วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 144

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 144 พบกันคราแรก

ตะวันสูงโด่งอากาศแจ่มใส สายลมเย็นฤดูไม้ร่วงพัดเอื่อย เย่หวูเฉินเดินทางโดยไม่หยุดยั้งมุ่งหน้าลงใต้ เขาเดินทางโดยไม่ใช้แผนที่ เพราะแทบทุกคนต่างรู้ว่าภูเขาไฟเทียนเม่ยตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอาณาจักรเทียนหลง แน่นอนว่าเขาไม่ได้เสี่ยงชีวิตไปที่นั่นเพื่อหลงหยินกับหลินซิว แต่เป็นเพื่อตัวเขาเอง มันคือสถานที่ร้อนที่สุดในทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน

หนิงเสวี่ยและทงซินเงียบเป็นพิเศษในระหว่างเดินทาง ทงซินอยากส่งเสียงแต่ไม่อาจทำ มือเล็กๆของนางเกาหลังของเขาอย่างซุกซน หนิงเสวี่ยพิงร่างบนอก หลับแล้วตื่น ตื่นแล้วก็หลับ แม้เย่หวูเฉินจะสงสัยเรื่องที่นางมักหลับนอน แต่ตอนนี้เขาเคยชินแล้ว ในมือจับเล่นหยกที่ฮั่วฉุ่ยโหรวสวมให้เขาที่คอ

เป็นหยกรูปแหวน ขนาดพอประมาณจับในมือ ใต้แสงตะวันหยกสะท้อนแสงหลายเฉด  แม้ยามตะวันถูกบดบังหลังเมฆ มันยังคงสะท้อนแสงหลากสี

“หยกหลากสี? มันทำมาจากสิ่งใด?”

เมื่อมองยังจี้หยก ใบหน้าเอียงอายของฮั่วฉุ่ยโหรวก็ปรากฏในใจเขา รอยยิ้มนุ่มนวลที่ไม่มีวันลบเลือน หัวใจรู้สึกอบอุ่นบางเบา เขารื่นรมณ์กับการเอาใจใส่และถูกเอาใจ แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักกันเพียงเวลาสั้นๆ สัมพันธ์ลึกซึ้งก็ผูกพันกันไว้โดยไม่รู้ตัว

เส้นทางไปแดนใต้ยาวไกลนัก เย่หวูเฉินพักครู่หนึ่งแล้วเดินทางต่อ ราวกับการเดินทางเที่ยวชม เขาไม่ชักช้าเสียเวลาเดินทาง แต่เขาก็ไม่รีบร้อนเช่นกัน

สามวันผ่านไป

เขตรอบนอกนี้เปล่าเปลี่ยว มีผู้คนจำนวนน้อยนิดที่ผ่านไปมาในพื้นที่นี้ ขณะที่มุ่งตรงไปข้างหน้า เสียงน้ำกระทบค่อยๆดังชัดขึ้นเรื่อยๆ หนิงเสวี่ยที่หลับตื้นเปลือกตาขยับ จากนั้นค่อยๆลืมตาขึ้น เมื่อเย่หวูเฉินรู้สึกว่านางขยับตัว เขาก้มศีรษะลงแล้วกล่าวอย่างรักใคร่ “ตัวขี้เซา เจ้าตื่นแล้วหรือ?”

หนิงเสวี่ยยื่นจมูกออกมาประท้วง “ข้าไม่ใช่ตัวขี้เซา เป็นเพราะว่าอกของท่านพี่สบายเกินไปต่างหาก ข้าถึงรู้สึกง่วงอยู่เรื่อย... ท่านพี่ ข้าได้ยินเสียงน้ำไหล ข้าอยากไปอาบน้ำที่ลำธาร พี่หญิงทงซินก็คงอยากอาบด้วย ม้าตัวนี้เดินมาไกลมากแล้ว มันคงอยากกินหญ้าด้วยเช่นกัน”

เย่หวูเฉินแหงนศีรษะมองฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆ เขาส่ายศีรษะแล้วกล่าว “คืนนี้พวกเราจะไปถึงเมืองเซียงหยุน เจ้าจะได้อาบน้ำที่นั่น ตกลงมั้ย? ตอนนี้...ฝนกำลังจะตก พวกเราต้องหาที่หลบฝนก่อน”

“ฝน?” ใบหน้าของหนิงเสวี่ยเผยรอยยิ้มดีใจ “ข้าชอบฝนที่สุด!”

นางไม่เคยสงสัยถ้อยคำของพี่ชาย และนางเชื่อว่าเมื่อเขาพูดว่าฝนตก ฝนก็ต้องตกจริงๆ

ตรงไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็เจอกระท่อมเล็กๆอยู่ด้านขวา เย่หวูเฉินหันม้าแล้วตรงเข้าไป ขณะเดียวกันเขาแลมองที่ด้านหลัง

เป็นกระท่อมร้างเล็กๆ ข้างในปูด้วยฟางแห้ง แต่ยังคงดูสะอาดตา เย่หวูเฉินผูกม้าไว้ที่ประตู จากนั้นพาหนิงเสวี่ยกับทงซินเข้าไปด้านใน หลังจากเข้าไปไม่นานนัก สายลมเย็นก็พัดมาจริงๆ ตามด้วยเสียงฟ้าคำรามฤดูใบไม้ร่วง สายฝนเริ่มตกกระทบเสียงดัง

“เสวี่ยเอ๋อร์ ทงซิน พวกเจ้าหิวรึยัง?”

หนิงเสวี่ยและทงซินนั่งบนฟาง พิงอกของเย่หวูเฉินทั้งซ้ายและขวา ฟังสำเนียงเสียงฝนและฟ้าคำราม ขดกอดในร่างเขา ทงซินรู้สึกสบายจนง่วงนอน

“ยังไม่หิว ข้าแค่กระหายน้ำ” หนิงเสวี่ยแตะมือที่ริมฝีปากแห้ง

“เอ้านี่” เย่หวูเฉินนำถุงน้ำออกจากแหวนเทพกระบี่แล้ววางบนมือหนิงเสวี่ย จากนั้นหันไปหาทงซินแล้วถาม “ทงซิน เจ้ากระหายน้ำหรือเปล่า?”

ทงซินกระพริบตา ไม่สั่นหรือผงกศีรษะ แต่กางแขนออกโอบรอบคอของเย่หวูเฉิน จากนั้นแลบลิ้นออกมาใกล้แล้วเลียริมฝีปากเขา หลายวันและคืนที่ผ่านมา นางใช้ลิ้นน้อยๆเลียแทบทั่วร่างกายของเขายามละเมอ นางหลงใหลในรสชาติของเขาและเสพติดนิสัยนี้ไม่รู้ตัว

เย่หวูเฉินใจเต้นกระตุก เขารีบผละร่างออกจากทงซิน นิสัยร้ายแบบนี้ทำลับๆไม่เป็นไร แต่หากหนิงเสวี่ยเกิดเรียนรู้จากนางละก็... เย่หวูเฉินแลมองหนิงเสวี่ย นางยังคงกอดถุงน้ำและดื่มจากมัน เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกที่นางไม่ทันมองมา ทันใดนั้นทงซินเริ่มถูร่างกับเขาอย่างลามก ใช้มือน้อยๆดึงเสื้อเขาเปิด ใช้ลิ้นเล็กๆเลียลามลำคอ ทิ้งรอยน้ำใสไว้เป็นทาง และเกือบทำให้เย่หวูเฉินครางออกมา บางครั้งเขาคิดว่าทงซินเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่ชอบอ้อนเรียกร้องโปรดปรานจากเจ้านาย

ด้านนอกประตู เม็ดฝนโปรยช้าเปลี่ยนเป็นกระหน่ำรุนแรง เวลานี้ประตูที่ปิดไว้แน่นถูกผลักเปิด สายตาทงซินเย็นเยียบในฉับพลัน

เย่หวูเฉินบีบมือทงซินเบาๆ ท่าทีคุกคามของนางหายในทันที เมื่อเงยศีรษะขึ้นมอง เขาต้องตกตะลึง

เป็นสตรีคลุมหน้าด้วยผ้าไหมบางสีขาว แม้ไม่อาจเห็นใบหน้านาง เพียงรูปร่างก็ดึงดูดตา ร่างชดช้อยอรชร งดงามจนไม่อาจบรรยาย ใต้กระโปรงหิมะขาว ขาเรียวยาวเผยให้เห็นบางตา สูงยาวอ้อนแอ้น เพียงยืนอยู่ก็ทรงสง่าเหนือธรรมดา ผมดำขลับนุ่มสลวยราวน้ำตก ขับส่งผิวขาวราวหิมะของนาง

นางมองมาทางพวกเขา เบื้องหลังเม็ดฝนหนากระหน่ำ มองคราแรกราวกับนางอยู่ในม่านสายฝน ภาพตัดกันคล้ายอยู่ในฝันลวงตา ราวเซียนสวรรค์ตำนานผู้พำนักในนนท์ธารา เย่หวูเฉินตะลึงโง่งมกับความงามเหนือฟ้า ในใจผุดคำว่า ‘นางเซียน’

ท้องฟ้าพร่างฝนสะท้อนต้องราวแสงเงิน ราวกับม่านธารา ราวกับภาพฝันลวง เมื่อสิ่งทั้งปวงรวมกันนางดูราวเซียนฟ้า จุติมายังโลกเหนือหมู่มวลชน ดวงหน้าคลุมด้วยผ้าไหมบางเห็นรางๆถึงผิวขาวเนียน ราวหยกขนแกะที่ขาวยิ่งกว่าหิมะ เรียบละมุนนุ่มนวล อ่อนโยนยิ่งกว่าผ้ามัสลิน ชุดขาวกึ่งเปียกแนบร่างกาย แอบชิดผิวเผยเรือนร่างอรชร องค์เอวเย้ายวน อกนุ่มสะโพกกลมกลึง งดงามจนยากอธิบาย แม้ร่างกายนางไม่ได้เปลือยเปล่า แต่เสน่ห์ยั่วยวนไม่อาจเปรียบปาน นางงามพริ้งพิไล ขณะเดียวกันยังสูงส่งศักดิ์สิทธิ์ ราวกับใครที่คิดอกุศลย่อมเป็นบาปมนทิณ เป็นสิ่งย้อนแย้งที่กลับเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน

นางมองกวาดผ่านคนทั้งสามโดยไม่กล่าวคำ นางก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่างไม้เก่าโทรม มองสายฝนเบื้องนอกอย่างเงียบงัน รอฝนฤดูใบไม้ร่างให้หยุดลง ท่าทีของนางราวกับไม่เห็นคนทั้งสามอยู่ที่นี่ แต่นางดูไร้พิษภัยต่อพวกเขา นี่สมควรเป็นลักษณะของนางเซียนที่สมบูรณ์ หากนางออกปากเอ่ยถามก่อน นางย่อมสามารถครอบงำผู้คน

เย่หวูเฉินตะลึงงันกับร่างงดงามจนแทบหยุดลมหายใจ เขาถอนสายตากลับมาและระงับจิตใจ

นางเซียนบนโลกหล้า... นี่คือความรู้สึกแรกที่เย่หวูเฉินมีต่อนาง นางทำให้คนตะลึงค้างทั้งที่ยังไม่ได้เผยโฉมหน้าออกมา บางทีเสน่ห์ของนางอาจเหนือล้ำกว่าเย่ฉุ่ยเหยา

“ท่านพี่ พี่สาวคนนี้งดงามจริงๆ” หนิงเสวี่ยเอียงเข้าใกล้หูเขาแล้วกระซิบ นางรู้ว่าหากกล่าวเสียงดังจะเป็นการไม่เคารพ

“โอ้? อาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้เพราะนางคลุมหน้าไว้ เสวี่ยเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงคิดว่านางงดงาม? ไม่แน่ว่า นางอาจน่าเกลียดมากก็ได้” เย่หวูเฉินกล่าวพยายามยั้งไม่ให้ส่งเสียงดัง

เสียงสายฝนตกกระหน่ำยังสะท้อนก้องอยู่ในหู ราวกับนางเซียนนิ่งฟังเสียงฝนพรำ คล้ายไม่ได้ยินเสียงใดๆ

“ไม่น่าใช่แบบนั้น แม้ไม่เห็นหน้านาง เสวี่ยเอ๋อร์เชื่อว่าพี่สาวต้องมีใบหน้างดงามมากๆ... ใช่แล้ว งดงามเหมือนพี่หญิง” หนิงเสวี่ยกล่าวจริงจัง เสน่ห์ของสตรีผู้นี้ไม่เพียงทำให้เย่หวูเฉินสูญเสียจิตใจ กระทั่งหนิงเสวี่ยยังยอมรับ มีเพียงทงซินที่ยังคงถูไถร่างไปบนอกเขาอย่างซุกซน ไม่สนใจสตรีผู้นั้นและไม่ทันสังเกตสายตาขัดใจของหนิงเสวี่ยเช่นกัน นางเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเย่หวูเฉินแล้วเรียบร้อย

“งั้นเสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าอยากรู้ชื่อของนางมั้ย?”

“อื้ม อยากสิ”

เย่หวูเฉินมองที่เส้นผมราวน้ำตกของนาง จากนั้นถามอย่างสุภาพ “นางเซียนท่านนี้ พวกเราได้พบกันภายใต้สายฝน นับว่าเป็นวาสนา ท่านจะบอกชื่ออันไพเราะของท่านแก่พวกเราได้หรือไม่?”

สตรีนางนั้นไร้การตอบสนอง กระทั่งสองมือและดวงตาน้ำงามยังนิ่งเงียบไม่ไหวติง

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะแล้วเอ่ยเสียงเบา “เสวี่ยเอ๋อร์ นางคงเป็นนางเซียนจริงๆ นางไม่อยากสนใจพวกเรามนุษย์ธรรมดา”

เสียงฝนตกกระหน่ำแรงขึ้น เมื่อนั่งอยู่กับที่นานๆร่างกายเริ่มหนาวเย็น หนิงเสวี่ยคู้ร่างสั่นเทา นางขยับเข้าใกล้เย่หวูเฉินมีขนลุกบนร่าง เย่หวูเฉินรีบนำฟางข้าวข้างหลังมาก่อไฟสร้างความอบอุ่นให้กระท่อมร้างหลังเล็ก

“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าหิวรึยัง?” เย่หวูเฉินถาม

“อื้ม”

เย่หวูเฉินนำขนมปิ้งที่เตรียมมาจากตระกูลเย่ออกมา แบ่งให้หนิงเสวี่ยและทงซิน มองพวกนางขบเคี้ยวอาหารหน้ากองไฟเล็กๆด้วยรอยยิ้ม หวังเวิ่นชูรักบุตรชายนางมาก ดังนั้นแหวนเทพกระบี่ของเย่หวูเฉินจึงถูกบรรจุสิ่งต่างๆไว้มากมาย มีอาหารแห้งและขนมปิ้งทุกชนิด มากเพียงพอบริโภคหลายวันโดยไร้กังวล

“มารดาข้าเถอะ บิดาผู้นี้อับโชคนัก ไม่ได้สิ่งใดไม่พอ ยังต้องมาเปียกเพราะฝนเท”

“เอาน่า อย่างน้อยพวกเราก็เจอที่หลบฝนแล้ว”

“ร่างของข้าเปียกบัดซบหมดแล้ว ที่หลบฝนผายลมซิ อย่างที่ข้าบอก พวกเรากลับกันดีกว่า”

“เจ้าท้องฟ้าทู่เรศเอ้ย ฝนจะตกไม่เตือนสักคำ”

เสียงด่าทอดังมาแต่ไกลพร้อมกับเสียงฝีเท้าหลายคู่ เย่หวูเฉินกอดหนิงเสวี่ยแน่น มุมปากยกยิ้มขึ้นขณะยกขนมขึ้นกัดเคี้ยวเบาๆ ฉากนางเซียนสอนบทเรียนเหล่าโจรกำลังจะเริ่มขึ้น

เสียงกระแทกถีบประตูเปิดออกเสียงดัง ประตูไม้คร่ำคร่าแทบจะหลุดออกจากกรอบ ผู้ที่ถีบประตูมองกองไฟแล้วตะโกนทันที “บ๊ะ! มีคนอยู่ข้างในด้วย แถมยังมีกองไฟ”

“ข้าไม่สนว่าจะมีคนอยู่หรือไม่ รีบๆเข้าไปข้างในได้แล้ว”

บุรุษสี่คนแต่งกายหยาบกร้าน แต่ละคนถือดาบขนาดใหญ่ก้าวเข้ามา อายุของพวกเขาดูเกินกว่าสามสิบ ใบหน้าราวกับสัตว์ปีศาจ แค่เห็นแวบแรกก็รู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนดี บางทีอาจจะเป็นกลุ่มโจรที่ปล้นชิงบ้านเรือนใกล้ๆและผ่านมา



<<<PREV    .    NEXT>>>