วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 130

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 130 ทำร้ายหลินอวี้

เมืองเทียนหลงเนืองแน่นไปด้วยผู้สัญจร แต่ผู้ที่ขี่ม้ากลับมีอยู่น้อยนิด เห็นได้ชัดว่าเย่หวูเฉินและหลงเจิ้งหยางเป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน หลงเจิ้งหยางรีบร้อนแทบไม่อาจอดทน ตามที่เขาบอก โอกาสรอดของหลินซิวเหลือน้อยอย่างยิ่ง ทุกขณะเวลาคือวิกฤตชีวิตของนาง เขาไม่กล้ารอช้าแม้เพียงนาทีหรือเสี้ยววินาที ทางฝั่งของหลินซิว ผู้คนจำนวนมากกำลังรอด้วยหัวใจระส่ำระส่าย

“พี่หลง ท่านไม่เคยเห็นข้าทำการรักษา แต่ดูจากความคาดหวังของท่าน ราวกับท่านแน่ใจว่าข้าสามารถรักษาพระมารดาของท่านได้ เป็นเพราะเหตุใดกัน?” เย่หวูเฉินถามด้วยความสงสัย

“สัญชาตญาณ” หลงเจิ้งหยางตอบกลับจริงจัง

“สัญชาตญาณ?”

“ถูกต้อง! เมื่อครั้งที่พวกเราเจอกันในเมืองเทียนเล่ยเล็กๆนั่น นับว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิตอันยิ่งใหญ่ เมื่อตอนที่เจ้ากับหนิงเสวี่ยจากไป ท่านปู่ข้ากล่าวคำที่ทำให้ข้าต้องหวั่นกลัว เขากล่าวว่า... ทวีปเทียนเฉินจะสั่นสะเทือนเพราะเจ้า”

“.......”

“ข้าไม่เคยสงสัยในสิ่งที่ท่านปู่กล่าว แต่ในครั้งนั้นข้าเชื่อเพียงเสี้ยวเดียว... ตอนนี้ความสามารถที่เจ้าแสดงออกมาทำให้ข้าเชื่อถึงแปดในสิบส่วน ทุกๆสิ่งที่เจ้าทำล้วนเหนือความคาดหมายของผู้คน เมื่อไม่กี่วันก่อน เถาไปไปถึงกับตกตายด้วยมือของเจ้า แม้เรื่องนี้จะไม่รู้กันโดยทั่วไป แต่ข้าก็ยังคงรู้ เวลานี้ข้าอยากรู้จริงๆ ว่ามีสิ่งใดบ้างที่เจ้าไม่สามารถกระทำ” หลงเจิ้งหยางมองด้วยสายตาซับซ้อน

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะและยิ้มบาง “พี่หลง ท่านประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว”

“ไม่เกินไปหรอก กลับยังต่ำกว่าความเป็นจริง เจ้าถูกฟ้ากำหนดให้ไม่ใช่คนธรรมดา ข้าเชื่อว่าเจ้ามีหนทางรักษามารดาข้า” หลงเจิ้งหยางกล่าว

สองบุรุษควบม้าวิ่งไปเร็วราวกับสายฟ้า ผ่านครึ่งระยะทางอย่างรวดเร็ว บนถนน มีชายหนุ่มเจ้าเล่ห์และยโสผู้หนึ่งออกมาจากร้านอาหารพร้อมผู้ติดตามสามคน เขาคือหลินอวี้แห่งตระกูลหลิน ในเวลานี้ตระกูลหลินต่างวุ่นวายเพราะเรื่องของหลินซิว แต่บุตรชายคนที่สองของตระกูลหลินกลับทอดน่องลอยชายไม่กังวล ต่อให้ฟ้าถล่มใส่ศีรษะก็ตาม เขายังคงท่องไปทั่วเมืองใช้เวลาดื่มกินอย่างสุขสำราญ

ม้าสองตัวควบตะบึงมุ่งตรงไปที่เขา  เมื่อเขาเหลือบเห็นเย่หวูเฉินบนหลังม้า สายตาพลันทะมึนลง เพลิงโทสะในใจลุกกระพือ เขากล่าวเสียงต่ำ “ไป ทำให้คนผู้นั้นตกลงจากหลังม้า”

เนื่องจากไม่พบหน้ากันนานกว่าห้าปี เขาจึงไม่อาจจดจำได้ว่า ชายที่อยู่ข้างๆเย่หวูเฉินคือองค์ชายรัชทายาท หลงเจิ้งหยาง

ราวกับช่ำชองทำเรื่องชั่วช้ามาก่อน ผู้ติดตามทั้งสามลงมือโดยไม่ลังเล แต่ละคนนำแส้ประหลาดออกมา หากพวกเขาสามารถฟาดแส้ใส่เท้าม้าได้ ชายที่อยู่บนหลังม้าย่อมปลิวไปไกลและร่วงลงมาบาดเจ็บรุนแรง

ขณะที่หลินอวี้เห็นเย่หวูเฉิน เย่หวูเฉินเองก็เห็นเขาก่อนแล้ว เมื่อคนทั้งสามใกล้เข้ามาพร้อมแส้ เย่หวูเฉินแค่นเสียงเย็นชา “พี่หลง ข้าคิดว่ามีใครบางคนอยากขวางทางพวกเรา”

หลิงเจิ้งหยางกระวนกระวายจนอยู่ไม่ติด ด้วยกังวลในชีวิตของหลินซิว แต่เมื่อได้ยินคำ ความกังวลพลันหายเขาตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ผู้ใดขวางทางพวกเรา มันต้องตาย!”

เมื่อสิ้นเสียงลง มีสองคนแทรกร่างออกมาจากฝูงชน ต่างเหวี่ยงแส้จากคนละด้านเล็งไปที่ขาม้าของเย่หวูเฉิน เย่หวูเฉินถือแส้ม้าเร่งพลังหวูเฉิน ฟาดแส้ยาวออกไปราวอสรพิษ มันพุ่งตรงไปที่คนทั้งสอง ฟาดแส้แต่ละครั้งกระทบเข้าที่อกแต่ละคน

คนทั้งสองร้องโหยหวนพร้อมกับร่างที่ปลิวกระแทกออกไป พวกเขานอนแผ่หมดสติอยู่บนพื้น บนอกแต่ละคนมีรอยแผลยาวโชกเลือดที่เห็นได้อย่างชัดเจน

เย่หวูเฉินเหลือบมองที่หลินอวี้ ผู้ที่ยืนโง่ด้วยความตะลึง มือขวาของเย่หวูเฉินเหวี่ยงออกในทันที

“รอเดี๋ยว เขาคือ...” ในที่สุดหลงเจิ้งหยางก็เห็นว่าเขาคือหลินอวี้ เขารีบห้ามเย่หวูเฉินไม่ให้ลงมือ แต่แส้ม้านั้นได้เหวี่ยงออกไปแล้ว เขาช้าเกินไป

เสียงตะโกนโหยหวนราวกับหมูถูกเชือด พร้อมเสียงแส้หวดเข้าที่ขาขวาของหลินอวี้ราวกับมีดสั้น ยิ่งกว่านั้น มันฟาดถูกเส้นเอ็นอย่างเหมาะเจาะพอดี

โลหิตสดพุ่งกระจายไปทั่ว หลินอวี้กุมขาขวานอนบนพื้น กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด บนศีรษะหลั่งเหงื่อกาฬ เพียงไม่นานเขาก็สลบลงด้วยความเจ็บปวดที่เสียดแทง ฝูงชนกลายเป็นแตกตื่นในทันใด ผู้ติดตามอีกคนโชคดีที่รอดพ้นจากบทละครโศก ขาทั้งสองของเขาสั่นอย่างรุนแรง เป็นเวลานานกว่าเขาจะเรียกความสงบใจกลับคืน

“เขาไม่เป็นไร ไม่ถึงกับตายหรอก พวกเราเสียเวลาล้ำค่าในการรักษาชีวิตพระมารดาของท่าน โทษของเขาเพียงพอที่จะถูกประหาร” เย่หวูเฉินกล่าวเย็นชา มุมปากเผยรอยยิ้มปีศาจโดยไม่มีใครสังเกต เขาระบายโทสะโดยไม่คำนึงผลลัพธ์ ตระกูลหลินต้องติดค้างเขาในเรื่องนี้ พวกเขาต้องยอมรับโดยไม่เสียใจ เพราะเมืองเทียนหลงตอนนี้มีคนชั่วน้อยลงอีกหนึ่งคน

คำพูดของเย่หวูเฉินทำให้หลงเจิ้งหยางเลิกความคิดยั้งหยุด เขาลอบถอนหายใจ วางเรื่องนี้ไว้เบื้องหลังแล้วมุ่งกลับไปที่วังด้วยความเร็วสูงสุด

ในชั่วพริบตา พวกเขาก็มาถึงวังหลวงอย่างรวดเร็ว ด้วยมีหลงเจิ้งหยางนำทาง ราชองครักษ์ล้วนไม่ขวางและปล่อยให้พวกเขาผ่านเข้ามา เมื่อหลงเจิ้งหยางและเย่หวูเฉินมาถึงห้องของจักรพรรดินี ข้างในเต็มไปด้วยผู้คน ต่างเริ่มคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ตระกูลหลินจ้องมองเย่หวูเฉินที่เข้ามาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นหันหน้าไปทางทิศตรงข้ามด้วยความเหยียดหยัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าเย่หวูเฉินสามารถรักษาหลินซิว

สิ่งแรกที่เย่หวูเฉินเห็นคือชายชรายืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว เขาสังเกตเห็นเพียงแค่เหลือบตามอง ชายชรามองกลับมาที่เขาด้วยสีหน้าราบเรียบ จากนั้นถอนสายตากลับอย่างไร้อารมณ์ นอกจากลักษณะภายนอกที่โดดเด่น ชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่มีสิ่งใดที่ดูเป็นพิเศษ

“น้องเย่เร็วเข้า รีบดูอาการของมารดาข้าเร็ว” หลงเจิ้งหยางลากเย่หวูเฉินตรงไปที่เตียงของหลิวซิน ในเวลานี้ มีเพียงเปลือกตาของหลินซิวเท่านั้นที่ขยับ ทั่วร่างของนางไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป เมื่อครู่ที่ผ่านมา เงาสีเทาจางบนร่างด้วยพลังของฉุ่ยหนานเหอได้หายไป ตอนนี้แทนที่ด้วยเงาสีเทาทะมึนยิ่งกว่าเดิม

ผู้คนต่างเงียบงัน ขณะมองเย่หวูเฉินผู้กำลังครุ่นคิด หลงเจิ้งหยางขยับออกมาอยู่ด้านข้าง แม้ในหัวใจไม่หลงเหลือความหวัง แต่เขายังต้องการให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

เย่หวูเฉินหยักหน้า ขณะยืนมองหลินซิวโดยไม่กล่าวถ้อยคำ ดูจากสีหน้าของนาง ปราณมรณะได้แพร่ไปทั่วทั้งร่างแล้ว สูบกลืนพลังชีวิตทั่วทุกส่วนในร่างกาย ในวันนี้นางจะต้องตกตายอย่างแน่นอน พรุ่งนี้ร่างของนางจะกลายเป็นศพเหี่ยวแห้ง

นี่คือพลังมรณะอันน่ากลัว เนื่องจากพลังมรณะของเย่หวูเฉินยังไม่แกร่งกล้าพอ เขาจึงต้องใช้เวลารวมพลัง และรอเวลาหลายวันเพื่อให้มันแสดงผล

หลังจากเงียบเป็นเวลานาน เย่หวูเฉินยังคงไม่ขยับและเพียงสำรวจด้วยสายตา เขากระทั่งไม่สัมผัสจุดชีพจร ไม่ไต่ถามใดๆ ทั้งไม่ตรวจร่างกาย สีหน้าเขาราบเรียบ หลงหยินอดถามไม่ได้ “หวูเฉิน ข้าได้ยินว่าเจ้าชำนาญการแพทย์อย่างเหนือล้ำ เจ้าสามารถรักษาจักรพรรดินีได้หรือไม่? หากเจ้าทำได้ ข้าย่อมตบรางวัลให้เจ้าอย่างแน่นอน”

เย่หวูเฉินหันไปแล้วถาม “นางกำนัลของนางอยู่ที่นี่หรือไม่? ข้ามีบางสิ่งจะถามนาง”

หลงเจิ้งหยางดีใจอย่างมาก เขาคิดว่าเย่หวูเฉินต้องพบบางอย่างและรีบกล่าว “โปรดรอสักครู่น้องเย่ ข้าจะรีบไปเรียกนางให้”

เขารีบออกไปด้วยความเร็วสูงสุด

“น้องชายท่านนี้ ผู้ชราเห็นท่าทางของเจ้ามั่นอกมั่นใจ สีหน้าไร้ระลอกความลังเล ดูเหมือนเจ้าจะพบบางสิ่ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้ารู้คำตอบแล้ว?” ฉุ่ยหนานเหอกล่าวอย่างสุภาพขณะลูบหนวดเคราสีขาว

“ก็แค่วางท่าละว้า” หลินซานที่อยู่ด้านข้าง กล่าวเสียงเย็นชาด้วยน้ำเสียงที่ยากจะได้ยิน

“โอ้?” เย่หวูเฉินไม่ตอบคำฉุ่ยหนานเหอ กลับกันเขาหันหน้าไปทางหลินซาน ขมวดคิ้วมุ่นและกล่าว “ใต้เท้าหลิน ท่านมีสิ่งใดไม่พอใจข้าอย่างนั้นหรือ?”

หลินซานจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเย่หวูเฉินได้อย่างไร? เขากล่าวด้วยความขุ่นข้องโดยไม่ลังเล “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านเซียนผู้นี้คือใคร? เขาคือเทพโอสถแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ ปรมาจารย์การแพทย์ที่ทุกคนในทวีปเทียนเฉินรู้จักกันดี กระทั่งเขายังไม่อาจรักษาจักรพรรดินี อย่าบอกข้านะว่าฝีมือแพทย์ของเจ้าเหนือกว่าเขา? ข้าจะแนะนำบางอย่างให้ อย่าได้ริอวดโอ่วางท่า รีบถอนตัวก่อนจะกลายเป็นตัวบัดซบ”

หลงหยินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย แต่เขาไม่กล่าวคำใด ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กระทั่งคนโง่ยังดูออกว่าเรื่องต่างๆก่อนหน้าที่เย่หวูเฉินทำ ล้วนมุ่งเป้าโจมตีไปที่ตระกูลหลิน ตระกูลหลินสั่งสมความแค้นไว้ล้ำลึก เมื่อต่างฝ่ายมาเผชิญหน้ากัน วาจาดุเดือดย่อมเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง

เย่หวูเฉินถอนหายใจยาว คล้ายเสียใจและพยักหน้าอย่างจนใจ เขาหันไปหาหลงหยินแล้วกล่าว “ฝ่าบาท ข้ามีบางสิ่งที่ไม่เข้าใจ”

“มีเรื่องใดที่เจ้าไม่เข้าใจ? จงกล่าวออกมาเถอะ”

“หวูเฉินได้ยินมาว่าในหมู่ตระกูลเข้มแข็งสูงสุดของเมืองเทียนหลง หนึ่งคือพวกเราตระกูลเย่ ทุกคนรู้ว่าขุนพลชราเย่เป็นผู้กล้าตลอดทั้งชีวิต เขากล้าหาญนำทัพเกรียงไกรรบพุ่งไม่รู้กี่ครา ในวันเก่าก่อน เขาสังหารกองทัพอาณาจักรต้าฟง คร่าหมวกเหล็กและชุดเกราะของพวกเขา ชื่อเสียงของเขาลือลั่นในกองทัพอย่างไร้ที่เปรียบ บุตรชายของเขาเป็นดั่งเช่นบิดา ขุนพลเย่เดินตามรอยเท้าบิดาเข้าสู่สมรภูมิ เขาสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ไม่สนชีวิตและความตาย เขาทำลายทัพหน้าของศัตรู เป็นที่เคารพอย่างยิ่งยวด ตระกูลเย่ของข้าใช้เลือดเนื้อและความภักดีแลกมาจึงควรค่ามีวันนี้! ในทางกลับกัน กลับมีตระกูลหลิน ที่หวูเฉินไม่เข้าใจจริงๆก็คือ ตระกูลหลินมีสิ่งใดที่คู่ควรเปรีบเทียบกับพวกเราตระกูลเย่?”

“เจ้า!” หลินซานชี้ที่เย่หวูเฉิน ใบหน้าเต็มไปด้วยโทสะ แต่เย่หวูเฉินไม่แม้กระทั่งเหลือบแล ดวงตากระจ่างใสจับจ้องอยู่ที่หลงหยิน

“โอหัง กระทั่งอยู่ต่อหน้าฝ่าบาท เจ้ายังกล้าสามหาวเช่นนี้? เจ้าเด็กเมื่อวานซืนไม่มีสิทธิ์วิจารณ์พวกเราตระกูลหลิน!” หลินขวงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว

เย่หวูเฉินหัวเราะร่วน “เป็นตระกูลที่เลิศเลออะไรเช่นนี้ ใต้เท้าหลินซาน ท่านสมควรเป็นผู้นำหลักของตระกูลคนปัจจุบัน ในฐานะผู้นำตระกูล ท่านกล่าววาจาจ้วงจาบต่อรุ่นเยาว์ที่มารักษาน้องสาวของท่านโดยเฉพาะ ตระกูลหลินปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนี้หรอกหรือ? เพียงคำพูดเรื่อยเปื่อยไม่กี่คำของข้า กลับทำให้ตระกูลหลินสองรุ่นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พวกท่านฝึกบ่มอบรมตนถึงเพียงนี้ กลับไม่อาจรำงับตนเองและดุด่าข้าผู้เยาว์ได้อย่างรุนแรง ตระกูลที่อยู่ภายใต้การนำของคนอย่างท่าน จะคู่ควรเปรียบเทียบกับตระกูลเย่ของข้าได้อย่างไร?”

หลงหยินขมวดคิ้วมุ่นแล้วกล่าวราบเรียบ “คำกล่าวของเจ้าค่อนข้างไม่เหมาะ ระยะหลังตระกูลหลินสร้างผลงานให้อาณาจักรเทียนหลงด้วยเช่นกัน”

“อย่างนั้นข้าขอบังอาจถามฝ่าบาท คำพูดของข้ามีส่วนไหนที่ผิดอย่างนั้นหรือ?” เย่หวูเฉินถาม ถ้อยคำของเขาทั้งไม่ก้าวร้าวหรือหยาบคาย

ผู้ที่ฟังต่างรับรู้ว่าคำกล่าวของเย่หวูเฉินนั้นถูกต้องทุกถ้อยคำ ถ้อยคำสั้นๆของหลินซานกลับถูกขยายความโดยเย่หวูเฉินโดยไม่ผิดเพี้ยนใดๆ และอันที่จริง เย่หวูเฉินมาที่เพื่อรักษาจักรพรรดินีโดยเฉพาะ แต่หลินซานกลับโพล่งถ้อยคำออกมาโดยไร้เหตุผล ผู้นำตระกูลปฏิบัติตนน่ารังเกียจเช่นนี้ได้อย่างไร? ความระงับชั่งใจยิ่งไม่อาจเทียบกับตระกูลเย่ กระทั่งความสำเร็จของทั้งสองตระกูลล้วนแตกต่างกันอย่างสุดแสน

หลงหยินส่ายศีรษะอย่างจนใจ มองหน้าหลินขวงกับหลินซานแล้วกล่าว “ขุนพลหลิน เมื่อครู่เจ้ากล่าวถ้อยคำหยาบคาย ไม่ว่าเจ้าจะมีเรื่องเข้าใจผิดกับหวูเฉินมาก่อน การกล่าวกับรุ่นเยาว์ด้วยถ้อยคำเช่นนี้นับว่าไม่สมควร ทั้งยังสร้างความขายหน้าต่อตระกูลหลิน ดังนั้น พวกเจ้าหุบปากซะ”

หลินซานไม่คิดเลยว่าคำพูดที่เขาหลุดปากจะนำความอับอายมาสู่ตนได้ถึงเพียงนี้ กระทั่งยังทำให้ตระกูลถูกวิจารณ์ ตอนนี้เขาทำได้เพียงเก็บรำงับความโกรธจนใบหน้าเป็นสีแดง

เมื่อถึงคราวปะทะฝีปาก ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะเย่หวูเฉินได้



<<<PREV    .    NEXT>>>