วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 148

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 148 ค่ายกลพันเวทย์

หลังจากเย่หวูเฉินออกจากเมืองเทียนหลงได้สิบวัน

“องค์หญิงเฟยฮวง บ่าว...”

พอได้ยินเสียง หลงฮวงเอ๋อร์กระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งเร็วจี๋ นางจับเสื้อนางกำนัลแล้วถาม “เขากลับมารึยัง?”

“นายน้อยเย่ยังไม่กลับมา... พวกเขาบอกว่านายน้อยเย่จะกลับมาในอีกครึ่งเดือน ดังนั้นองค์หญิง...” นางกำนัลกล่าว นางสาธยายให้องค์หญิงเฟยฮวงมาแล้วไม่รู้กี่หน แต่หลงฮวงเอ๋อร์ก็ยังเอ่ยปากถามทุกวัน

หลงฮวงเอ๋อร์ผิดหวังและปล่อยนาง กลับไปนั่งที่เก้าอี้แล้วนำชิ้นผ้าปักขาวที่ยังไม่เสร็จมาปักต่อ ตอนนี้นางเริ่มคล่องกว่าสิบวันที่แล้ว นิ้วน้อยๆมีรอยแดงหลายจุด แต่ไม่คิดยอมแพ้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ลงมือทำบางสิ่งด้วยตัวเอง มีลายบางอย่างที่ปักแล้ว... ดูคลับคล้ายว่าจะเป็นรูปบุรุษ

ในท้องพระโรงเทียนหลง ขุนนางนายพลแบ่งข้างยืนอยู่สองฝั่ง หลงหยินกวาดตามองทั้งซ้ายและขวาจากนั้นกล่าวด้วยใบหน้าภาคภูมิ “เช้านี้ข้าได้รับข่าวมาว่า อาณาจักรต้าฟงมีจักรพรรดิองค์ใหม่ ฟงเลี่ยขึ้นครองบัลลังก์เมื่อวาน ครั้งนี้เขาไม่ได้เชิญอาณาจักรเทียนหลงของข้าให้ร่วมพิธีสวมมงกุฎ เช่นเดียวกับอาณาจักรคุยชุยและชางหลาน ในวันพิธีเดียวกัน เขาได้แต่งตั้งโอรสคนโต ฟงหลิง ขึ้นเป็นรัชทายาท และยังประกาศว่าองค์รัชทายาทฟงหลินจะมาเยี่ยมเยือนอาณาจักรเทียนหลงในฐานะฑูต เรื่องนี้พวกท่านมีความเห็นกันว่าอย่างไร?”

ท้องพระโรงแห่งเทียนหลงเงียบอย่างยิ่ง ทุกคนมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก เป็นชูเกอหวูอี้ที่ก้าวออกมา “ทูลฝ่าบาท ฟงเลี่ยผู้นี้ได้มอบหมายให้โอรสองค์อื่นๆไปเยี่ยมเยือนอาณาจักรคุยชุยและชางหลานด้วยหรือไม่?”

หลงหยินตอบ “ไม่, มีเพียงอาณาจักรเทียนหลงของพวกเรา นี่คือเหตุผลหลักที่ข้ากังวล จากความทะเยอทะยานของฟงเลี่ยในวันเก่าก่อน ข้าไม่คิดว่าพวกมันเพียงมาเยี่ยมเยือนอาณาจักรเทียนหลงเท่านั้น เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างแอบแฝง”

“ทูลฝ่าบาท!” หลินซานก้าวออกมาแล้วกล่าว “อาณาจักรต้าฟงมีกำลังทหารแข็งแกร่ง เพียงหนึ่งอาณาจักรสามารถต่อกรได้ถึงสามอาณาจักร เป็นเวลากว่ายี่สิบปีที่พวกมันซ่องสุมกำลังพล ฟงเลี่ยย่อมมีความคิดรุกราน สงครามใหญ่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ข้าเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วสมครามย่อมอุบัติขึ้น เหตุใดพวกเราถึงไม่จับกุมตัวองค์รัชทายาทแห่งอาจักรต้าฟงไว้เป็นตัวประกัน เพื่อใช้ข่มขู่อาณาจักรต้าฟงให้กลัวว่าเราจะสังหาร...”

“ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด!” เสียงคำรามดังของเย่หนู่ขัดจังหวะ “การที่องค์รัชทายาทของอาณาจักรต้าฟงมาที่นี่เพียงลำพัง เขาต้องมั่นใจอย่างยิ่ง หากอาณาจักรเทียนหลงจับตัวเขาไว้ ชื่อเสียงของอาณาจักรเทียนหลงเราจะเอาไปไว้ที่ไหน? ต่อให้พวกเราข่มขู่อาณาจักรต้าฟงได้แล้วทั้งโลกจะมองพวกเราแบบใด? นอกจากนั้น เทพสงครามฟงเฉาหยางแห่งอาณาจักรต้าฟงยังสาบานว่าจะปกป้องราชวงศ์ด้วยชีวิต หากองค์รัชทายาทแห่งต้าฟงถูกจับตัว เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวพันกับฟงเฉาหยาง เมื่อเทพสงครามเคลื่อนไหวต่อให้ทหารและม้านับหมื่นก็ไม่อาจหยุดเขาได้ และอาณาจักรเทียนหลงของพวกเราย่อมเสียหายอย่างหนัก ดังนั้นพวกเราทำไม่ได้เด็ดขาด!”

“ขุนพลชราเย่กล่าวถูกต้อง” ชูเกอหวูอี้กล่าวสนับสนุน “เรื่องนี้ย่อมทำให้ผู้คนตื่นตระหนก การจับกุมตัวย่อมไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม หากอาณาจักรต้าฟงกลัวว่าพวกเราจะจับตัว พวกมันจะส่งคนมาได้อย่างไร?”

ใบหน้าหลินซานซีดขาวและแดงก่ำ เขารู้ว่าโต้แย้งไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นจึงกล่าวอย่างละอาย “แน่นอนว่าขุนพลทั้งสองกล่าวได้ถูกต้อง เรื่องนี้ข้าคิดตื้นเขินเกินไป”

หลงหยินขมวดคิ้วแล้วถาม “ขุนพลชราเย่ ท่านคิดว่าพวกเราสมควรทำเยี่ยงใด?”

เย่หนู่ประสานมือแล้วกล่าว “ทูลฝ่าบาท องค์รัชทายาทมาเยือนย่อมมีเหตุผลสามประการ ประการแรก เพื่อสำรวจความรุ่งเรืองของอาณาจักรเทียนหลง เป็นหลักการรู้เขารู้เรา ด้วยความทะเยอทะยานของฟงเลี่ย อีกไม่นานเขาย่อมรุกรานอาณาจักรเทียนหลงของเรา และพวกเราจะไร้ทางเลือกนอกจากป้องกัน ประการที่สองคือเพื่อประกาศศักดิ์ดา ส่วนประการที่สาม... อาณาจักรเทียนหลง , คุยชุย และชางหลาน ต่างร่วมมือกันคานอำนาจอาณาจักรต้าฟง หากขาดไปเพียงหนึ่ง สมดุลอำนาจย่อมเสียไป พวกเขาส่งองค์รัชทายาทมาเยือนเพียงอาณาจักรเทียนหลงของเรา ย่อมทำให้อาณาจักรคุยชุยและชางหลานเกิดความสงสัยระแวง”

หลงหยินผงกศีรษะ ลอบถอนหายใจ ความสามารถโดยรวมของเย่หนู่นั้น ไม่ว่าหลินซาน , หลินขวง และหลินเหยียนจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจเปรียบ นี่คือเหตุผลที่เขาต้องควบคุมตระกูลเย่ในทางลับ ไม่อาจพุ่งเป้าต่อพวกเขาได้ซึ่งหน้า แต่เขาไม่คิดทำลายตระกูลเย่จนสิ้นสูญ เนื่องจากตระกูลเย่คือเสาหลักค้ำจุนกองทัพแห่งเทียนหลง หากไม่ใช่เพราะตระกูลเย่ ต่อให้อาณาจักรคุยชุยและชางหลานช่วยเหลือร่วมกัน อาณาจักรเทียนหลงคงถูกต้าฟงทำลายป่นปี้ไปนานแล้ว

“ดังนั้น บ่าวผู้ต่ำต้อยจึงเห็นว่า พวกเราควรรีบส่งข่าวแจ้งไปยังอาณาจักรคุยชุยและชางหลานในทันที บอกพวกเขาว่าอีกไม่นานอาณาจักรต้าฟงจะเคลื่อนไหว ย้ำเตือนความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรให้เตรียมรับมือมหาสงคราม ดังนั้น ก่อนที่องค์รัชทายาทแห่งต้าฟงจะมาถึง พวกเราควรแสร้งเตรียมกำลังทหารให้แกร่งกล้ากว่าปรกติ เพื่อให้อาณาจักรต้าฟงลังเลในการรุกราน  สำหรับเรื่องอื่นให้เป็นไปตามบัญชาของฝ่าบาท ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทย่อมมีแผนอยู่ในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่องค์รัชทายาทมาเยือนเทียนหลง ดังนั้นจงให้เขาได้ประจักษ์ความเข้มแข็งของพวกเรา อย่าได้แสดงความอ่อนแอแม้เพียงนิด!”

กล่าวถึงการรับมือกับอาณาจักรต้าฟง จะมีผู้ใดที่เหมาะสมยิ่งกว่าเย่หนู่? เมื่อเขาได้เอ่ยวาจา ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำ หลงหยินกล่าว “ขุนพลชราเย่กล่าวถูกต้อง แม้ว่าอาณาจักรต้าฟงจะแข็งแกร่ง แต่อาณาจักรเทียนหลงของเราจะไม่แสดงความอ่อนแอต่อหน้าพวกมัน ในฐานะชาวเทียนหลง หากไม่คิดรังควานพวกเราก็จะไม่ตอบโต้ แต่หากจำเป็นต้องสู้เราชาวเทียนหลงก็ไม่กลัวสิ่งใด! เรื่องนี้ เราจะยังไม่ประกาศออกไป ขุนพลชราเย่ , ขุนพลชูเกอ ฟงหลิงสมควรใช้โอกาสนี้สำรวจกำลังทหารของพวกเรา พวกท่านจงไปเตรียมการโดยเร็ว ภายในสามวันนี้พวกเราจะข่มขวัญพวกมัน!”

............................................

“กาลครั้งหนึ่ง นานแสนนานมาแล้ว มีนางฟ้าที่สวยมากๆ...”

“หยุดเล่าเรื่องนี้ได้แล้ว” เมิ่งจื่อแค่นเสียงสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ในน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา แฝงแววอ้อนวอนขอความเมตตาจากเขา

ทุกครั้งที่เย่หวูเฉินเล่านิทานเรื่องนี้ หนิงเสวี่ยและทงซินที่รู้เหตุผลเรียบร้อย พากันจ้องเมิ่งจื่ออย่างแปลกๆ หนิงเสวี่ยกระทั่งถาม “พี่หญิงเมิ่ง ท่านกินได้เยอะขนาดนั้นจริงๆเหรอ?” ดังนั้นทุกครั้งที่เขาเริ่มเอ่ย “กาลครั้งหนึ่งมีนางฟ้า...” นางแทบอยากพุ่งเข้าไปเอามีดเสียบ

นางไม่รู้ตัวเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาค่อยๆใกล้ชิดกันขึ้นเพราะเรื่องนี้ หลังจากหลายวันที่อยู่ด้วยกัน แม้ว่านางจะยังคงรักษาความเงียบขรึม แต่ก็เริ่มเอ่ยวาจาด้วยตนเอง แววตาที่มองหนิงเสวี่ยและทงซินราวกับมองน้องสาวของตนเอง

เย่หวูเฉินไร้ทางเลือกนอกจากหยุด ใช้เสียงที่มีเพียงนางได้ยิน “ที่จริง... ข้าช่วยชีวิตท่าน และทุกวันท่านกินอาหารของข้า ดื่มน้ำของข้า นอนบนเตียงข้า... แทนที่ท่านจะขอบคุณข้า กลับทำสีหน้าบึ้งตึงราวกับข้าเป็นผู้ติดค้าง ตอนนี้กลับยังห้ามข้าไม่ให้เล่านิทาน เฮ้อ ข้านี่ช่างโชคร้ายจริงๆ”

“ท่าน!” เมิ่งจื่อจ้องเขม็ง จากนั้นแค่นเสียงบางแล้วเบือนหน้าออกไป นางกัดฟันไม่ให้หลุดการควบคุม คิดถึงหลายวันที่ผ่านมานางรื่นรมณ์กับทุกอย่างที่เป็นของเขา...

ไม่เจาะจงสถานที่ใดขณะเดินทาง เย่หวูเฉินเพียงมุ่งหน้าลงใต้ บางครั้งผ่านแดนรกร้างยังพอพบผู้คนเดินทางอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เดินบนถนนสะอาดอย่างดีมานานกลับไม่พบผู้ใด เย่หวูเฉินรู้สึกงุนงง แต่ตลอดการเดินทางเขายังคงเล่านิทานประหลาด โชคดีที่หนิงเสวี่ยและทงซินฟังเขาอย่างตั้งใจ

เมื่อเดินมาสุดถนน เป็นป่าเล็กๆที่ไม่หนาแน่นนัก เย่หวูเฉินหยุดเท้าลง

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ท่านพี่?” หนิงเสวี่ยถาม

เดินทางมานานกว่าสิบวัน ผ่านป่ามามากมาย พวกเขาคุ้นเคยกับป่าทุกประเภท เย่หวูเฉินงุนงงขณะมองที่ป่าเบื้องหน้า เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ต้นไม้พวกนี้เรียงตัวกันแปลกๆ”

“เอ๋?” หนิงเสวี่ยหันไปมองอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าว “ไม่เห็นแปลกนี่”

เย่หวูเฉินปล่อยหนิ่งเสวี่ยแล้วให้ทงซินจับมือนางไว้ “ทงซิน เจ้าคงรู้แล้วเช่นกันว่ามีสัตว์อสูรอยู่สองตัว ปกป้องเสวี่ยเอ๋อร์ให้ดี”

ทงซินพยักหน้า สีหน้าไร้ความกังวล

“ไปกันเถอะ” เย่หวูเฉินยืนข้างเมิ่งจื่อ เมิ่งจื่อขยับกายออกห่างอย่างเห็นได้ชัด เขาก้าวเข้าป่าอย่างไม่ลังเล นางจึงตามเข้าไปอย่างไร้ทางเลือก

หากตระกูลเย่ , ตระกูลหลิน และตระกูลฮั่ว คือตระกูลทางการเมืองที่แข็งแกร่งที่สุด เช่นนั้นตระกูลตงฟาง , ซีเหมิน , หนานกง และเป่ยหมิง ก็คือตระกูลเวทย์ที่เข้มแข็งที่สุด ใครก็ไม่ควรดูหมิ่นตระกูลเหล่านี้ พวกเขาดำรงอยู่ในอาณาจักรเทียนหลงหลายปีโดยไม่มีผู้ใดกล้ารังควาน พลังที่พวกเขาปกปิดไว้นั้นลึกซึ้งไม่อาจหยั่งคาด

เวลานี้เอง ในตระกูลซีเหมินเกิดความตื่นตัว

“นายน้อย มีผู้บุกรุกสี่คนเข้าไปในค่ายกลพันเวทย์” ชายแต่งกายด้วยชุดคนใช้คำนับเบื้องหน้าชายหนุ่มอายุราว 20 ปี ขณะที่เขากล่าวรายงาน

“พวกเขามาจากไหน?” ชายหนุ่มถามขณะลูบหินที่สว่างและสะอาดราวกระจก ค่ายกลพันเวทย์สร้างโดยสี่ผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลซีเหมิน คนที่เข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจะหลงติดอยู่ด้านในไม่สามารถออกมา หากพวกเขาไม่ถูกสังหารโดยสัตว์อสูรแข็งแกร่งสองตัว การจะออกไปได้นั้นมีโอกาสน้อยมาก

โดยปกติหากมีคนมาเยือนตระกูลซีเหมิน พวกเขาจะต้องตะโกนเรียกอยู่หน้าค่ายกลพันเวทย์ ซึ่งจะมีคนตอบรับไม่ว่าจะอนุญาตให้เข้ามาหรือไม่ก็ตาม เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วโดยชาวแดนใต้ เย่หวูเฉินไม่รู้เรื่องนี้เขาจึงบุกรุกเข้าไปด้านในโดยตรง

“ข้าไม่ทราบ แต่คนทั้งสี่นี้ไม่คุ้นหน้าสักคน”

ชายหนุ่มโบกมือ “บุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ไม่ต้องไปสนใจพวกมัน ปล่อยให้พวกมันตกตายกันเอง”

“ขอรับ”

พวกเขาสี่คนเดินรอบป่าเป็นเวลานาน เย่หวูเฉินขมวดคิ้วมุ่น เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และสถานที่แห่งนี้เงียบเชียบอย่างยิ่ง นองจากเสียงฝีเท้าของพวกตน เขาไม่ได้ยินเสียงอื่นใด

ต้นไม้เบื้องหน้าซ้อนเรียงกันเป็นชั้น เงาเรียงกันเป็นชั้นเช่นเดียวกัน แววตาของเย่หวูเฉินสั่นไหวฉับพลัน เขาหยุดเท้าแล้วมองขึ้นไปเบื้องบน

ดวงตะวันที่สมควรอยู่เบื้องหน้า ยามนี้กลับปรากฎอยู่เบื้องหลัง!

เมิ่งจื่อที่ตามมาทางขวาเมื่อเห็นเขาหยุด นางก็หยุดตาม จากนั้นมองไปรอบๆอย่างงุนงง เลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยเสียงเบา “พวกนางหายไปไหน?”

เย่หวูเฉินที่กำลังครุ่นคิดตื่นตระหนกทันทีที่ได้ยิน เขาหันกายไปรอบๆ สีหน้าเปลี่ยนในฉับพลัน หนิงเสวี่ยและทงซินที่เดินอยู่ทางซ้ายมือมาตลอด ตอนนี้กลับหายตัวไป



<<<PREV    .    NEXT>>>