ้าอย่างนั้น ข้าขออยู่ต่อเพื่อขอคำชี้แนะหน่อยก็แล้วกัน”

หลินซานและหลินขวงสีหน้ายังคงหม่นหมอง พวกเขาไม่รู้สึกตื่นเต้นใดๆกับข่าวนี้ เพราะแม้กระทั่งเทพโอสถแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ยังไม่อาจเยียวยา แล้วนักต้มตุ๋นพวกนี้จะทำอันใดได้ พวกนี้กระทั่งไม่สามารถระบุสาเหตุของโรค แล้วจะสามารถรักษาได้อย่างไร?

หมอหลวงหลี่รีบเร่งเข้ามาข้างใน ปัจจุบันเขามีสถานะอาวุโสสูงสุดในบรรดาหมอหลวงในวัง หากไม่ใช่เวลาเป็นทางการ เขาจะไม่คุกเข่าต่อหน้าหลงหยิน ก่อนที่เขาจะได้อ้าปากกล่าวคำ หลงหยินก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “ท่านหมอหลี่ ท่านพบวิธีรักษาจักรพรรดินีแล้วหรือ?”

หมอหลวงหลี่ส่ายศีรษะ “บ่าวผู้ต่ำต้อยรู้สึกละอายนัก กระทั่งสาเหตุโรคของจักรพรรดินียังไม่อาจระบุ แม้ว่าบ่าวผู้ต่ำต้อยจะไม่อาจทำสิ่งใด แต่ข้าอยากแนะนำคนผู้หนึ่งที่มีทักษะการแพทย์เหนือล้ำ เขาอาจมีวิธีรักษาจักรพรรดินี”

“? เขาเป็นใคร? รีบบอกมาเร็ว! เวลาของจักรพรรดินีเหลือไม่มากแล้ว ต่อให้ข้าต้องลากเขามาก็ต้องทำ บอกข้ามาเร็วเข้า!” หลงหยินกล่าวชี้ไปที่เขา

“เขาคือ... ผู้ที่ข้าจะแนะนำไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนายน้อยแห่งตระกูลเย่ เย่หวูเฉิน” หมอหลวงหลี่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง เขาคือหนึ่งในสามหมอหลวงที่หวังเวิ่นชูเคยเชิญไปรักษาอาการ ‘ความจำเสื่อม’ ของเย่หวูเฉิน และเพียงคำพูดไม่กี่คำของเย่หวูเฉิน ก็ทำให้เขาต้องหมอบราบด้วยความหวาดกลัวและชื่นชม แม้ว่าพวกเขาทั้งสามรับปากเย่หวูเฉินว่าจะเก็บไว้เป็นความลับ แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความเป็นตายของจักรพรรดินี ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเรื่องสัจจะอีกต่อไป

หลงหยินย่นหัวคิ้ว เขาตั้งตัวไม่ทันกับชื่อนี้อย่างเห็นได้ชัด หลินขวงที่เต็มไปด้วยเศร้าหมองแทบจะสาปส่ง “ท่านหลี่ เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความเป็นตายของจักรพรรดินี เหตุใดถึงยังมีอารมณ์มาขบขัน? เจ้าหนุ่มตระกูลเย่นอกจากเรื่องวาดภาพกับเป่าขลุ่ยแล้วจะทำอันใดได้? โรคภัยที่กระทั่งเทพโอสถยังไม่อาจรักษา ท่านกลับแนะนำบุตรชายตระกูลเย่? ท่านจะน่าขำเกินไปแล้ว!”

หมอหลวงหลี่ไม่สนใจ เขากล่าวกับหลงหยินต่อ “ฝ่าบาท บ่าวผู้ต่ำต้อยไม่ได้กล่าวล้อเล่น ฮูหยินเย่ครั้งหนึ่งเคยเชิญข้า , หมอหวัง และหมอจาง เพื่อรักษาอาการความจำเสื่อมของนายน้อยเย่ ก่อนที่พวกเราจะทันได้เริ่มรักษา นายน้อยเย่กลับระบุความเจ็บป่วยประหลาดที่ไม่เคยพบของพวกเราทั้งสามคน ทั้งยังไม่ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว เขากระทั่งบอกวิธีรักษาแก่พวกเราทั้งสาม และเขาสามารถวินิจฉัยได้เพียงแค่ปราดตามอง เป็นทักษะการแพทย์ที่น่าหวั่นกลัว พวกเราทั้งสามไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน ข้าหวาดกลัวอย่างแท้จริงและต้องศิโรราบด้วยความนับถือ เมื่อคิดว่าเขาเป็นตัวตนราวกับเทพสวรรค์ ช่างน่าละอายที่บ่าวผู้ต่ำต้อยเคยคิดว่าฝีมือแพทย์ของตนสูงล้ำเพียงพอ แต่ข้ากลับกลายเป็นเด็กสามขวบเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หวูเฉิน ไม่อาจเปรียบเทียบกันอย่างสิ้นเชิง!”

“เรื่องนี้หมอหวังและหมอจางต่างสามารถเป็นพยาน พวกเราตกลงกับนายน้อยเย่ว่าจะเก็บเป็นความลับ แต่เนื่องจากสถานการณ์เป็นตายของจักรพรรดินี ข้าจึงต้องทำลายสัญญาและกลายเป็นผู้ตระบัดสัตย์ ด้วยทักษะการแพทย์ที่น่ามหัศจรรย์ของเขา บางทีพวกเราอาจสามารถรักษาชีวิตของจักรพรรดินีได้จริงๆ”

หลงหยินตกตะลึง เย่หวูเฉินทำให้เขาแปลกใจอีกครั้ง เขาเริ่มเชื่อแล้วว่าชายหนุ่มน่ากลัวผู้นี้เก็บซ่อนความสามารถมากมายเอาไว้

“กลับมีเด็กหนุ่มเช่นนี้อยู่? ชายชราผู้นี้อยากเห็นด้วยตาตนเองนัก” แสงประหลาดวาบผ่านแววตาของฉุ่ยหนานเหอ เขาหันกายเดินกลับเข้ามาในห้อง ยืนอยู่ตรงมุมเงียบๆราวกับต้นสนในฤดูหนาว ยืนสง่าไม่ไหวติง

“จริงหรือ?” หลงหยินเชื่อเขา แต่อยากได้ยินคำยืนยันอีกครั้ง

“เป็นความจริงอย่างแน่นอน! หมอหวังและหมอจางเองก็ยืนอยู่ด้านนอก ฝ่าบาทสามารถถามพวกเขาได้ บ่าวผู้ต่ำต้อยจะกล่าวคำโดยไม่คิดถึงผลลัพธ์ได้อย่างไร? โดยเฉพาะเรื่องนี้เกี่ยวพันความเป็นตายของจักรพรรดินี” หมอหลี่กล่าวเคร่งขรึม

“เฮอะ! ก็แค่เด็กที่ยังไม่รู้จักโต ต่อให้เขาเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มันจะสักแค่ไหนกัน? อย่าบอกข้านะว่าเขาเหนือล้ำกว่าผู้อาวุโสเทพโอสถ! ฝ่าบาท เรื่องนี้ต้องมีสาเหตุเพราะใครบางคน ในเมื่อพวกเราไม่อาจหลีกเลี่ยงผลลัพธ์น่าเศร้า แม้ว่าข้าเจ็บปวดหัวใจแทบสลาย ข้าก็จะต้องใช้ทุกวิธีการควานหาตัวผู้กระทำมาให้จงได้ โปรดอนุญาตข้าด้วย ฝ่าบาท” หลินขวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกพร้อมกับก้มศีรษะ เขาไม่เชื่อว่าเย่หวูเฉินจะมีความสามารถรักษาหลินซิวได้ เขาไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด ถ้อยคำของเขาเป็นที่เข้าใจโดยผู้คนที่อยู่ตรงนี้ กระทั่งเทพโอสถยังไม่อาจทำสิ่งใด ต่อให้คนที่อายุน้อยกว่ายี่สิบปีจะมีทักษะการรักษา เขาจะมีฝีมือสูงส่งกว่าเทพโอสถในตำนานจริงๆหรือ?

หลงเจิ้งเยว่ที่ก้มศีรษะร้องไห้กล่าวด้วยเสียงสะอื้น “เสด็จพ่อ กระทั่งท่านเซียนยังไม่อาจทำสิ่งใด เสด็จแม่ย่อมไม่อาจรักษาได้อย่างแท้จริง โปรดอนุญาตให้โอรสของท่านและท่านตาของเขาสืบสวนทั่วราชวังเพื่อจับตัวผู้ต้องสงสัย”

หลงเจิ้งหยางขยับไปเบื้องหน้าแล้วกล่าว “เสด็จพ่อ ข้าว่าเราควรเชิญนายน้อยเย่มาลองดูก่อน ทั้งทักษะการวาดและการเป่าขลุ่ยของเขาบรรลุเขตขั้นตำนาน เรื่องนี้มีคนนับพันเป็นพยาน ทักษะการรักษาของเขาอาจเป็นเช่นเดียวกันก็เป็นได้ อีกอย่าง เขาถึงขนาดทำให้ท่านหมอหลี่ที่มีทักษะรักษาขั้นสูงแนะนำ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตพระมารดา อย่างน้อยเราก็ควรลองดู หากนายน้อยเย่ไม่สามารถช่วยได้ เช่นนั้นเราค่อยหาวิธีอื่น เราไม่ควรด่วนตัดสินว่านายน้อยเย่ไม่อาจรักษา ในตอนนั้นเมื่อนายน้อยเย่แสดงฝีมือบนเวที กี่ครั้งแล้วที่เขาทำให้พวกเราต้องตะลึง? ครั้งนี้ใครจะรู้ เขาอาจทำให้เราแปลกใจอีกครั้ง”

หลงหยินผงกศีรษะ เขากล่าวเสียงเบา “หยางเอ๋อร์ รีบไปที่ตระกูลเย่ ไปพาเขามาที่นี่ด้วยตนเอง”

“ตกลง เสด็จพ่อ!” หลงเจิ้งหยางรับคำแล้วรีบออกไป

..............................

เย่หวูเฉินนั่งอยู่หน้ากระดานวาดและหลับตาลงครึ่งหนึ่ง มือขวาของเขาวาดภาพขยุกขยิกอยู่บนกระดาษเบื้องหน้า ไม่ทราบว่าเขากำลังวาดสิ่งใด ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ไม่ไกลจากตน หนิงเสวี่ยและทงซินนั่งอยู่บนเตียงนุ่ม กำลังเล่นกระดาษหลากสีในมือตน หนิงเสวี่ยสอนทงซินให้ทำดอกไม้กระดาษ ทงซินเรียนรู้อย่างรวดเร็วและจริงจัง ด้วยความชำนาญการใช้กริช มือของนางจึงคล่องแคล่ว

“นายน้อย! นายน้อย องค์ชายรัชทายาทเสด็จมา เขาต้องการพบท่าน เขารออยู่ในห้องโถง” ด้านนอกประตูมีเสียงตะโกนเร่งรีบของเย่ซี เย่หวูเฉินหยุดพู่กันในมือ เขาวาดภาพนี้มาตลอดเช้าและหยุดพู่กันขณะที่วาดเสร็จสมบูรณ์

“บอกองค์ชายว่าข้ากำลังจะออกไป” เขาวางพู่กันลง จากนั้นเคลื่อนมือผ่านกระดาษทำให้น้ำหมึกแห้งอย่างง่ายดาย

“ขอรับ!” เย่ซีตอบคำแล้วออกไป

เย่หวูเฉินม้วนภาพวาดอย่างทะนุถนอมแล้วมัดด้วยด้ายสีแดง เขายิ้มแล้วกล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ พี่ชายมีบางอย่างต้องไปทำ ข้าจะออกไปข้างนอก เจ้าไปเล่นที่สวนพี่สาว แล้วก็ ช่วยเอาภาพนี้ไปให้นางที”

“อื้ม ตกลง” หนิงเสวี่ยวางกระดาษในมือลง นั่งลงที่มุมเตียง ยิ้มหวานและแกว่งเท้าเปล่าไร้มนทิณ เย่หวูเฉินรู้ว่านางคิดสิ่งใดและยิ้มบาง เขาตรงไปหาแล้วใส่ถุงเท้าและรองเท้าให้ เขาวางม้วนภาพในมือนาง “ข้าคงจะกลับมาในเวลาไม่นาน แต่หากข้ากลับมาช้า เจ้าอยู่ทานอาหารกับพี่สาวได้เลย”

“อื้ม ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

หลังจากหนิงเสวี่ยออกไป เย่หวูเฉินช่วยทงซินใส่ถุงเท้าและรองเท้าด้วยเช่นกัน เขากล่าว “ทงซิน วันนี้ข้าจะพาเจ้าเข้าวัง แต่เจ้าต้องซ่อนตัวอย่าให้ใครเห็น”

เมื่อเย่หวูเฉินมาถึงที่ห้องโถง หลงเจิ้งหยางกำลังเดินกลับไปกลับมาอย่างกังวล เมื่อเห็นเขาเข้ามา หลงเจิ้งหยางไม่มีเวลาทักทายและลากเขาออกจากห้อง “น้องเย่ มารดาข้าเจ็บป่วยร้ายแรง นางอาจตายได้ทุกเวลา เจ้าต้องรีบมากับข้าไปที่วัง ข้าเตรียมม้าเอาไว้แล้ว”

“แต่....”

“น้องเย่โปรดอย่าปฏิเสธ เจ้าเป็นศิษย์ของเทพกระบี่ ทักษะการรักษาของเจ้าสมควรสูงส่งเกินคนธรรมดา หมอหลวงหลี่ยังถึงขนาดแนะนำเจ้า ชีวิตของมารดาข้าอยู่ในมือเจ้าแล้ว หากเจ้าช่วยนางสำเร็จ เจ้าจะกลายเป็นผู้มีพระคุณ หากเจ้าล้มเหลว จะไม่มีใครตำหนิเจ้า” ขณะที่พูด หลงเจิ้งหยางก็ลากเขาออกมาถึงประตู มีม้าสองตัวรออยู่ข้างนอก

“ตกลง ข้าได้ยินข่าวว่าจักรพรรดินีป่วยหนัก ข้าเคยเรียนวิชาแพทย์มาบ้าง ในเมื่อพี่หลงมาหาข้าถึงที่นี่ ข้าย่อมพยายามอย่างดีที่สุด”

เย่หวูเฉินกระโดดขึ้นบนหลังม้าพร้อมกับหลงเจิ้งหยาง จากนั้นควบม้าออกไป

..................................

“พี่หญิง ท่านพี่ให้ข้าเอาภาพวาดนี้มาให้ท่าน” หนิงเสวี่ยยืนบนปลายเท้า ยื่นม้วนภาพที่เย่หวูเฉินวาดขึ้นไปสุดมือ เย่ฉุ่ยเหยาสูงเท่าๆกับเย่หวูเฉิน นางสูงกว่าเขาเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อหนิงเสวี่ยยืนตรงจึงสูงเพียงเอวของนาง

เมื่อเย่ฉุ่ยเหยารับภาพวาดมา สายตานางฉายแววซับซ้อนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางค่อยๆคลี่ม้วนภาพออก

ในรูปเป็นสองบุคคล เป็นตัวตนที่นางคุ้นเคยที่สุด...คือตัวนางเองกับน้องชาย ในภาพวาดนั้น ร่างปวกเปียกของนางพิงซบไหล่ของเย่หวูเฉิน ใบหน้าของนางช่างแตกต่างและโปรยด้วยรอยยิ้มงาม มือของเย่หวูเฉินจับที่เอวนาง จี้เอวด้วยใบหน้าซุกซนและยิ้มพึงใจ

ภาพวาดนี้ช่างคุ้นเคยนัก แสนเป็นธรรมชาติ ราวกับฉากวันนั้นปรากฎแก่สายตาอีกครั้ง ทั้งไม่อาจลบเลือนออกได้เลย หัวใจด้านชาของเย่ฉุ่ยเหยาถูกกระตุ้นสั่นไหว ในใจฉายภาพของพวกเขาวันนั้นอีกครา... น้ำเสียงของเขาและทุกการกระทำ ทุกสีหน้าที่เขาแสดง....

“ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก? เจ้าไม่รู้หรือว่านี่มันอันตราย...” ราวกับนางสูญเสียวิญญาณในฉับพลัน พึมพำเหม่อลอย แนบภาพกับอกโดยไม่รู้ตัว นางหลับตาและระงับหัวใจที่จู่ๆก็สับสนและเจ็บปวด

“พี่หญิง พี่ชายวาดรูปอะไรเหรอ? ขอข้าดูหน่อยสิ” หนิงเสวี่ยเขย่งสุดปลายเท้า อยากเห็นภาพวาดในมือเย่ฉุ่ยเหยา โชคร้ายที่นางตัวเล็กเกินไปและไม่อาจมองเห็น

เย่ฉุ่ยเหยาม้วนกระดาษในมือแล้วถามเสียงเบา “เขากำลังทำอะไรอยู่?”

“เอ๋? ท่านพี่เหรอ? ท่านพี่ออกไปข้างนอก ตอนนี้เขาคงอยู่ในวัง... ดูเหมือนมีเรื่องด่วนมาก” หนิงเสวี่ยตอบซื่อๆ

“.........”

นางไม่ถามต่อแล้วยืนถือภาพ ในใจนางสับสน ไม่ทราบว่าตนควรทำอย่างไร ยิ่งนางคิด ยิ่งคล้ายจะสูญเสียจิตใจ



<<<PREV    .    NEXT>>>