วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 153

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 153 รัชทายาทต้าฟง ฟงหลิง

“ต้นไม้แฝด? ชื่อแปลกจัง ทำไมถึงเรียกว่าต้นไม้แฝดล่ะ?” หนิงเสวี่ยถาม เมิ่งจื่ออดไม่ได้และแอบเงี่ยหูฟัง

เย่หวูเฉินคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก้มศีรษะลงและเอ่ยเสียงเบา “บนท้องฟ้ามีนกคู่รัก บนผืนดินมีต้นไม้แฝด เสวี่ยเอ๋อร์เข้าใจความหมายของมันหรือเปล่า?”

หนิงเสวี่ยกระพริบตาไม่เข้าใจและส่ายศีรษะ “ทำไมต้องเป็นต้นไม้แฝดล่ะ?”

เย่หวูเฉินหันไป ชี้ที่ต้นไม้แฝดแล้วกล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ลองดูสิ ต้นไม้สองต้นนี้เหมือนคนสองคนพิงกันอยู่รึเปล่า? ร่างของพวกมันเติบโตพร้อมกัน รากของพวกมันประสาน กิ่งใบสอดซ้อนผูกพัน พวกมันแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อพวกมันยังมีชีวิตไม่ว่าจะฤดูกาลใด ไม่ว่าสายลมโชยพัดและตะวันส่องแสง หรือพายุเกรี้ยวกราดสายฝนกระหน่ำ  พวกมันก็กอดพยุงกันไว้มั่น หากต้องโค่นลงพวกมันจะล้มด้วยกัน หากต้องย่อยยับพวกมันก็จะร่วมเคียงดับสูญ เหมือนกับสองคนคู่รักที่พึ่งพิงกัน ไม่ว่าอยู่หรือตาย ก็จะร่วมเผชิญไม่หนีหายห่างกาย”

หนิงเสวี่ยอ้าปากน้อยๆเมื่อคำฟังคำอธิบายจบ นางมองต้นไม้แฝดอยู่พักหนึ่ง คล้ายต้องการฝังภาพต้นไม้พิงพักให้ประทับลึกในความทรงจำ เมื่อนางเคลื่อนสายตาออกและมองขึ้นมา เย่หวูเฉินเห็นปณิธานตั้งมั่นแห่งรักในแววตาที่ขัดกับวัย

“แล้ว...นกคู่รักล่ะ? พวกมันเหมือนต้นไม้แฝดหรือเปล่า?” หนิงเสวี่ยถามแผ่วเบาด้วยดวงตาม่านหมอก

“นกคู่รักคือนกสองตัว ตัวผู้และตัวเมีย แต่ละตัวมีปีกหนึ่งข้าง ตัวผู้มีปีกข้างซ้ายและตัวเมียมีปีกข้างขวา เมื่อพวกมันต้องการบินขึ้นฟ้า พวกมันจะประคองกันแล้วกระพือปีกบิน เมื่อมันทะยานร่างเหนือเวหา หากตัวหนึ่งตัวใดประสบภัย อีกตัวที่เหลือย่อมร่วงหล่นตกตาย เช่นเดียวกับต้นไม้แฝดที่หมายถึงคู่รักผู้พึ่งพิงกัน จะร่วมอยู่และร่วมตายด้วยกัน”

“บนท้องฟ้ามีนกคู่รัก บนผืนดินมีต้นไม้แฝด...” หนิงเสวี่ยพึมพำถ้อยคำ ขณะที่ยิ้มน้อยๆและเบียดชิดร่างอยู่ในอกของเย่หวูเฉิน

เมิ่งจื่อจ้องมองต้นไม้แฝดโง่งมเป็นเวลานาน คำพูดของเย่หวูเฉินเวียนวนอยู่ในศีรษะ กระตุ้นหัวใจที่ครั้งหนึ่งเคยสับสน ไม่ว่ายุคสมัยใดหัวใจของสตรีนั้นอ่อนไหวได้ง่ายกว่าชาย ถ้อยคำของเย่หวูเฉินนั้นชวนซึ้งตรึง คล้ายกับว่าหญิงสาวธรรมดาล้วนโหยหารักที่งมงาย ปรารถนาความงดงามที่จะไม่มีวันลืม

..................................................

วันนี้เป็นเป็นวันที่สิบห้า นับจากวันที่เย่หวูเฉินออกจากเมืองเทียนหลง

“องค์หญิง...”

“เขากลับมารึยัง?” ในทุกๆวัน หลงฮวงเอ๋อร์ไม่รอให้นางกำนัลเอ่ยทักแต่รีบถามก่อน

“นายน้อยเย่ยังไม่กลับมาเพคะ” นางกำนัลตอบ ถึงเวลานี้นางไม่กล่าวเพิ่มอีกแล้วว่า “นายน้อยเย่จะใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนก่อนจะกลับมา” เพราะประโยคนี้ไม่จำเป็น นางรู้สึกสงสารสาวน้อยอายุสิบสามที่ตกสู่เงื้อมมืออย่างงมงาย นางอดไม่ได้ที่จะชื่นชมว่าที่ราชบุตรเขย ไม่ทราบเขาใช้วิธีการใด ถึงทำให้สาวน้อยผู้ไม่สนใจเรื่องรักใคร่มาก่อน หลงใหลเขาได้ถึงเพียงนี้

“อืม” หลงฮวงเอ๋อร์ตอบรับเสียงเบา นางกลับเข้าไปข้างในด้วยความผิดหวัง

เวลานี้เอง ในเมืองเทียนหลงปรากฎสองใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย

เป็นบุรุษหนุ่มอายุราว 25-26 ปี ร่างสูงตัวตรง ใบหน้าหล่อเหลา แต่งกายด้วยชุดขาว ถือพัดหยกอยู่ในมือ สายตามองสำรวจท้องถนนอยู่เนืองนิจ เห็นได้ชัดว่าเขามาเมืองเทียนหลงเป็นครั้งแรก ใบหน้าทรนงโดยธรรมชาติ เมื่อผู้คนมองเขา ผู้คนจะรู้สึกราวกับว่าถูกทอดตามอง ความรู้สึกนี้ไม่ใช่อุปทานหรือคิดไปเอง แต่มันคือธรรมชาติของผู้ที่มีฐานะสูงศักดิ์มาทั้งชีวิต เป็นสิ่งไร้ตัวตนที่กดดันต่อจิตใจผู้คน

ด้านข้างเขา มีบุรุษอายุราว 40-50 ปี คอยติดตามทุกฝีเท้า เขาอยู่ห่างออกออกไปเพียงครึ่งก้าว เขามีบุคลิกลักษณะดีสวมชุดสีเขียว ดวงตาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง ใบหน้าแข็งตึง ทั่วร่างมีกลิ่นอายเจือจาง มันนิดน้อยจนกระทั่งไม่มีผู้ใดสนใจ  เขาสะพายกระบี่เล่มใหญ่อยู่บนหลัง... ไม่สิ ดูจากรูปทรงของฝัก นั่นสมควรเป็นมีดยาวที่มีคมกว้าง

คนทั้งสองเงียบงันตลอดทาง จากเส้นทางที่เลี้ยวเลาะพวกเขามุ่งไปทางวังหลวง เมื่ออยู่เบื้องหน้าประตูราชวัง พวกเขาถูกหยุดโดยองครักษ์

“เจ้าเป็นใคร? ที่นี่คือพระราชวัง ผู้คนไม่อาจเดินเตร็ดเตร่เข้าไปได้” เมื่อเห็นชุดแต่งกายหรูหราและลักษณะอันทรนง น้ำเสียงขององครักษ์อ่อนลงอย่างมีนัยยะ

ชายหนุ่มไม่ได้โกรธ เขายิ้มแล้วกล่าว “น้องชายท่านนี้ โปรดทูลฝ่าบาทของท่านให้ทีว่า ฟงหลิงแห่งอาณาจักรต้าฟงขอเข้าพบ”

“อะไรนะ? คนของอาณาจักรต้าฟง?” เมื่อองครักษ์ได้ยินชื่อนี้ ทีแรกเขาแปลกใจ จากนั้นสีหน้าเขาเย็นชาและแข็งตึง ความเกลียดชังต่ออาณาจักรต้าฟงนั้นฝังลึกถึงไขกระดูกมายาวนาน ต้องใช้เวลานานยิ่งถึงจะจางหาย เมื่อเขาได้ยินชื่อนี้ เขามีปฏิกิริยาในทันที เขาเร่งครุ่นคิดและตกใจอีกครั้ง ก่อนจะรีบตอบกลับ “รอสักครู่ เดี๋ยวข้าจะไปกราบทูลให้”

ในทันทีนั้น เขานึกถึงข่าวนั้นได้ว่าจะมีรัชทายาทแห่งอาณาจักรต้าฟงมาเยือน ข่าวนั้นแพร่ไปทั่วเมืองเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ชื่อขององค์รัชทายาทผู้นั้นก็คือ...ฟงหลิง!

“อะไรนะ ฟงหลิง?”

หลงหยินที่กำลังอยู่ในห้องหนังสือตกใจอย่างหนัก “จากข้อมูลที่พวกเราได้รับมา พวกมันต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยสามวันกว่าจะมาถึง เฮอะ มันพาคนมาด้วยกี่คน?”

“มีเพียงบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งสะพายกระบี่ไว้บนหลัง” องครักษ์ตอบ

“ผู้เดียว? ช่างอาจหาญนัก ไม่มีใครกล้าสวมรอยเป็นรัชทายาทแห่งอาณาจักรต้าฟง คนผู้นี้ย่อมเป็นตัวจริง เร็ว พามันไปที่ท้องประโรงเฟยหลง อีกครู่หนึ่งข้าจะตามไป” หลงหยินกล่าวด้วยคิ้วขมวดมุ่น

“พะยะค่ะ” องครักษ์รับคำแล้วถอยออกไป

“อาวุโสหลี่ เพื่อเป็นการระวัง ท่านไปดูว่ามันคือตัวจริงหรือไม่ เรียกคนมา แล้วถ่ายทอดคำสั่งข้า...”

หลงหยินไม่ได้ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ฟงหลิงไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยขณะก้าวเข้าไปในราชวัง เมื่อกำลังจะก้าวผ่านประตูก็ถูกสององครักษ์หยุดเอาไว้ องครักษ์หันหน้าไปหาชายกลางคนที่อยู่เบื้องหลังฟงหลิง แล้วกล่าวอย่างเคารพ “ใต้เท้าท่านนี้ ผู้ที่จะผ่านประตูเทียนหลง นอกจากราชองครักษ์แล้วก็ห้ามผู้ใดนำอาวุธเข้าไป โปรดวางอาวุธของท่านลง”

ชายกลางคนยังคงหลับตาอยู่ครึ่งหนึ่ง ไม่เคลื่อนไหวร่างแม้กระทั่งเปลือกตา ราวกับว่าเขาไม่ได้ยิน ฟงหลิงก้าวออกมาแล้วกล่าว “น้องชายทั้งสอง ผู้อาวุโสของข้าไม่ว่าเขาจะไปที่ใด จะต้องนำกระบี่ของตนไปด้วย กระบี่อยู่ข้างกายเขาแม้กระทั่งยามนอน ข้าขอเอาชื่อเสียงของราชตระกูลต้าฟงเป็นประกัน ว่านอกจากเขาจะถูกบังคับ เขาจะไม่ใช้กระบี่ในบริเวณราชวัง น้องชายโปรดผ่อนผันให้ด้วย”

ด้วยฐานะรัชทายาทแห่งอาณาจักรต้าฟง เขาสุภาพอย่างมากต่อสององครักษ์ แม้พวกเขาเกลียดชังอาณาจักรต้าฟง แต่ก็ภาคภูมิกับเกียรติที่ได้รับ กระนั้นพวกเขาก็ไม่อาจละเว้นกฏของราชวัง พวกเขาลดศีรษะลงแล้วกล่าว “โปรดอภัยให้พวกเราด้วยรัชทายาทฟง นี่คือกฎของราชวังเทียนหลง หากไม่ทำตามจะมีโทษถึงขั้นขบถ โปรดอย่าได้ทำให้พวกเราลำบากใจ”

“งั้นก็ช่วยไม่ได้สินะ” ฟงหลิงส่ายศีรษะเสียใจ จากนั้นก้าวเข้าไปข้างใน

บุรุษกลางคนผู้นิ่งเงียบและหลับตากึ่งหนึ่งจู่ๆก็เบิกตาโพลง ดวงตาสองข้างวาบแสงสีเขียว เมื่อสององครักษ์สบตาก็ราวถูกฟาดด้วยสายฟ้า แรงกดดันหนักหน่วงที่ไม่อาจต้านทานถาโถมใส่พวกเขาทุกทิศทาง ท่วมทับร่างกายทุกส่วนจนไม่อาจขยับ ราวกับถูกแช่แข็ง ในที่สุดดวงตาของพวกเขาก็กลายเป็นว่างเปล่า...

เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมา ทั่วร่างก็ชุ่มโชกด้วยเหงื่อเย็นเยียบ แขนขาเจ็บปวดราวถูกพรากพลัง ลมหายใจติดขัด ฟงหลิงและชายกลางคนได้หายไปจากสายตา องครักษ์ทั้งสองมองหน้ากันและสั่นสะท้านยะเยียบเย็น ราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้ายสุดสยอง

ท้องประโรงเฟยหลงเป็นสถานที่ใช้สำหรับต้อนรับแขกสำคัญ ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยได้ใช้ ดังนั้นจึงไม่มีองครักษ์คอยดูแลในบริเวณนี้ โดยไม่ต้องมีผู้ใดนำทาง สองบุรุษ หนึ่งอยู่เบื้องหน้า หนึ่งตามหลัง ก้าวเข้าไปในท้องพระโรงเฟยหลง ฟงหลิงมองไปรอบๆปราดหนึ่ง จากนั้นหันมาแล้วกล่าว “นี่สมควรเป็นสถานที่ที่พวกเขาใช้ต้อนรับแขกเหรื่อ ผู้อาวุโส โปรดเชิญนั่งก่อน”

ด้วยสถานะรัชทายาทแห่งอาณาจักรต้าฟง ต่อหน้าชายกลางคนเขาแสดงความเคารพอย่างสูงสุด ชายกลางคนพยักหน้าเล็กน้อย แต่ยังคงยืนนิ่งเงียบงันอยู่ที่เดิม ดวงตาไม่เคลื่อนไหว ลมหายใจไม่อาจสัมผัส หากเขานอนตรงนั้นแทนการยืน ผู้คนคงนึกว่าเขาเป็นเพียงศพซากที่ตายมานาน

ฟงหลิงรู้จักเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงนั่งลงแทน ท้องพระโรงเฟยหลงแทบจะไร้ผู้คนตลอดเวลา ดังนั้นในนี้จึงไม่มีกาน้ำชา แต่ทั่วบริเวณยังสว่างและสะอาด ฟงหลิงเงยศีรษะขึ้น สูดเอาอากาศเข้าไปฟอดใหญ่แล้วกล่าวอย่างสำราญใจ “นี่คือครั้งแรกที่ข้ามายังอาณาจักรเทียนหลง ที่นี่ต่างจากอาณาจักรต้าฟงอย่างแท้จริง กระทั่งกลิ่นอากาศยังสดชื่นกว่า”

“แม้ว่าอาณาจักรต้าฟงของพวกเรามีอาณาเขตกว้างขวาง แต่สองด้านถูกกระหนาบด้วยทราย ทรัพยากรล้วนมีจำกัด ยิ่งห่างออกไปทางตะวันตกเท่าใด ผู้คนยิ่งใช้ชีวิตลำบากแร้นแค้น อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นดินทราย”

“อาณาจักรชางหลานมีอากาศหนาวจัดจนพื้นแข็ง พวกเขามีทรัพยากรจำกัดเช่นกัน เว้นแต่ผู้คนที่อาศัยจนเคยชิน ผู้อื่นย่อมปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศได้ยาก ยิ่งกับทางเหนือสุดซึ่งเป็นที่ต้องห้ามสำหรับมนุษย์”

“อาณาจักรคุยชุยมีสัตว์อสูรดุร้ายจำนวนมาก สัตว์อสูรทรงพลังมีจำนวนมากกว่าที่มีในอาณาจักรต้าฟง , เทียนหลง และชางหลานรวมกัน ภัยธรรมชาติและสัตว์อสูรจู่โจมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

“เมื่อเทียบกันทั้งหมด มีเพียงอาณาจักรเทียนหลงเท่านั้นที่รุ่งเรืองด้วยสันติสุขของผู้คน ทั้งได้กินดีแต่งชุดงาม ราวกับสวรรค์บนดิน”

“ในที่สุดข้าก็เข้าใจ ว่าเหตุใดเมื่อพระบิดาพ่ายแพ้อย่างเจ็บปวดเมื่อวันเก่าก่อน เขาถึงประกาศว่าอีกยี่สิบปีจะกลับมายึดอาณาจักรเทียนหลง  อาณาจักรต้าฟงของพวกเรามีดินแดนกว้างขวางกว่าอาณาจักรเทียนหลงหลายเท่า มีกำลังทัพเหนือกว่าอาณาจักรเทียนหลงมากมาย และมีความทะเยอทะยานสูงล้ำ เหตุใดต้องยอมให้อาณาจักรเทียนหลงเสพสุขที่ชาวต้าฟงไม่เคยได้รับ?! ถึงแม้จะไม่ใช่เหตุผลข้อนี้ ตระกูลฟงของข้าก็จะครองโลกหล้าในอนาคต พระบิดาข้ากล่าวได้ถูกต้อง จักรพรรดิที่แท้จริงต้องยืนอยู่เหนือผู้ใด ต้องไม่มีใครอยู่สูงเสมอตน เป็นเพียงจักรพรรดิเล็กจ้อยของอาณาจักรต้าฟงนั้นยังไม่พอ! ทั่วปฐพีต้องสยบอยู่ในมือ หนึ่งคำสามารถสั่งศพเกลื่อนกล่นพันลี้ และหนึ่งคำสามารถให้อภัยชีวีนับพัน นั่นถึงจะเป็นจักรพรรดิที่แท้จริง”

เริ่มแรกฟงหลิงกล่าวด้วยเสียงเบา แต่ตอนจบกล่าวด้วยเสียงดัง ด้วยความช่วยเหลือของชายวัยกลางคน เขาใช้เวลาเพียงสองวันลอบมาถึงอาณาจักรเทียนหลง จากนั้นเขาเดินเตร็ดเตร่ในอาณาจักรเทียนหลงอยู่สองวัน สำรวจดูสิ่งต่างๆในเมือง ความทะเยอทะยานแต่เดิมที่มีนิดน้อยถูกจุดติด ยามนี้เขาเหมือนกับบิดาตน

อาณาจักรต้าฟงพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย กระทั่งพื้นดินยังปนทราย เมื่อลมพายุพัดผ่าน ฝุ่นทรายจะปกคลุมท้องฟ้ามหึมา และหากพายุรุนแรง คนเดินเท้าก็ไม่อาจเดินทาง อาณาจักรต้าฟงมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะพิชิตอาณาจักรเทียนหลงได้ พวกเขาจะทนความยั่วยวนนี้ได้อย่างไร



<<<PREV    .    NEXT>>>