วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 166

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 166 เพลิงโทสะ

“ข้าเชื่อเจ้า สตรีที่ทำให้รัชทายาทผู้สูงส่งลุ่มหลงได้ นางมาจากตระกูลไหน? แม้ว่าอาณาจักรเทียนหลงของข้าจะไม่เกรงกลัวอาณาจักรต้าฟง แต่พวกเราไม่อยากเห็นประชาชนต้องตกทุกข์ได้ยาก หากนางสามารถแลกเวลาห้าปีแห่งความสงบ ข้าย่อมยอมรับโดยไม่ลังเล ข้าเชื่อว่าตระกูลของนางก็จะต้องยอมรับด้วยอย่างแน่นอน”

สีหน้าของฟงหลิงทั้งตื่นเต้นและมีความสุข เขากล่าวอย่างสุภาพ “ฟงหลิงขอบพระทัยฝ่าบาท” จากนั้นเขาเคลื่อนสายตาไปที่เย่เว่ย “สตรีที่ฟงหลิงเอ่ยถึงก็คือธิดาของขุนพลเย่”

“เจ้าตัวน่ารังเกียจ!” เย่เว่ยคำรามด้วยความโกรธ เขาตบโต๊ะจนถ้วยน้ำชาสั่น เมื่อฟงหลิงเอ่ยถึงเรื่องเงื่อนไขอันจะเป็นประโยชน์ต่ออาณาจักรเทียนหลง เขาก็เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อฟงหลิงมองมาที่เขา เขาจึงตระหนักรู้เรื่องราว ในใจสุมแน่นด้วยเพลิงโทสะ เมื่อฟงหลิงเอ่ยออกมา โทสะของเขาก็พลันระเบิดออก

“ต่อให้ลูกสาวข้าต้องแต่งงานกับหมาหรือไก่ นางจะไม่มีวันแต่งกับชาวต้าฟงอย่างเจ้า อย่าได้คิดเอ่ยคำปรารถนาเช่นนี้กับข้าอีก!!”

ใครคือผู้ที่เกลียดชังชาวต้าฟงมากที่สุด? แน่นอนว่าคือคนที่ต่อสู้การรุกรานในสมรภูมิโลหิต เช่นเดียวกับทวีปหัวเซี่ย ที่เกลียดชังชาวทะเลตะวันออกที่สุด ผู้ที่รุกรานต่อสู้คร่าสังหารผู้คน ต้องมองญาติพี่น้องและเพื่อนร่วมรบตกตายทีละคน ทั้งศีรษะและร่างกายถูกชำแรก สภาพร่างซากศพไม่ครบถ้วน ความเจ็บปวดทรมานที่ถึงขั้นหัวใจสลาย
(โน๊ต: ทวีปหัวเซี่ยที่เกลียดชาวทะเลตะวันออก หมายถึงจีนที่เกลียดญี่ปุ่น)

เย่เว่ยย่อมไม่อาจทนได้ที่ลูกสาวของตนต้องแต่งงานกับชาวต้าฟง!

ผู้คนมองหน้ากันด้วยความตระหนก พวกเขายังคงเงียบเสียง มีกลุ่มที่อยู่ข้างตระกูลเย่ ขณะที่อีกกลุ่มอยู่ข้างความปลอดภัยของอาณาจักรเทียนหลง พวกเขารู้จักนิสัยของเย่เว่ยไม่มากก็น้อย ไม่เพียงแค่เย่เว่ยเท่านั้น ทุกคนในที่นี้ย่อมไม่ยอมให้ธิดาของตนแต่งกับชาวต้าฟง แต่หากสถานการณ์เป็นแบบที่ฟงหลิงกล่าว... พวกเขาย่อมไม่อาจพูดสนับสนุนตระกูลเย่ ตรงกันข้ามพวกเขาต้องสนับสนุนการแต่งงาน

ฟงหลิงไม่แสดงท่าทีที่เหนือกว่า เขาไม่ใช้โอกาสนี้บีบคั้นเย่เว่ย เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเย่เว่ยไม่กลัวภัยใด เขาก้าวตรงไปอยู่เบื้องหน้าโต๊ะของเย่เว่ยแล้วกล่าวด้วยความเคารพ “ขุนพลเย่ได้โปรดยอมรับ ข้าจริงใจต่อคุณหนูเย่และไม่ปรารถนาให้นางเจ็บปวด หากขุนพลเย่ยอมรับคำขอของข้า แน่นอนว่าฟงหลิงจะปฏิบัติต่อคุณหนูเย่อย่างดี ต่อให้ทุกคนในอาณาจักรต้าฟงคัดค้าน ฟงหลิงก็จะตั้งนางเป็นอัครชายาแห่งรัชทายาท!”

“อัครชายาแห่งรัชทายาท” ราวกับสายฟ้าฟาดทำผู้คนตกตะลึงทุกทิศทาง กระทั่งหลงหยินยังมีอารมณ์หวั่นไหว

อัครชายาแห่งรัชทายาท ภรรยาอันดับหนึ่งขององค์ชายรัชทายาท โดยปกติจักรพรรดิจะเป็นผู้แต่งตั้งให้ เมื่อรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ อัครชายาย่อมกลายเป็นจักรพรรดินี หากอัครชายาให้กำเนิดโอรส เขาย่อมกลายเป็นรัชทายาทองค์ต่อไป... และเมื่อถึงเวลา บุตรของนางก็จะกลายเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรต้าฟง!

การที่รัชทายาทแห่งต้าฟงตั้งสตรีแห่งอาณาจักรเทียนหลงเป็นอัครชายานับว่าเป็นเรื่องที่บ้าคลั่ง แต่ฟงหลิงกล่าวออกมาอย่างแน่วแน่จริงใจ พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาลุ่มหลงสตรีผู้นี้อย่างหนักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเจอ เขากล่าวจริงจังกับเรื่องนี้มาก

“หยุดกล่าวไร้สาระมารดาเจ้าซะ!” ภายใต้ความโกรธเกรี้ยว เย่เว่ยสาปส่ง “นางจะเป็นอัครชายาของรัชทายาทหรือไม่ข้าไม่สนใจ! ต่อให้เจ้าคุกเข่าอ้อนวอนให้ข้าเป็นจักรพรรดิแห่งต้าฟง ข้าก็ไม่มีวันยอมรับ! อย่าได้คิดปรารถนาแต่งงานกับลูกสาวข้า เฮอะ! หากเจ้าต้องการสงคราม เช่นนั้นพวกเราก็มารบกัน ต่อให้ทัพต้าฟงของเจ้าแข่งแกร่งกว่าพวกเราสิบเท่า ข้าก็จะเอาชนะพวกเจ้าทั้งหมด!”

ยามนี้ฟงหลิงสีหน้ากลายเป็นน่าเกลียด แต่เขาไม่ยอมโกรธ อาการของเย่เว่ยเป็นไปตามที่เขาคิดไว้ หากเย่เว่ยยอมรับโดยง่าย เช่นนั้นย่อมไม่ใช่เย่เว่ย ฟงหลิงคงต้องดูหมิ่นหากเย่เว่ยมีท่าทียอมรับ

อีกอย่าง หากนี่เป็นเรื่องง่าย เขาคงไม่ต้องทุ่มความพยายามบอกเล่าสถานการณ์ของอาณาจักรเทียนหลง เขาต้องกัดฟันเอ่ยเงื่อนไขที่พวกเขาไม่อาจปฏิเสธ

ฟงหลิงต้องดีใจที่เย่หนู่ไม่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ไม่เช่นนั้น ก่อนที่เย่เว่ยจะได้ดุด่า เขาคงต้องเจ็บปวดด้วยฝีปากคมกล้าของเย่หนู่ก่อนสิ่งอื่นใด

ฟงหลิงถูกลิขิตให้เป็นผู้กล้าแห่งอาณาจักรต้าฟง และผู้กล้าทุกคนมีจุดอ่อนเรื่องหญิงงาม พวกเขารู้ดีเกี่ยวกับมนต์สตรี แต่พวกเขาก็ยังยินดีที่จะเจ็บปวดเพราะมัน ฟงหลิงรู้ดีว่าเขาต้องแบกรับผลลัพธ์จากการขอให้ฟงเลี่ยชะลอสงคราม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เสียใจ

เวลานี้เอง หลงหยินจำต้องพูดให้กำลังใจตระกูลเย่ เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “เมื่อขุนพลเย่ไม่ยอมรับ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ยอมรับเช่นกัน” ขณะที่เขาพูด เขาลอบสบตากับหลินขวงที่นั่งด้านตรงข้ามกับเย่เว่ย

หลินขวงตอบสนองในทันที เขาค่อยๆยืนขึ้นแล้วกล่าว “ขุนพลเย่ปกป้องธิดานับว่าทำหน้าที่ของบิดาอย่างแท้จริง แต่ข้ามีบางสิ่งที่จำเป็นต้องกล่าว...”

“ท่านไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดอีก” เย่เว่ยสงบสีหน้า กล่าวขัดจังหวะอย่างหยาบคาย “ต่อให้ตระกูลหลินของท่านคุกเข่าต่อหน้าข้าทุกคน ข้าก็ไม่มีวันยอมรับ! คิดจะให้ลูกสาวข้าแต่งออกไปอย่างนั้นรึ ฝันไปเถอะ!”

หลินขวงไม่โกรธอย่างผิดคาด เขากลับถอนหายใจแล้วกล่าว “ข้าเองก็มีบุตรและธิดา ดังนั้นข้าจึงเข้าใจความรู้สึกของขุนพลเย่ในเวลานี้ดี แต่ต่อให้ขุนพลเย่ปฏิเสธที่จะฟัง ข้าก็ยังจำเป็นต้องพูดสิ่งที่อยู่ในใจ เจ้าโปรดสงบและไตร่ตรองดูให้ดี หากอาณาจักรคุยชุยเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรต้าฟงจริงๆ รวมทั้งเทพกระบี่ที่เหนื่อยหน่ายละทิ้งโลกไปเป็นเวลานาน พวกเราไม่อาจแน่ใจได้ว่า เขายังจะต้องการข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลกหรือไม่ หากอาณาจักรต้าฟงจู่โจมขณะที่พวกเราไร้การป้องกัน... จะมีโอกาสสักแค่ไหนที่พวกเราสามารถต่อต้านพวกมัน?”

เย่เว่ยหรี่ตาลง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ยอมทำตามความปรารถนาของผู้อื่น ละทิ้งจุดยืนของตน ไม่แปลกใจเลยที่ตระกูลหลินมักพ่ายแพ้ในสนามรบ ท่าน หลินขวง นั้นหวาดกลัว แต่ข้าไม่เกรงกลัว ไม่ว่าพวกมันจะมากันมากแค่ไหน ข้าจะสังหารพวกมันให้สิ้น! ตราบใดที่ตระกูลเย่ของข้ายังอยู่ อาณาจักรเทียนหลงจะไม่มีวันล่มสลาย!!”

“ขุนพลเย่ ท่านกล่าวได้ถูกต้อง ท่านกล้าหาญเฉกเช่นขุนพลชราเย่เมื่อวันเก่า!” ผู้คนปรบมือและอุทานชื่นชม ฟงหลิงลอบยกย่องเขา ช่างยิ่งใหญ่ ช่างหนักแน่น ไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถนำทัพตระกูลเย่เอาชนะทุกอุปสรรคได้อย่างเกรียงไกรไร้ต้าน

“ไร้สาระ!” หลินขวงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ใครบอกว่าตระกูลหลินของพวกเราหวาดกลัว? ข้าหลินขวงถึงแม้จะไร้ความสามารถ แต่ระหว่างปีนั้นในสนามรบ ตระกูลหลินของข้าไม่เคยหนี! ข้าไม่ใช่คนขี้ขลาดที่หวาดกลัวอาณาจักรต้าฟง! ที่ข้ากลัวไม่ใช่อาณาจักรต้าฟง แต่เป็นประชาชนที่ต้องประสบทุกข์ทรมาน ข้ากลัวอาณาจักรเทียนหลงต้องเจ็บปวดจากหายนะ ข้ากลัวราชตระกูลเทียนหลงที่สถาปนามากว่าพันปีต้องถูกทำลายพินาศลง! ขุนพลเย่ อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่กลัวเรื่องพวกนี้? ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ของพวกเรา หากต้องสู้รบกับอาณาจักรต้าฟง จะมีโอกาสสักแค่ไหนที่เทียนหลงจะอยู่รอด? เจ้าเป็นคนฉลาด อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่รู้เรื่องพวกนี้?”

“ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ต่อให้ตระกูลเย่ของข้าตกตายสิ้นตระกูล พวกเราก็จะไม่ยอมก้มหัวให้อาณาจักรต้าฟง และพวกเราจะไม่ยอมให้ธิดาตระกูลเย่แต่งงานกับคนของต้าฟง” เย่เว่ยสีหน้ากลายเป็นเขียวคล้ำ ฟงหลิงเห็นความคิดของเขาผ่านภาษากาย ปากของเย่เว่ยสั่นเล็กน้อย คำพูดของหลินขวงมีผลต่อเขาอย่างมาก ฟงหลิงไม่กล่าวสิ่งใดเพียงยืนมองพวกเขา

“ขุนพลเย่!!” หลินขวงตะโกนอีกครั้ง ใบหน้าเขาเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ “ห้าปี... ตั้งห้าปี! ด้วยสถานการณ์ของพวกเราในยามนี้ ไม่ต้องถึงห้าปี แค่ปีเดียวก็มีความหมายอย่างยิ่ง คำขอของรัชทายาทฟงไม่ได้เป็นความอัปยศต่อตระกูลเย่ แต่เป็นพรจากสวรรค์ที่ประทานให้แก่อาณาจักรเทียนหลงของพวกเรา... ห้าปีอันล้ำค่าต่อการเตรียมการ พวกเราสามารถรับทหารกล้าสร้างทัพเพิ่มได้ พวกเราจะสามารถต่อต้านอาณาจักรต้าฟงไม่ให้ยึดครองอาณาจักรเทียนหลงได้ง่ายๆ ขุนพลเย่ เพียงแค่เจ้ายอมรับ เจ้าสามารถช่วยชาวเทียนหลงได้ทั้งอาณาจักร!!”

เย่เว่ยทั้งร่างสั่นสะท้าน เขากัดฟันแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผาก หากแต่เขาไม่ได้กล่าวคำใด ทุกถ้อยคำของหลินขวงกระทบหัวใจโดยตรง เขาจะไม่รู้เรื่องที่หลินขวงกล่าวได้อย่างไร? เพื่อแลกกับเวลาห้าปี ต่อให้เขาต้องตายทรมานเขาก็ไม่ลังเล แต่ให้ลูกสาวของเขาแต่งงานกับชาวต้าฟง... เขาจะทนได้อย่างไร? เย่ฉุ่ยเหยาจะทนแบกรับได้อย่างไร?

“ขุนพลเย่! ตระกูลเย่ของเจ้าจงรักภักดีมาทุกชั่วรุ่น เพื่อปกป้องอาณาจักร เจ้าไม่ลังเลที่จะหลั่งเลือด แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของอาณาจักรเทียนหลง... เจ้าจำเป็นต้องยอมรับเรื่องนี้ ยิ่งกว่านั้น ลูกสาวของเจ้าไปเป็นอัครชายา ไม่ได้ไปเป็นทาส ไม่เพียงไม่ต้องประสบความทุกข์ยากใดๆ แต่นางยังจะได้รื่นรมณ์กับเกียรติอันยิ่งใหญ่ นางจะได้เป็นอัครชายาแห่งรัชทายาท หลังจากนั้นอีกสิบปีหรือหลายสิบปี นางจะกลายเป็นพระแม่แห่งแผ่นดิน จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์! ขุนพลเย่ เพื่อความอยู่รอดของอาณาจักรเทียนหลง ข้าขอร้องให้เจ้ายอมรับ!”

หลินขวงพลิกโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า ก้าวออกมาอยู่หน้าโต๊ะของเย่เว่ย ด้วยเสียงดัง “ตึก” เขาคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรุนแรง ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำ ตะโกนกล่าวแหบพร่าขณะร้องไห้ “ผู้ชรานี้ขอคุกเข่าต่อหน้าเจ้า... ขอร้องให้เจ้ายอมรับ... อาณาจักรเทียนหลงของพวกเราก่อตั้งมากว่าพันปี จะต้องไม่ถูกทำลาย มันจะต้องไม่ถูกทำลาย!”

ในใจของหลินขวงเกลียดชังอย่างมาก ไม่กี่วันก่อนเขาพึ่งคุกเขาต่อหน้ารุ่นเยาว์ตระกูลเย่ ตอนนี้เขาคุกเข่าอีกครั้งต่อหน้าบิดาของมัน... ขมขื่น นี่ช่างน่าขมขื่นจริงๆ!

ตึก!

มีขุนนางชราผมเผ้าสีเทาอีกผู้หนึ่งคุกเข่าต่อหน้าเย่เว่ยและตะโกน “ข้าขอร้องขุนพลเย่ให้โปรดยอมรับ โปรดช่วยเหลืออาณาจักรเทียนหลงของเราให้รอดพ้นจากหายนะ...”

ทีละคนๆ พวกที่อยู่ฝั่งตระกูลหลินในยามขัดแย้งกับตระกูลเย่พากันมาคุกเข่าต่อหน้าเย่เว่ย กระทั่งพวกที่อยู่ฝั่งตระกูลเย่ยังทำตาม เย่เว่ยทั่วร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขาทำได้เพียงระงับอารมณ์ของตนอยู่นาน ตอนนี้คนเพียงผู้เดียวที่เขาคิดถึงคือเย่หวูเฉิน... หากว่าเขาอยู่ที่นี่ เขาย่อมรับมือทุกเรื่องได้อย่างหมดจด ไม่ว่าจะมีกี่คนที่เขาต้องเผชิญ ไม่ว่าข้อถกเถียงจะอันตรายถึงเพียงใด เขาย่อมสามารถโต้แย้งจนพวกมันหมดคำพูด ไม่ว่าสถานการณ์จะยากลำบากเพียงไหน เขาก็จะควบคุมอยู่ในกำมือได้อย่างง่ายดาย... แม้ว่าเย่เว่ยจะคลุกคลีและพูดคุยกับเขาไม่มาก แต่ลึกข้างในเขาประทับใจและภูมิใจในตัวเย่หวูเฉิน

แย่นักที่เวลานี้เขาอยู่ห่างไกลจากเมืองเทียนหลง ไม่รู้ว่าเขาต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ถึงจะกลับมา

เย่เว่ยรักษาสีหน้าสงบและมองที่ชูเกอหวูอี้ ผู้มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน เขาทั้งสองเป็นสหายกันมาตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาคือเพื่อนสนิทที่สุดต่อกัน เมื่อเห็นเขามองมา ชูเกอหวูอี้ส่ายศีรษะ ถอนหายใจแล้วกล่าว “น้องเย่ กลับไปปรึกษาบิดาของเจ้าเถอะ... เจ้าอย่าปล่อยให้อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจในเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจเช่นใด ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้าอย่างแน่นอน”

เย่เว่ยพยักหน้าและหลับตาลง ในใจของเขาสับสนอย่างหนัก เมื่อเขาลืมตาขึ้น ผู้คนยังคงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า กระทั่งจักรพรรดิยังไม่กล่าวคำใดทั้งยังมองมาที่เขาด้วยความคาดหวัง เย่เว่ยมองฟงหลิงที่ยังสงบด้วยสายตาเย็นชา ทันใดนั้น เขายืนขึ้นและเดินออกจากงานเลี้ยงอย่างรวดเร็ว เขากระทั่งไม่ขออนุญาตหลงหยินก่อนออกไป



<<<PREV    .    NEXT>>>