วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 149

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 149 หมาป่าวายุโลหิต

เย่หวูเฉินกำมือแน่น ใช้เวลาครู่หนึ่งระงับจิตใจ จากนั้นมองซ้ายขวาและด้านบน เขาเอ่ยเสียงต่ำ “นี่คือค่ายกล!”

“ค่ายกล?”

“ถูกต้อง ห้าด้านจากผังแปดทิศนี้ ร้อยเรียงต่างจากศาตร์ประตูกลโบราณ ซึ่งไม่ใช่ค่ายกลเวทย์ประเภทลวงตา แต่เป็นค่ายกลสนามพลัง ต้องทำลายโดยใช้สนามพลังอื่นเท่านั้น หากผู้ที่เข้ามาไม่มีพลังแกร่งกล้าเพียงพอ ก็แทบหมดโอกาสที่จะออกไป” เย่หวูเฉินกล่าวอย่างเคร่งเครียด ขณะเดียวกันเขาปลดปล่อยไอปราณ เขาเชื่อว่าทงซินต้องอยู่ไม่ไกล และนางย่อมตรวจจับตำแหน่งของเขาได้

เมิ่งจื่อไม่เข้าใจสิ่งที่เย่หวูเฉินกล่าว ทั้งผังแปดทิศและศาสตร์ประตูกลโบราณ แต่การหายตัวไปของหนิงเสวี่ยและทงซิน รวมทั้งคลื่นพลังประหลาดที่ยิ่งมายิ่งกล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นางเชื่อคำพูดของเย่หวูเฉิน จิตสัมผัสของนางไม่ได้คมกล้าเท่าเย่หวูเฉิน นางจะตรวจพบได้ต้องเพ่งจิตสัมผัสอย่างตั้งใจ

นางดีดเท้าเหินร่างงดงามขึ้นไปเบื้องบน เมื่อเย่หวูเฉินเห็นเข้าก็ตะโกน “ช้าก่อน”

เขาเตือนนางช้าเกินไป ศีรษะของเมิ่งจื่อกระแทกเข้ากับกำแพงล่องหน พลังของนางถูกสูบกลืนโดยไร้สัญญาณเตือน นางร่วงหล่นลงมาบนพื้น

นึกถึงความยโสของนางเมื่อคราวก่อน เย่หวูเฉินไม่เข้าไปช่วยนาง เขากลับส่ายศีรษะแล้วกล่าว “ในเมื่อเป็นค่ายกลเวทย์ มันจะมีทางออกด้านบนได้อย่างไร แน่นอนย่อมมีสิ่งกีดกั้น ท่านอ่อนประสบการณ์ยิ่งนัก”

เมิ่งจื่อลุกขึ้นจากพื้น ไม่กล่าวคำหรือมองมาที่เขา นางเดินตรงไปเบื้องหน้า

“จะเป็นการดีหากท่านยืนนิ่งๆอยู่กับที่ ไม่เช่นนั้นหากท่านยังขืนเดินต่อไป ท่านอาจไม่ได้พบใครอีกเลย ขอข้าคิดวิธีหาออกครู่หนึ่งก่อน” เย่หวูเฉินหลับตาลงครึ่งหนึ่งขณะเอ่ยเสียงเย็นชา เขาไม่ห่วงทงซินและหนิงเสวี่ย พวกนางจับมือกันไว้ย่อมไม่พลัดหลงกัน ด้วยความสามารถของทงซิน ค่ายกลนี้ย่อมยากที่จะขังนาง แผนของเขาคืออยู่กับที่รอทงซิน เพราะหากก้าวเท้าเดินต่อ เขาอาจเจออันตรายไม่คาดฝัน

เมิ่งจื่อหยุดเท้ากระพริบตาปริบ ในที่สุดนางก็ไม่สืบเท้าต่อ ใบหน้าชำเลืองมองมาที่เขาสองสามครั้ง หลังจากเดินทางด้วยกันมาหลายวัน ภาพของเย่หวูเฉินที่นางมักเห็นคือสุขุมและอ่อนโยน

ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ เย่หวูเฉินพลันเปิดตาขึ้น สายตาจับจ้องไปทางซ้ายมือ เขาขบฟันแน่นและลอบพึมพำ “เร็วมาก... แย่แล้ว!”

เขาไม่มีเวลาคิด ตะบันความเร็วสูงสุดเร่งเข้าหาเมิ่งจื่อ ชั่วขณะเดียวกัน หมาป่าสีแดงขนาดมหึมายาวกว่า 5 เมตร พุ่งพรวดออกมาจากป่า มันแยกเขี้ยวส่องประกายราวน้ำแข็ง มันพุ่งเข้าหาพวกเขารวดเร็วยิ่งยวดราววายุสีเลือด ก่อนที่มันจะเข้ามาถึง ไอปราณน่าครั่นคร้ามของสัตว์อสูรก็แผ่กดดันคลุมร่างของพวกเขา

“หมาป่าวายุโลหิต!” กายาสีแดง , ดวงตาสีแดง , ร่างกายขนาดใหญ่ เมิ่งจื่อตะโกนชื่อมันด้วยความตกใจ ชื่อของมันรู้จักกันทั่วเพราะมันคือสัตว์อสูรที่เร็วที่สุดในทวีปเทียนเฉิน ไม่มีใครสามารถไล่ทันหรือสังหารอสูรชนิดนี้ได้

ในบรรดาธาตุทั้งห้าคือ วารี , อัคคี , วายุ , อัคนีและปฐพี อัคคีธาตุและอัสนีธาตุนั้นทรงพลังที่สุด ปฐพีธาตุมีพลังป้องกันสูงสุด วารีธาตุควบคุมง่ายที่สุด วายุธาตุรวดเร็วที่สุด หมาป่าวายุโลหิตนับว่าเป็นจ้าวอสูรขอบเขตวิญญาณ มันมีความเร็วระดับสูงสุดและร่างกายที่ยืดหยุ่น แม้แต่ยอดฝีมือชั้นฟ้า หรืออสูรสวรรค์ก็ไม่อาจทำอันตรายใดๆต่อมัน การโจมตีมันนั้นยากเย็นยิ่ง สัตว์อสูรที่บรรลุขอบเขตวิญญาณจะมีจิตสัมผัสและสติปัญญาระดับสูง พวกมันจะไม่จู่โจมส่งเดช หากศัตรูแข็งแกร่งกว่า มันจะรีบใช้ความเร็วสูงสุดหนีไป หมาป่าวายุโลหิตสามารถทิ้งศัตรูไว้เบื้องหลังจนไม่เห็นฝุ่น

ความเร็วของหมาป่าวายุโลหิตทำให้เย่หวูเฉินตกตะลึงอย่างหนัก แม้มันเร็วไม่เท่าเขาแต่ก็ต่างกันไม่มากนัก หากอยู่เพียงลำพังเขาสามารถใช้ว่องไวและอาศัยต้นไม้เพื่อรับมืออสรูตัวนี้ แต่เมิ่งจื่อทำให้เขาช้าลง ทางเลือกเดียวของเขาในยามนี้...คือหนี!

เขามาถึงข้างกายของเมิ่งจื่อ ยังไม่ทันตกใจเขาก็คว้าเอวบางนางไว้ เขาทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว หลบหลีกต้นไม้น้อยใหญ่ หมาป่าวายุโลหิตไล่กวดติดตามอยู่เบื้องหลัง เพราะหอบหิ้วบุคคลอีกหนึ่งไป เขาจึงช้าลงอย่างชัดเจน ยามนี้บุรุษและหมาป่ามีความเร็วเสมอกัน

เมื่อติดอยู่ในค่ายกลย่อมง่ายที่จะหลงทาง แต่หมาป่าวายุโลหิตอาศัยอยู่ที่นี้จนคุ้นเคย ความเร็วมันเหนือล้ำ แต่เห็นได้ชัดว่ามันวิ่งตามเส้นทางที่เย่หวูเฉินผ่านไป มันไม่ยอมปล่อยให้เย่หวูเฉินคลาดสายตา

เสียงลมหวีดกระทบหู เมิ่งจื่อคืนสติกลับ หลังโง่งมเป็นหินอยู่ครู่หนึ่ง นางเริ่มบิดร่างดิ้นรน “ปล่อย...ปล่อยข้านะ!”

เย่หวูเฉินรัดร่างของนางแน่นขึ้น “ท่านอยากตายหรือไง!?”

“ปล่อยข้านะ ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าแตะต้องร่างกายข้า!”

ตูม!

พลังหนักพุ่งกระทบ เมิ่งจื่อรวมพลังทั้งหมดผลักเย่หวูเฉินออก เย่หวูเฉินใช้พลังทั้งหมดรักษาความเร็ว ดังนั้นเมื่อถูกเมิ่งจื่อผลัก เขาไร้พลังต้านทานและปลิวออกไป เขาบาดเจ็บภายในเล็กน้อย

“นางสตรีไร้เหตุผล!” เย่หวูเฉินกุมอกขณะยืนขึ้น เพียงพบว่าหมาป่าวายุโลหิตโดดโค้งลอยสูง กางกรงเล็บหวดฟาดลงมา เมิ่งจื่อขวัญผวาอย่างชัดเจน

เย่หวูเฉินพลันตระหนก พุ่งไปเบื้องหน้าไร้ลังเล ในเสี้ยววิกฤตเขาผลักร่างนางออกไป ร่างหมาป่าใหญ่โตมาก คมเล็บจึงตวัดพลาดร่างของเมิ่งจื่อ แต่นางยังถูกตวัดเฉี่ยวที่เท้าขวาเป็นรอยลึกสามแผล ส่วนไหล่ซ้ายของเย่หวูเฉินถูกกรงเล็บเช่นกัน ความเจ็บปวดชำแรกบาดใจ

เย่หวูเฉินกัดฟันแน่นทะยานต่อไม่หยุดอยู่ เขารวบเมิ่งจื่อขึ้นจากพื้นอีกครั้ง ฝืนความเจ็บปวดและทะยานร่างอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่กล้าแบ่งพลังรักษาแผล ไม่เช่นนั้นความเร็วเขาจะลดลง และทำให้หมาป่าวายุโลหิตตามทันในเวลาไม่นาน

“สตรีไร้เหตุผล เจ้าพอใจแล้วหรือยัง?!” เย่หวูเฉินกัดฟันกล่าวน้ำเสียงทะมึน แผลกรงเล็บนับเป็นการเจ็บหนักที่สุดตั้งแต่เขามายังทวีปเทียนเฉิน ทั้งหมดเป็นเพราะเมิ่งจื่อผู้ไร้เหตุผล

ยิ่งได้กลิ่นเลือด หมาป่าวายุโลหิตยิ่งกระเหี้ยนกระหือ มันไล่หลังกวดติดตามมาไกล มันสับสนที่ไม่อาจไล่ทัน มันทะยานร่างพุ่งใส่เหมือนพายุหมุน

สัมผัสเสียงลมจากด้านหลัง เย่หวูเฉินสายตาวาบไหวแล้วกดร่างเมิ่งจื่อลงพื้น ก่อนที่เมิ่งจื่อจะทันตกใจ พายุเกรี้ยวกราดก็กระแทกใส่หลังของเย่หวูเฉิน หากเมิ่งจื่ออยู่บนหลังและถูกพายุลมเฉือนเหมือนกระบี่นี้ ย่อมเกิดแผลนับร้อยบนร่างของนาง แต่เมื่อมันถูกร่างของเย่หวูเฉิน มันกลับคล้ายหยดน้ำที่ถูกดูดซับด้วยสำลี มันหายไปอย่างประหลาดกระทั่งเสื้อตรงหลังยังไร้รอยฉีกขาดใดๆ

เย่หวูเฉินอาจเพิกเฉยต่อพลังธาตุลม แต่เขายังคงโดนพลังกระแทก ภายใต้พลังวายุ คนทั้งสองถูกพัดปลิวไปกว่าสิบเมตร พวกเขาคว้าจับร่างของกันไว้

เมิ่งจื่อตัวแข็งทื่อเป็นหิน ร่างนางกลิ้งไม่อาจควบคุม สิ่งเดียวที่เห็นคือเย่หวูเฉินกอดรัดนางไว้แน่น ใบหน้าของเขาแทบจะแนบติดหน้านาง สีหน้าเขายังมั่นคง เขาไม่ได้มองนาง แต่จ้องตรึงที่หมาป่าวายุโลหิตที่กำลังห่างออกไปเรื่อยๆ ชั่วขณะนั่นเมิ่งจื่อไม่รู้สึกเจ็บปวดที่เท้าใดๆ นางกระทั่งลืมหมาป่าวายุโลหิต ในใจนางว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง 

เมื่อครู่นี้ เขาช่วยนางไว้โดยไม่คำนึงสิ่งใด เพราะอะไรกัน...

เมื่อพวกเขาหยุดกลิ้ง เย่หวูเฉินหยิบอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าสามลูกอยู่ในมือ เขาเขวี้ยงมันใส่หมาป่าวายุโลหิต

ก่อนหน้านี้พวกเขาอยู่ใกล้อสูรตัวนี้เกินไป หากเขาโยนอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าออกไปย่อมกระทบถึงพวกตน ลมพายุจากหมาป่าวายุโลหิตแทนที่จะทำร้ายกลับส่งพวกเขาออกไปไกล ดังนั้นเย่หวูเฉินจึงคว้าโอกาสนี้ซัดอัสนีลั่นสามลูกใส่หัวของมัน จากนั้นกดร่างของเมิ่งจื่อไว้เพื่อปกป้องนาง

ลูกกลมดำเล็กๆสามลูกไม่นับเป็นภัยคุกคามต่อหมาป่าวายุโลหิต มันแลมองและคร้านที่จะใส่ใจ และพุ่งตรงเข้ามาพร้อมคำราม

ตู้มม!!

อัสนีลั่นสามลูกระเบิดตรงหน้าผากของหมาป่าวายุโลหิต มันร้องโหยหวนเจ็บปวด แม้มันจะเร็วเหนือล้ำแต่พลังป้องกันไม่อาจเทียบได้กับอสูรเขาเดียว ทั้งมันยังไม่ทันระวังตัว เมื่อถูกระเบิดติดต่อกันกะโหลกจึงแตก มันล้มไถลลงกับพื้นขณะที่วิ่งมา

หมาป่าวายุโลหิตไม่สิ้นใจในทันที ร่างมหึมาของมันบิดงอคดคู้ สั่นกระตุกเพราะเจ็บปวดสาหัส เสียงครวญครางยิ่งเบาลง ใต้ร่างใหญ่โตกลายเป็นแอ่งเลือดเจิ่งนอง

เย่หวูเฉินถอนหายใจโล่งอก จากที่ทับร่างของเมิ่งจื่อเขาค่อยๆยืนขึ้น ยันต้นไม้ขณะยืนอย่างเหนื่อยแรง ตั้งแต่มายังทวีปเทียนเฉินนี่เป็นครั้งที่ห้าที่เขาเผชิญกับศัตรูแกร่งกล้ากว่าตน ครั้งแรกคือเผชิญหน้ากับฮั่วเจิ้นเทียนผู้มีพลังระดับขอบเขตวิญญาณ เอาชนะโดยใช้เล่ห์นิสัยปิดโอกาสไม่ให้เขาใช้อัสนีลั่น ครั้งที่สองคือหลินเหยียนพ่ายเพราะร่างต้านทานไฟ ครั้งที่สามคือเถาไปไปผู้ถูกสังหารโดยทงซิน ครั้งที่สี่คืออสูรเขาเดียวซึ่งถูกปลิดชีพโดยทงซินเช่นกัน และตอนนี้หมาป่าวายุโลหิต ซึ่งเขาเผชิญหน้าโดยไม่หวั่นเกรง อาศัยอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าเข้าจัดการ

มองมือสองข้างแล้วถอนหายใจ เมื่อไหร่หนอที่พลังตนจะบรรลุถึงขั้นรับมือกับโลกหล้าได้อย่างสบายใจ

เมื่อตรวจดูจนแน่ใจว่าหมาป่ายักษ์ตัวนี้ไม่อาจลุกได้อีก เย่หวูเฉินหันร่างยื่นมือช่วยเมิ่งจื่อที่พยายามหยัดยืน เมิ่งจื่อผงะเล็กน้อย นางตะโกนอย่างสับสนเย็นชา “อย่าแตะต้องข้า! ข้ายืนเองได้”

เย่หวูเฉินสีหน้าทะมึนลง เมิ่งจื่อใจเต้นกระตุก เขาไม่สนใจที่นางขัดขืนแล้วจับแขนนางดึงขึ้น เขากดไหล่นางกับต้นไม้แล้วกล่าวเฉียบขาด “ถ้าข้าแตะต้องท่าน แล้วท่านจะทำอะไรข้าได้?!”

“เจ้า... ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”

“หุบปาก...” เย่หวูเฉินสีหน้ายิ่งทะมึนขึ้น “หลายวันมานี้ไม่เพียงพวกเราช่วยชีวิตท่านไว้ กระทั่งอาหาร , น้ำดื่ม , ที่พัก , ความปลอดภัย พวกเราก็มอบให้ ท่านยังหยาบคายไม่ขอบคุณพวกเราสักคำ กระทั่งสีหน้ายังเย็นชาห่างเหิน ตอนนี้ข้าช่วยชีวิตท่านอีกครั้ง หากไม่ใช่เป็นเพราะท่าน พวกเราก็ไม่ต้องบาดเจ็บ ท่านยังมีหน้ากล้าโมโหใส่ข้า!? เพื่อแก้เบื่อ ข้าถึงเรียกท่านว่านางเซียน ท่านคิดจริงๆหรือว่าตนเองคือเซียนฟ้า? ข้าจะบอกให้ว่าทำไมถึงดูแลท่านตลอดทาง เพราะว่าข้าเวทนา เหมือนเก็บลูกสุนัขหรือลูกแมวที่เกือบถูกหมาป่ากัดกิน ในสายตาข้า ท่านไม่ต่างไปจากเด็กหญิงเล็กๆที่ดื้อด้านหัวรั้น”

“เจ้า!”



<<<PREV    .    NEXT>>>