วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 181

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 181 วิหารสาบสูญ

ผืนดินใต้เท้าสั่นสะเทือนเล็กน้อย ทันใดนั้น สัตว์อสูรขนาดใหญ่ห้าตัวโผล่มารอบทิศแทบจะพร้อมกัน กลิ่นอายดุร้ายจนอากาศบิดไปทั่วบริเวณ เป็นสัตว์อสูรขอบเขตวิญญาณสี่ตัว อีกตัวเป็นสัตว์อสูรขอบเขตสวรรค์ที่ยิ่งน่ากลัว สายตาพวกมันจับจ้องที่เย่หวูเฉิน สัตว์อสูรพวกนี้ยากที่จะพบเจอโดยผู้คนธรรมดา แต่ในที่แห่งนี้สามารถพบมันได้ทุกที่ เขาขมวดคิ้วแน่นเข้าด้วยกัน พื้นที่แห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยความมืดประหลาด หรือว่าจะมีสัตว์อสูรที่น่ากลัวยิ่งกว่าเจ้าพวกนี้อยู่?

อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายดุร้ายของพวกมันไม่ได้คงอยู่นานนัก พวกมันหยุดเท้าแทบจะในทันที จากนั้นเริ่มถอยออกไปช้าๆด้วยขาที่สั่นเล็กน้อย เมื่อเจ้างูผอมบางพุ่งเข้าใส่เย่หวูเฉินอีกครั้ง พวกมันตื่นตกใจและวิ่งหนีไปเร็วยิ่งกว่าขามาอยู่หลายเท่าตัว... แม้แต่สัตว์อสูรขอบเขตสวรรค์ธาตุลมยังพุ่งหนีจนร่างกลายเป็นแสงสีเขียว

ปฏิกิริยาของพวกมันพิสูจน์ให้เห็นถึงความน่ากลัวของเจ้าเส้นฉกวิญญาณตัวนี้ เย่หวูเฉินยังไม่พ้นอันตราย และทันใดนั้นมีเงาดำหนึ่งวาบเข้ามา เป็นร่างบอบบางของทงซินพิงอยู่ที่เอวเขา การปรากฎตัวของนางไม่ได้ทำให้เย่หวูเฉินรู้สึกผ่อนคลาย ตรงกันข้ามความกังวลยิ่งเพิ่มทวี

ความเร็วของเส้นฉกวิญญาณเหมือนจะเร็วกว่าสายฟ้า มันโจมตีอีกครั้ง แต่เย่หวูเฉินก็หลบได้อย่างต่อเนื่องสามครั้ง ดังนั้นมันจึงเปลี่ยนเป้าหมายพุ่งเข้าใส่ทงซินที่พึ่งปรากฎตัว ทงซินเลื่อนสายตามอง แสงทมิฬวาบขึ้นในดวงตา เจ้าเส้นฉกวิญญาณร่างแข็งค้างในทันที ร่างที่พุ่งมาเอาหัวปักลงพื้นแล้วแน่นิ่งไป

เย่หวูเฉินไม่สนใจว่ามันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เขาจับไหล่ทงซินแล้วถามอย่างร้อนรน “เสวี่ยเอ๋อร์อยู่ไหน? นางไม่ได้อยู่กับเจ้าเหรอ?”

มีเพียงทงซินที่เข้ามาหาและไร้หนิงเสวี่ย

ทงซินส่ายศีรษะ นางถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่เพียงลำพังเช่นเดียวกับเย่หวูเฉิน

หัวใจของเย่หวูเฉินเต้นรัวทันที สัตว์อสูรสามารถพบได้ทุกที่ในบริเวณนี้ พวกมันแต่ละตัวยังดุร้ายและทรงพลัง หากหนิงเสวี่ยต้องอยู่ตามลำพัง...

เขากัดฟันแน่น บังคับตัวเองให้สงบแล้วจับมือทงซินไว้แน่น “ทงซิน เจ้าหาตำแหน่งของเสวี่ยเอ๋อร์ได้หรือไม่?”

ทงซินไม่รอช้าชี้มือไปทางทิศตะวันออก เมื่อถูกส่งมาที่นี่ คนแรกที่นางจับสัมผัสได้คือกลิ่นอายอ่อนแอของหนิงเสวี่ยที่อยู่ไกลอย่างยิ่ง นางบินไปรอบๆครู่หนึ่งถึงสามารถจับสัมผัสของเย่หวูเฉิน ดังนั้นนางจึงรีบหันร่างและมุ่งไปยังทิศที่เย่หวูเฉินอยู่อย่างรวดเร็ว

เย่หวูเฉินคลายใจลงเล็กน้อย เขารีบกล่าว “เร็วเข้า! พวกเราต้องรีบ เสวี่ยเอ๋อร์อาจตกอยู่ในอันตราย”

ทงซินดึงมือของเย่หวูเฉิน พวกเขาใช้ความเร็วสูงสุดมุ่งไปยังทางทิศตะวันออก อากาศชื้นโบกพัดผ่านไป มันไม่อาจช่วยสงบความกังวลในใจของเขาได้ หากหนิงเสวี่ยตกอยู่ในอันตรายเขาไม่อาจรักษาความสงบสุขุม เหมือนที่เขาเคยบอกกับหนิงเสวี่ย นางต่างจากคนอื่นๆที่สำคัญกับเขาทั้งหมด นางคืออีกครึ่งหนึ่งของชีวิต หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง เขาย่อมสูญสิ้นชีวิตครึ่งหนึ่งไป

เมื่อพวกเขาจากไปได้ไม่นานนัก เจ้าเส้นฉกวิญญาณก็ค่อยๆลืมตาของมันขึ้น หลังจากมองไปรอบๆ มันรีบใช้ความเร็วสูงสุดพุ่งไปทิศตรงข้ามอย่างตื่นกลัว เมื่อมันเข้าไปในพุ่มไม้ได้ มันรีบปกปิดกลิ่นอายทั้งหมดทั้งที เส้นฉกวิญญาณมีเอกลักษณ์เฉพาะคือขี้ขลาด ชอบรังแกผู้อ่อนแอและหวาดกลัวต่อผู้แข็งแกร่ง

เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกบริเวณเพ่นพ่านไปด้วยสัตว์อสูรหลากชนิด ความสงบเหมือนก่อนหน้านี้ได้หายไป เมื่อคิดถึงตำแหน่งก่อนหน้าเมื่อครู่ มันสงบมากกว่าเพราะการมีอยู่ของเจ้าเส้นฉกวิญญาณ สัตว์อสูรที่อยู่ใกล้ต่างหวาดกลัวและหนีไป หมาป่าสายฟ้าต้องสาปคล้ายว่ามันจะเดินหลงเข้ามา

“ทงซิน เร็วกว่านี้อีก”

เมื่อรู้สึกถึงความกังวลของเขา ทงซินก็ร้อนใจด้วยเช่นกัน นางใช้ความเร็วสูงสุดแล้วแต่หนิงเสวี่ยอยู่ไกลจากพวกเขาเกินไป การที่นางสามารถจับสัมผัสของหนิงเสวี่ยได้ ก็นับว่าเป็นขีดสุดพลังของทงซินแล้ว

“หากหนิงเสวี่ยเป็นอะไรไป ต่อให้เจ้าเป็นมังกรเพลิงฟ้า ข้าก็จะทำให้เจ้าหายสาบสูญไปจากโลกนี้!” เย่หวูเฉินกัดฟันแน่นจนมีเสียง มือที่จับทงซินอยู่บีบแน่นโดยไม่รู้ตัว ทำให้นางรู้สึกเจ็บเล็กน้อย

ด้วยการโบกมือเล็กๆ แสงทมิฬไร้ใจตัดราชสีห์ป่าดุร้ายที่ขวางทางอยู่ขาดออกเป็นสองท่อน ตลอดทั้งเส้นทาง นางทำทุกวิธีสังหารอสูรไปมากกว่าสิบตัว นางไม่กล้าที่จะชักช้า

หากมีคนมองลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน พวกเขาจะเห็นดินแดนสีดำขนาดใหญ่ ที่ซึ่งทงซินและเย่หวูเฉินกำลังมุ่งตรงเข้าไปยังใจกลางมันด้วยความเร็วสูงยิ่ง

ทุกวินาทีผ่านไปด้วยความทรมานใจของเย่หวูเฉิน เพียงไม่กี่นาทีกลับรู้สึกเหมือนนานนับปี ถึงแม้เขาจะกังวลแต่ก็ไม่กล้าสูญเสียความเยือกเย็น เบื้องหน้าสายตา ต้นไม้ใหญ่ยิ่งเบาบางลง และเมื่อยิ่งตรงเข้าไป กระทั่งเสียงคำรามของสัตว์อสูรและเสียงร้องของเหล่าแมลงยังเงียบหาย นอกจากเสียงลมที่พัดผ่านหู ก็ไม่มีเสียงอื่นใดให้ได้ยิน

สิ่งผิดปกติทุกอย่างล้วนต้องมีสาเหตุ เย่หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้นช้าๆแล้วกล่าวเสียงต่ำ “ทงซิน เจ้ารู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติรึเปล่า?”

ทงซินปราดตามองไปด้านข้างและส่ายศีรษะอย่างงุนงง

“ระวังตัวไว้” เย่หวูเฉินกล่าวเตือน

มีสาเหตุใดที่ทำให้สัตว์อสูรดุร้ายไม่กล้ากล้ำกลายเข้ามายังที่แห่งนี้? มังกรเพลิงฟ้าได้พูดถึงวิหารสาบสูญ หรือว่ามันจะตั้งอยู่ที่นี่? เย่หวูเฉินครุ่นคิด

เมื่อต้นไม้ห่างกระจัดกระจาย จู่ๆทงซินก็ชะลอความเร็วลง เย่หวูเฉินถามอย่างร้อนใจ “พวกเรามาถึงรึยัง?”

ทงซินพยักหน้า เมื่อผ่านต้นไม้ใหญ่ต้นสุดท้าย เบื้องหน้าก็ปรากฎสิ่งปลูกสร้างเก่าโทรมที่ดูคล้ายปราสาทโบราณ ดินแดนประหลาดแห่งนี้มีสัตว์อสูรเพ่นพ่าน แต่ปราสาทโบราณนี้มีพลังบางอย่างที่ส่งผลกับพวกมันอย่างมาก ทงซินหยุดอยู่แล้วหันมองมา ใบหน้าเผยรอยยิ้มหวานละมุนและงดงามที่สุด กลิ่นอายของหนิงเสวี่ยที่อยู่เบื้องหน้ายังคงปลอดภัยไร้อันตราย

“ที่นี่เหรอ? เร็วเข้า เรารีบเข้าไปข้างในกัน” สีหน้าของทงซินระงับความกังวลในใจของเย่หวูเฉิน เขาเดินนำนางเข้าไปข้างในด้วยฝีเท้าเร่งรีบ

ปราสาทโบราณแห่งนี้ไม่มีประตู มันเก่าโทรมอย่างมากเพียงแค่ปราดตามอง เย่หวูเฉินกำลังจะเดินเข้าไปก็ต้องหยุดเท้า สายตาเขามองขึ้นไปที่ตัวอักษรสีจาง...

วิหารสาบสูญ

เขาลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะรีบก้าวเข้าไปข้างใน สำหรับเขาแล้วไม่มีสิ่งใดเทียบได้กับความปลอดภัยของหนิงเสวี่ย

ในโถงวิหารว่างเปล่า หนิงเสวี่ยนั่งอยู่เงียบๆตรงมุมผนัง อุ้มก้อนสีขาวหิมะไว้บนตักและลูบมันอย่างอ่อนโยน รอคอยให้พี่ชายมาตามหานาง

เมื่อหนิงเสวี่ยถูกส่งมาที่นี่ นางเหลือบเห็นก้อนสีขาวหลับอยู่กลางวิหารว่างเปล่า ขนของมันเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ไร้มนทิลเช่นเดียวกับผิวและเส้นผมของนาง แทบจะโดยสัญชาตญาณ หนิงเสวี่ยย่อตัวลงอุ้มสัตว์ตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน สิ่งสีขาวบริสุทธิ์มักดึงดูดใจนาง เมื่อนางได้ใกล้จึงพบว่ามันไม่เพียงมีสีขาวหิมะเท่านั้น แต่ร่างของมันยังมีกลิ่นหอม ทำให้นางหลงใหลในกลิ่นของมัน

นางชอบเจ้าตัวขาวน้อยๆตัวนี้ และดูเหมือนเจ้าตัวขาวจะชอบสาวน้อยผมขาวเช่นกัน มันมองที่นางแวบหนึ่งก่อนจะนอนต่อ มันไม่ได้ปฏิเสธนาง ตรงกันข้าม มันขยับหาตำแหน่งที่สบายขึ้นบนตักและหลับต่อ ความน่ารักของมันทำให้ความกังวลของนางหายไป หลังจากนั้น นางจึงกอดมันอยู่เงียบๆและรอให้พี่ชายมาหา

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนิงเสวี่ยหดร่างอย่างกังวล แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเย่หวูเฉินนางก็ตะโกนอย่างตื่นเต้น นางกำลังจะวิ่งเข้าไปหาแต่ในทันใดเจ้าสิ่งที่อยู่บนตักนั้นก็พลันเคลื่อนไหว เจ้าตัวน้อยที่เงียบงันมาตลอดเบิกตาโพลง มันกระโดดออกจากตักลงสู่พื้น

เย่หวูเฉินปราดตามองมันแวบหนึ่ง มันเป็นจิ้งจอกตัวเล็ก ยาวเพียงไม่กี่สิบเซนฯ หัวของมันแทบจะเท่ากำปั้นของหนิงเสวี่ย ทั่วร่างเป็นสีขาวไร้ตำหนิ มีเพียงดวงตาและจมูกน่ารักที่เป็นสีดำ เมื่อมองแวบแรก สิ่งที่ดึงดูดความสนใจคือหางของมัน เพราะนั่นไม่ใช่หางของจิ้งจอก ถึงแม้จะมีขนขาวเหมือนส่วนอื่น แต่ความยาวของมันมากกว่าสองเท่าของลำตัว อีกทั้งรูปทรงของหาง... เมื่อเย่หวูเฉินเห็นแวบแรก เขานึกถึงหางของมังกร

จิ้งจอกประหลาดตัวน้อยหูตั้งชี้ขึ้น ดวงตากลมเล็กมองที่เย่หวูเฉิน ทอแววประกายบางอย่างอยู่ข้างใน

เย่หวูเฉินกำลังจะเข้าไปกอดหนิงเสวี่ย แต่ทันใดนั้นมีพลังมหาศาลพุ่งใส่ร่างของเขา เพียงพลังครั้งเดียวก็ทำให้อกเขารู้สึกราวกับถูกค้อนทุบ ร่างของเขาปลิวกระเด็นไปหล่นอยู่ตรงทางเข้า

“ท่านพี่!” หนิงเสวี่ยร้องตะโกนอย่างตกใจ นางวิ่งเข้าไปหาเขา จิ้งจอกน้อยวิ่งตรงไปหาเย่หวูเฉินในเวลาเดียวกัน ก่อนที่เขาจะทันลุกขึ้นยืน ร่างเล็กจ้อยก็กลายเป็นสายฟ้าขาว เร็วจนเหมือนกับมันหายตัวไป

ในช่วงวิกฤตความเป็นตาย ทงซินพุ่งเข้าไปปะทะกับจิ้งจอกน้อยหางยาว สีหน้านางหม่นลง พลังของมันเหมือนกับตอนที่นางปะทะกับมังกรเพลิงฟ้า

เสียงปะทะดังสนั่น ผืนดินสะเทือนเมื่อดำกับขาวเข้าสัมผัส แผ่นดินแยกออกเป็นทางยาวกว่าสิบเมตร ตัดผ่านใจกลางของวิหารสาบสูญ ห้องโถงเก่าโทรมพร้อมพังทลายด้วยสั่นสะเทือนอย่างหนัก รอยแตกน้อยใหญ่ปรากฎบนหลังคา ฝุ่นและหินร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง

ร่างของทงซินปลิวกระแทกผนัง ทะลุออกไปสิบเมตรกว่าจะหยุดร่างได้ จิ้งจอกน้อยปลิวทะลุผ่านผนังในทิศตรงข้ามกับทงซิน เย่หวูเฉินรีบยืนขึ้นแล้วจับมือของหนิงเสวี่ย “เร็วเข้า รีบไปกัน!”

ในที่สุดเขาก็รู้สาเหตุที่สัตว์อสูรตัวอื่นไม่อยู่ที่นี่ จิ้งจอกน้อยที่ดูไร้พิษสงตัวนี้ กลับมีพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าทงซิน... มันเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใด?!

มังกรเพลิงฟ้าต้องการให้เขาตามหาบางสิ่ง หรือว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตตัวนี้? ในวิหารสาบสูญที่แปลกประหลาด มีเพียงจิ้งจอกตัวนี้เท่านั้น

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจ จิ้งจอกประหลาดตัวนี้ไม่ถูกชะตากับเขา และเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด



<<<PREV    .    NEXT>>>