วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 174

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 174 ไปแล้ว , นางยังคงจากไป

หลังจากมองต่ออยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายของเสวี่ยเฟยเยี่ยนก็ร้อนรุ่มขึ้น นางหันหน้าออกและปิดกั้นสัมผัสการได้ยิน ใช้เคล็ดจิตน้ำแข็งระงับความร้อนรุ่มไว้ในควบคุม มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง เย่หวูเฉินยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ในโลกนี้อยู่อีกมาก บางสิ่งที่เขายังไม่อาจค้นพบ แต่ว่านางได้พบมันแล้ว ชั่วขณะที่เมิ่งจื่อส่งเสียงเจ็บปวด นางได้ยินมนต์เสียงปีศาจ สตรีเสียงปีศาจคนสุดท้ายแห่งทวีปเทียนเฉิน ถูกให้ที่พักพิงโดยสำนักจักรพรรดิเหนือ นางเดาไว้ว่าเมิ่งจื่อคือคนของสำนักจักรพรรดิเหนือ ตอนนี้ข้อสงสัยสุดท้ายเรื่อง ‘วิชาเพลิงวิญญาณ’ ได้หายไปจากใจ

“เสียงปีศาจ” นั้นยากที่จะหาคนรู้จัก มีน้อยคนนักที่เข้าใจและมองเห็นมัน เพราะพลังนี้เมิ่งจื่อจึงมีสถานะสูงส่งในสำนักจักรพรรดิเหนือ เหยียนต้วนหุนเลือกนางให้เป็นว่าที่ภรรยาของเหยียนซีหมิง เหตุผลแรกคือนางมีรูปลักษณ์และอุปนิสัยที่คล้ายนางเซียน เหตุผลที่สองเพราะนางมีเสียงปีศาจ พลังของมันสามารถสร้างความสับสนแก่จิตใจผู้คน จากที่ตำนานกล่าวไว้ หากบรรลุระดับสูงสุดของพลังนี้ เพียงแค่มองโดยไม่ต้องเอ่ยเสียงใด ก็สามารถทำให้คนเชื่อฟังกระทั่งสามารถสั่งให้ตาย พลังเสียงปีศาจของเมิ่งจื่อยามนี้ยังอ่อนแออย่างมาก แต่ยังคงนับว่าน่ากลัว เมื่อบุคคลถูกควบคุมด้วยเสียงของนาง พวกมันจะสูญเสียจิตใจอย่างสิ้นเชิง มันจะบอกความจริงทุกสิ่งที่รู้ หลังจากนั้นพวกมันจะลืมสิ้นทุกสิ่ง เพียงคิดว่าฝันไปและไม่รู้ตัว เมื่อคนหลับไหลหรือหมดสติลง ต่อให้มีพลังเหนือล้ำยิ่งกว่านาง นางก็ยังสามารถควบคุมผู้นั้นได้ด้วยเสียงปีศาจ

หลายปีที่ผ่านมา ด้วยพลังนี้ของนาง สำนักจักรพรรดิเหนือสามารถรวบรวมข่าวสารได้โดยง่าย และเมื่อนางกลายเป็นภรรยาของเหยียนซีหมิง ด้วยความเปลี่ยนแปลงผ่านสัมพันธ์ สำนักจักรพรรดิเหนือย่อมมีชัยเหนือศัตรู

คนของเผ่าเสียงปีศาจเดิมทีมีอยู่น้อยนิด เมื่อนับรวมแล้วมีอยู่เพียงประมาณร้อยคน พวกเขาส่วนใหญ่ดำรงชีพด้วยการหาข้อมูลสำคัญแลกกับค่าตอบแทนก้อนโต ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างศัตรูไว้จำนวนมาก เมื่อวันหนึ่งมาถึง มีขุมกำลังพบที่ซ่อนของเผ่าเสียงปีศาจ พวกเขามีเพียงพลังเสียงปีศาจ วรยุทธและพลังเวทย์นับว่าธรรมดาทั่วไป ในที่สุดพวกเขาถูกกำจัดสิ้นในคราเดียว มีเพียงคนเดียวที่เคราะห์ดีรอดชีวิตไม่ถูกพบตัว คือเจ้าหญิงผู้เป็นธิดาของประมุขเผ่าเสียงปีศาจ...คือเมิ่งจื่อ ท้ายที่สุด นางถูกพบโดยสำนักจักรพรรดิเหนือ ขณะที่นางผ่านดินแดนของพวกเขาโดยบังเอิญ เมื่อได้ทราบตัวตนของนาง พวกเขาสัญญาว่าจะช่วยนางตามหาศัตรูและช่วยนางแก้แค้น โดยมีเงื่อนไขหนึ่งเดียวก็คือ นางจะต้องอยู่กับสำนักจักรพรรดิเหนือตลอดไป

ในตอนนั้นนางมีอายุเพียง 15 ปี ตอนนี้นางจะมีอายุครบ 20 ปีในอีกสองเดือน เพราะความเกลียดชังในจิตใจ นางจึงปฏิเสธผู้คนและฝึกฝนวิชาเพลิงวิญญาณด้วยความทุ่มเท ก่อนอายุครบ 20 นางได้บรรลุพลังระดับ9 ซึ่งเป็นระดับพลังเฉลี่ยของผู้ที่มีวัยกลางคน

มีเพียงสตรีเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนพลังเสียงปีศาจได้สำเร็จ เพราะบุรุษจะผ่านคอขวดได้ลำบากแสนเข็ญอย่างยิ่ง ในเผ่าเสียงปีศาจ มีกฎที่เข้มงวดอย่างยิ่งสำหรับสตรี นางจะต้องไม่สูญเสียพรหมจรรย์ก่อนแต่งงาน ไม่เช่นนั้นพวกนางจะถูกระงับพลังเสียงปีศาจ และพวกนางจะถูกขับออกจากเผ่า ร่างกายของสตรีที่มีเชื้อสายราชวงศ์เผ่าเสียงปีศาจ จะไม่อาจถูกแตะต้องโดยบุรุษใด กฎเข้มงวดโหดร้ายนี้ดูคล้ายไร้เหตุผล

เสียงปีศาจของเมิ่งจื่อถูกค้นพบโดยเสวี่ยเฟยเยี่ยโดยง่าย เหตุผลหลักเพราะนางเป็นหญิงพรหมจรรย์ เมื่อนางยังบริสุทธิ์อยู่ ไม่ว่านางจะฝึกหนักเพียงใด พลังเสียงปีศาจก็จะอยู่ที่ระดับเริ่มต้นเท่านั้น ไม่อาจพัฒนาขึ้นได้ มีเพียงต้องสูญเสียพรหมจรรย์ พลังนั้นจะทะลุผ่านคอขวดในทันที แต่พลังเสียงปีศาจมีผลข้างเคียงนี่น่าหวาดกลัว เมื่อสตรีเสียงปีศาจสูญเสียพรหมจรรย์ให้บุรุษใด นางจะถูกครอบงำโดยบุรุษนั้น ชั่วชีวิตจะไม่มองหาชายใดอีก และไม่ว่าพลังเสียงปีศาจจะมีระดับสูงส่งเพียงใด มันจะไร้ผลต่อบุรุษผู้นั้น  แต่บุรุษผู้นั้นเพียงคิดก็สามารถตัดสินความเป็นตายของนาง และยังสามารถลบพลังเสียงปีศาจของนางได้ เมื่อสตรีเสียงปีศาจตายไปจะไม่มีผลใดๆต่อบุรุษ แต่หากบุรุษนั้นตกตายสตรีเสียงปีศาจย่อมตายตาม นี่คือความเกี่ยวพันที่โหดเหี้ยมอย่างมาก ผ่านการร่วมเสพสัมพันธ์ กลายเป็นพันธะวิญญาณ

ดังนั้นสตรีเสียงปีศาจจะไม่ยอมสูญเสียพรหมจรรย์โดยง่าย เพื่อปกป้องเผ่าเสียงปีศาจและเพื่อปกป้องตัวเอง

เพราะเหตุนี้ เสวี่ยเฟยเยี่ยนจึงไม่อาจยอมให้สตรีเสียงปีศาจคนสุดท้ายกลายเป็นเครื่องมือของผู้อื่น

พระจันทร์โน้มเอียงลงทางทิศตะวันตก ในที่สุดเสวี่ยเฟยเยี่ยนก็หันร่างไปมองบนริมสระ ราตรีล่วงเลยเข้าสู่ตีหนึ่งของวันใหม่ พวกเขายังคงกอดกัน ดูเหนื่อยอ่อนอย่างยิ่ง ทั้งสองนอนอยู่บนพื้นราวกำลังหลับอยู่ ร่างกายและพื้นเปรอะเปื้อนด้วยของเหลวหลากชนิดที่ยังไม่แห้งดี เมิ่งจื่อนอนพิงซบอยู่บนอก ดวงตาทั้งสองกำลังปิดอยู่ คราบน้ำตายังคงมีร่องรอย ความสุขใจอิ่มเอิบยังคงปรากฎให้เห็น นางดูอ่อนโยนงดงามอย่างไร้ที่เปรียบ

เสวี่ยเฟยเยี่ยนไม่กล้ารบกวนพวกเขาและเพียงมองดูอยู่เงียบๆ ดูจากจังหวะลมหายใจนางรู้ดีว่าพวกเขาไม่ได้หลับกันจริงๆ เมิ่งจื่อเพียงไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าอย่างไร ส่วนเย่หวูเฉิน... เขากำลังรอดูอยู่? เสวี่ยเฟยเยี่ยนคิดอย่างเงียบงัน

ใครก็ตามที่ถูก ‘หยกจิตกำหนัด’ เข้าไป หลังจากได้เติมเต็มความปรารถนา พวกเขาจะไม่หลับไหลเพราะความเหนื่อยอ่อน ตรงกันข้าม สมองของพวกเขาจะปลอดโปร่ง สามารถจดจำทุกขณะที่เกิดขึ้นก่อนหน้าได้อย่างชัดเจน

ลมเย็นพัดร่างเปลือยเปล่าของเมิ่งจื่อจนตัวสั่น นางค่อยๆลืมตาขึ้นมองเย่หวูเฉินที่กำลังหลับอยู่ หัวใจนางสับสนและไม่อาจสงบลง นางทำได้เพียงมอง ราวกับว่าต้องการจดจำชายผู้นี้ที่พรากความบริสุทธิ์ของนางไป... ต่อให้นางพยายามเพียงใด ชั่วชีวิตนี้ของนางจะไม่อาจลืมลง

เวลาผ่านไปนานมาก ในที่สุดนางก็ยืนขึ้นด้วยตัวที่ยังสั่น เป็นเพียงบุปผาแรกแย้ม แต่นางกลับต้องถูกกระหน่ำรุนแรง หากไม่ใช่เพราะนางมีพลังยุทธที่แข็งแกร่ง นางคงไม่อาจทนรับการทำลายล้างนี้ได้ เพียงขยับนิดเดียว นางเจ็บน้ำตาแทบเล็ดและอยากร้องอุทานเพราะเจ็บปวด บนร่างของเขาและร่างของนาง ต่างมีร่องรอยทุกแห่ง บนอกของนางมีรอยจ้ำที่มากกว่าเสวี่ยเฟยเยี่ยน บนพื้นมีร่องรอยสีแดงที่เห็นได้ชัดเจน

“ท่านชื่ออะไร?” นางสัมผัสใบหน้าของเย่หวูเฉิน น้ำตาของนางไหลออกมาขณะที่นางเปล่งเสียงปีศาจอย่างสั่นเครือ หลังจากร่วมทางกันมาหลายวัน ในที่สุดนางก็มีโอกาส ไม่มีสาวน้อยชุดดำอยู่ข้างกายเขา ไม่มีใครอยู่ที่นี่ และเขากำลังหลับสนิทอยู่เบื้องหน้านาง

“เย่... หวูเฉิน...” เปลือกตาเขายังคงปิด แต่มุมปากขยับเล็กน้อยเปล่งเสียงอ่อนโยนเหมือนละเมออยู่ เสียงของเมิ่งจื่อผ่านหูของเขาเข้าสู่ส่วนลึกในจิตใจ

พลังเสียงปีศาจคือเสียงที่ผสานแฝงด้วยพลังจิตใจ นอกจากเย่หวูเฉินแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงการมีอยู่ของสามธาตุลิขิตชะตา ชีวิต , มรณะ และจิตใจ ดังนั้นเสียงปีศาจจึงเป็นพลังที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

แหมะ...

น้ำตาหยดลงบนอกของเย่หวูเฉิน เมิ่งจื่อไม่สนใจที่ดวงตาที่เต็มไปด้วยม่านน้ำ มือของนางยังคงอยู่บนใบหน้าของเขา นางไม่กลัวว่าเขาจะพลันตื่นขึ้นมา เพราะเมื่อผู้ใดตกอยู่ใต้พลังของเสียงปีศาจ ระหว่างนั้นพวกเขาจะไม่อาจตื่นขึ้นมา

“บ้านของท่านอยู่ที่ไหน?”

“เมืองเทียนหลง... ตระกูลเย่”

“ปีนี้... ท่านอายุเท่าไหร่?”

“17 ปี”

ทุกคำถามของเมิ่งจื่อ เขาจะตอบตามจริงทั้งหมด น้ำตาที่หยดบนอกของเย่หวูเฉินเริ่มนองเป็นแอ่ง

“ท่านรู้หรือไม่ว่ากระบี่หนานฮวงอยู่ที่ไหน?” นางจ้องมองที่เปลือกตาเขาขณะที่ถามอย่างอ่อนโยน

“ข้าไม่รู้...”

เมิ่งจื่อดวงตาสั่นไหว นางกล่าวเสียงเบา “ถ้าเช่นนั้น เหตุใดท่านถึงบอกสำนักจักรพรรดิใต้ว่าท่านรู้ที่อยู่ของกระบี่หนานฮวง?”

“เพราะอาจารย์ของข้าเคยเห็นรูปกระบี่หนานฮวงจากบันทึกวงศ์วานของสำนักจักรพรรดิใต้ และท่านได้เล่าให้ข้าฟัง มีใครบางคนต้องการครอบงำตระกูลเย่ของข้า เพื่อให้สำนักจักรพรรดิใต้ปกป้องตระกูลเย่ ข้าจึงวาดรูปกระบี่หนานฮวงและใช้มันเป็นเงื่อนไข ให้สำนักจักรพรรดิใต้ปกป้องตระกูลเย่ของข้า” เย่หวูเฉินกล่าวพึมพำ

เมิ่งจื่อกลายเป็นเงียบงัน นางไม่คิดเลยว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้

นางอดกลั้นความเจ็บปวดที่โคนขาและร่างกาย สวมใส่ชุดของนางขณะสับสน ชุดของนางถูกถอดออกด้วยตนเอง ดังนั้นมันไร้ความเสียหายใดๆ

เมื่อสวมชุดเสร็จ นางย่อกายลง นำมีดสั้นออกมาจ่อที่ลำคอของเขา เมื่อใบมีดเย็นเยียบแตะผิวของเขา มือของนางสั่นสะท้านรุนแรง นางไม่อาจทำใจลง และได้แต่เคลื่อนมีดสั้นถอยออกมา

ในฐานะเจ้าหญิงเผ่าเสียงปีศาจ นางจะไม่รู้ผลข้างเคียงของพลังเสียงปีศาจได้อย่างไร? ในเวลานี้ พันธะวิญญาณยังไม่ส่งผลเต็มที่ วันนี้นางจะสามารถใช้เสียงปีศาจควบคุมเขาได้เป็นวันสุดท้าย หากนางสามารถสังหารเขา พันธะวิญญาณที่ยังไม่ส่งผลสมบูรณ์จะถูกถอนออก และชะตาของนางจะไม่ต้องตกอยู่ในมือเขา เมื่อผ่านวันนี้ไปแล้ว ต่อให้นางฝึกพลังเสียงปีศาจถึงขั้นสูงสุด มันก็ยังจะไร้ผลกับเขาใดๆ นางจะไม่อาจรักใครได้อีก ความรักทั้งหมดของนางจะมีเพื่อเขา และนางจะไม่มีวันทำร้ายเขาได้ เขาจะสามารถระบุตำแหน่งของนางได้ทุกเวลา สามารถลบพลังเสียงปีศาจของนางได้ทุกขณะ หรือกระทั่งพรากชีวิตนาง

ภารกิจที่เหยียนซีหมิงต้องการให้นางทำ หนึ่งในนั้นคือสังหารเขา...

มือของนางยังคงสั่น ไม่ว่านางจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่อาจลดมีดสั้นลง มือของนางสั่นไหว หัวใจก็สั่นสะท้านเช่นกัน ทำไมนางจึงไม่อาจสังหารเขาได้ทั้งที่พันธะวิญญาณยังไม่ส่งผล? ก่อนที่เขาจะสามารถกุมชะตาของนางไว้ในมือ

“ข้าคือสตรีคนแรกของท่านใช่หรือไม่?” นางมองใบหน้าของเขา รอยยิ้มของนางทั้งงดงามและโศกเศร้า

“ใช่...”

“เช่นนั้น ท่านจำชื่อของข้าได้หรือไม่?”

“เมิ่ง... จื่อ...”

มีดสั้นเย็นเยียบเคลื่อนออกจากลำคอ จากนั้นจิ้มลงบนพื้นเปียก แขนขาวเคลื่อนขยับ เขียนสามคำชัดเจนไว้อยู่ข้างเขา

เหยียนจื่อเมิ่ง

นางสะบัดแขนโยนมีดสั้นออกจากมือ นางไม่อาจทำได้ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ทุกๆครั้งที่คมมีดเข้าใกล้เขา หัวใจของนางจะรู้สึกเจ็บปวด นางโยนมันไปไกล จากนั้นนางหยิบเสื้อผ้าของเขาขึ้นจากพื้น สวมชุดให้เขาอย่างอ่อนโยนตั้งแต่ผ้าชั้นในรวมไปถึงชุดนอก

มือของนางดูเงอะงะด้วยไม่เคยทำมาก่อน เป็นครั้งแรกที่นางช่วยคนอื่นสวมใส่ชุดนอกเหนือจากตัวเอง และยังเป็นครั้งแรกที่ได้ช่วยเขา ท่าทางของนางทั้งนุ่มนวลและพิถีพิถันราวกับภรรยาปรนนิบัติต่อสามี

เมื่อมาถึงถุงเท้าและรองเท้า นางนึกถึงตอนที่เขาบังคับถอดถุงเท้านางออกเพื่อรักษาบาดแผล ทั้งที่นางดิ้นรนขัดขืน รอยยิ้มและน้ำตาปรากฎบนใบหน้าของนาง เยือกเย็นงดงามราวบุปผาหลังฝนพรำ

นางประคองร่างจัดแจงชุดให้เขารวมทั้งชุดขาวหิมะของนาง จากนั้นนางวางร่างของเขาราบลงบนพื้น ขลุ่ยหยกสั้นสีเขียวเคลื่อนออกมาจากแขนเสื้อของเขาด้วยเสียงเบา ดวงตานางสั่นไหว นางจัดแจงผมเผ้าให้เขา จากนั้นหยิบขลุ่ยหยกสั้นสีเขียวขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

เล่าลือกันว่า เขาใช้ขลุ่ยนี้เป่าเพลงที่ทำให้ผู้คนนับพันต้องหลั่งน้ำตา

นางไม่ได้คืนขลุ่ยใส่แขนเสื้อเขา แต่จับมันด้วยสองมือทาบกับอกตน นางค่อยๆถอยหลังออกมาช้าๆ ขณะที่ถอยออกไปใบหน้าของเขาห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ดวงตานางพร่าไหวอีกครั้ง นางปาดน้ำตา มองที่เขาครั้งสุดท้ายก่อนเคลื่อนเท้าออกไป เรือนร่างสีขาวงดงามเคลื่อนจากเขาไป

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ม้าพรายหิมะพันลี้ที่มีสีขาวทั้งร่าง ก็ค่อยๆเหยียบเท้าย่างตรงไปทางทิศเหนือ

เมื่อเสียงฝีเท้าม้าจางไป เย่หวูเฉินก็ลืมตาแล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน มองไปยังทางทิศเหนือ ส่ายศีรษะแล้วกล่าวเสียงเบา “ไปแล้ว... นางยังคงจากไป...”



<<<PREV    .    NEXT>>>