วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 187

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 187 สูญสิ้นมังกรเพลิงฟ้า (1)

เยว่หานตงเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเขาจะไม่ไปหาหลงหยิน ตระกูลเย่ก็ได้ตระเตรียมการไว้แล้ว เย่หนู่และเย่เว่ยไม่ใช่คนที่ทำตามอารมณ์ เวลาห้าวันที่เลื่อนมาเป็นขีดจำกัดของพวกเขาแล้วเช่นกัน หากพวกเขายังรั้งรอต่อย่อมเกิดความเสี่ยงต่อผู้คน พวกเขาเป็นฝ่ายตั้งรับในสงคราม ดังนั้นพวกเขาไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ

“เหยาเอ๋อร์ เจ้าอยากเอาอะไรไปบ้าง? บอกแม่ได้นะ...”

ขณะที่หวังเวิ่นชูเอ่ยคำ นางก็ปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่หยุด ตั้งแต่วันนั้นมา หวังเวิ่นชูก็มักมีใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา หัวใจของแม่และลูกสาวนั้นผูกโยงกัน ดังนั้นนางจึงไม่เหมือนเย่หนู่และเย่เว่ยที่เพียงเก็บความรู้สึกอยู่ในใจ ไม่กี่วันมานี้ นางไปนอนอยู่ข้างๆลูกสาวในเวลากลางคืน หากลูกสาวนางจากไปยังอาณาจักรต้าฟงแล้ว พวกนางจะไม่มีวันได้พบกันอีก

อย่างไรก็ตามในทางตรงข้าม เย่ฉุ่ยเหยาดูสงบอย่างผิดปกติ ทั้งไม่ดีใจหรือเสียใจ แม้เมื่อนางถูกประกาศเป็นธิดาบุญธรรมของหลงหยินต่อหน้าขุนนางนายพล กระทั่งได้รับแต่งตั้งให้เป็น “องค์หญิงเหยาฟง” นางก็ยังคงไร้อารมณ์ใดๆ ใบหน้านางเย็นชาจนทุกคนแปลกใจ เมื่อหวังเวิ่นชูถาม นางเพียงส่ายศีรษะและหยิบกล่องไม้ยาวออกมาจากข้างเตียง

“ท่านแม่ ไปกันเถอะ” มือหนึ่งถือกล่องไม้ขณะที่อีกข้างหนึ่งจับมือของมารดา ด้านนอกคนของต้าฟงกำลังรอนาง อย่างไรเสีย ความจริงนั้นต่างจากความฝัน ผู้คนไม่อาจหนีพ้นมัน ดังนั้นนางจึงไม่คิดหลบหนี การไปจากอาณาจักรเทียนหลงเป็นการปลดปล่อยตัวนางเองด้วยเช่นกัน

“เหยาเอ๋อร์ เจ้าไม่อยากเอาอะไรไปด้วยจริงๆเหรอ?” หวังเวิ่นชูเจ็บปวดอย่างที่สุดขณะกล่าว นางบีบมือลูกสาวเอาไว้แน่น พันเท่าทวีไม่ต้องการให้นางจากไป

เย่ฉุ่ยเหยาส่ายศีรษะ ดึงมือมารดาให้เดินออกไป สายตากวาดผ่านทุกมุมในห้องนอนนาง นี่คือสถานที่ที่นางอาศัยอยู่มานานมากกว่าสิบปี มันช่างคุ้นเคยและอบอุ่น หลังจากออกไปในวันนี้ นางอาจไม่ได้กลับมาอีกตลอดกาล

ทันใดนั้นนางหยุดและมองไปที่เตียง สายตานางจ้องที่หมอนนุ่ม ราวกับว่าถูกดูดตรึง ม่านน้ำบางทำให้สายตานางพร่าเลือน

“เหยาเอ๋อร์?”

เย่ฉุ่ยเหยาส่ายศีรษะ เช็ดม่านน้ำออกจากดวงตา จากนั้นเดินต่อเพื่อออกไป ขณะกำลังจะก้าวออกจากห้องนางก็หยุดอีกครั้ง ด้วยจับมือกันไว้อยู่ หวังเวิ่นชูรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบของฝ่ามือนาง ร่างของนางสั่นเล็กน้อย หวังเวิ่นชูสงสารนางและอยากร้องไห้ออกมาดังๆ ไม่รู้เลยว่าเย่ฉุ่ยเหยาเลือกทางที่กระชากหัวใจเพียงใด

เย่ฉุ่ยเหยาปล่อยมือมารดาแล้วเปิดกล่องไม้ที่ถือไว้อยู่ ด้านในมีชุดจำนวนหนึ่งที่นางชอบที่สุดและมีภาพวาดอยู่สองม้วน นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นและไร้สิ่งหรูหราใดๆ นางนำม้วนภาพวาดออกมา กอดมันไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินไปที่เตียงของนาง จากนั้น นางวางมันไว้บนเตียงด้วยมืออันสั่นเทา นางหันร่างออกมาทันที ไม่มองกลับไปอีกเป็นครั้งที่สอง

ตัดขาดเสียเพียงเท่านี้ คิดเสียว่าเป็นเพียงความฝันและเขาตายไปแล้วเมื่อปีก่อน ลืมมันเสีย ทลายมันลง และหนีจากมัน... มันคือความรักที่ไม่ควรเกิดขึ้น หัวใจนางไม่ควรเป็นเช่นนี้...

หากแต่หัวใจนางไม่รู้สึกเจ็บปวด มันกลับว่างเปล่าอย่างยิ่ง ราวกับว่ามันไปอยู่กับภาพวาด อยู่กับเงาของเขา สูญสิ้นไปโดยสิ้นเชิง...

เป็นครั้งแรกที่เยว่หานตงได้เห็นเย่ฉุ่ยเหยาที่ไร้การประทินหน้าหรือประดับประดาใดๆ แต่กระนั้นยังคงงดงามกระชากลมหายใจ ราวกับเทพธิดาจากสวรรค์ กระทั่งเขาที่หลงใหลในสงครามและการฆ่าฟัน มองสตรีเป็นเพียงฝุ่นผง ยังต้องตกตะลึงไปชั่วขณะ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเหตุใดองค์รัชทายาทถึงได้ทำการบ้าบิ่นเพียงเพื่อหนึ่งสตรีแห่งอาณาจักรเทียนหลง

นับว่าเป็นสตรีมนต์มารอย่างแท้จริง สามารถหยุดสงครามของสองอาณาจักรได้ ทุกผู้คนจะได้รู้จักถึงมนต์อันตรายนี้

“องค์รัชทายาทฝากข้าให้มาส่งข้อความ ขุนพลชราเย่และขุนพลเย่โปรดวางใจ องค์รัชทายาทจะทำให้องค์หญิงเหยาฟงเฟื่องฟูด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ  นางจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากสิ่งใด หากไม่เป็นไปตามนั้น องค์รัชทายาทจะมาคุกเข่าต่อหน้าตระกูลเย่เพื่อขอขมา หากท่านคิดถึงหลานสาว ท่านสามารถมาเยี่ยมอาณาจักรต้าฟงได้ทุกเวลา องค์รัชทายาทจะต้อนรับท่านอย่างแน่นอน” เยว่หานตงกล่าวด้วยความเคารพ ไม่เพียงเป็นเพราะคำสั่งกำชับจากฟงหลิง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หนู่ เขาก็ยังคงเป็นผู้เยาว์ ชื่อเสียงของเย่หนู่เหมือนสายฟ้าที่ดังก้องสะเทือนโสต ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ต่างฝ่ายกัน แต่เขาก็ชื่นชมชายผู้นี้มาเป็นเวลานานแล้ว

“ข้ารู้ว่ารัชทายาทฟงมีความรู้สึกให้ลูกสาวข้าอย่างแท้จริง ข้าจะไม่พูดสิ่งใดที่ไม่จำเป็นอีก ระหว่างการเดินทาง โปรดดูแลลูกสาวของข้าด้วย” เย่เว่ยถอนหายใจ เย่ฉุ่ยเหยายังคงเย็นชาและเงียบงัน ดังนั้นความรู้สึกผิดของเขาจึงลดลงเล็กน้อย สิ่งที่ปลอบเขาไว้คือความจริงที่ว่าเมื่อนางไปถึงอาณาจักรต้าฟง นางจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและไม่ต้องพบกับความยากลำบากใดๆ แต่สิ่งที่เขากังวลคือตลอดหลายปีมานี้นางอยู่เพียงลำพังเฉพาะในห้องของตน น้อยครั้งที่นางจะก้าวออกจากห้อง นางอาจจะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับถิ่นแคว้นแดนไกลได้

“โปรดอย่ากังวลนักเลย เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝันตลอดเส้นทาง องค์รัชทายาทได้สั่งให้ยอดฝีมือหลายคนมาคอยคุ้มกัน ต่อให้พวกเขาต้องตกตายอย่างอนาถ พวกเขาก็จะปกป้ององค์หญิงเหยาฟงอย่างแน่นอน” เยว่หานตงกล่าวสาบถสาบานอย่างจริงจัง เขาไม่ต้องการรั้งต่ออีกดังนั้นจึงคำนับแล้วกล่าว “องค์หญิงเหยาฟง เชิญขึ้นรถม้า”

ภายนอกประตูมีรถม้าหรูหราอย่างยิ่งจอดอยู่ บุรุษมากกว่าสามสิบคนมีดวงตากระจ่างแต่งกายด้วยชุดราชองครักษ์คอยคุ้มกันบริเวณ นอกจากพวกเขายังมีหญิงสาวสองสามคนแต่งกายในชุดสาวใช้ เย่ฉุ่ยเหยามองบิดามารดาและปู่ของนางทีละคน นางเปิดปากกล่าวอย่างเย็นชา “ไม่ต้องห่วงข้า”

ใบหน้าของนางไร้วี่แววดีใจหรือเศร้าโศก นางไม่รั้งอยู่ต่อเพื่อกล่าวคำอีก นางหันกายไปโดยไม่ลังเล หวังเวิ่นชูซบในอ้อมแขนของเย่เว่ยสะอึกสะอื้นอย่างเงียบงัน

“เหยาเอ๋อร์ จงจำไว้ว่า ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน เจ้าจะยังคงเป็นธิดาตระกูลเย่ตลอดไป!” เย่หนู่ตะโกนออกมาขณะสองหมัดกำแน่น

เย่ฉุ่ยเหยาชะงักเท้าเล็กน้อย จากนั้นก้าวเดินต่อ สาวใช้ก้าวออกมาและเปิดม่านให้นาง เมื่อเย่ฉุ่ยเหยาขึ้นไปบนรถม้า นางมองตระกูลเย่เป็นครั้งสุดท้าย จนกระทั่งสายตาและร่างเหล่านั้นถูกผ้าม่านขวางกั้นแยกจากกันเป็นสองโลก

“เย่อี , เย่เอ้อ ตามพวกเขาไปจนสุดทาง ปกป้องนางและกลับมาหลังจากนี้หนึ่งเดือน” เย่เว่ยถอนหายใจยาวขณะกล่าวอย่างราบเรียบ มองตรงจุดที่ร่างของลูกสาวได้หายไปจากสายตา เขาต้องรู้ให้ได้ว่าลูกสาวได้มีชีวิตที่สุขสบายในสถานที่นั้น

“ขอรับ” พวกเขารับคำแล้วไปยืนอยุ่หลังรถม้า

เยว่หานตงไม่ได้ปฏิเสธ เขาคำนับแล้วกล่าว “สักวันพวกเราจะได้พบกันอีกครั้ง ข้าหวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึง ข้าจะได้เห็นฝีมืออันเยี่ยมยอดของขุนพลชราเย่และขุนพลเย่ในสนามรบ”

“ข้าหวังว่าวันนั้นจะไม่มาถึง เพราะข้ากลัว” เย่หนู่กล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายและถอนหายใจ

เยว่หานตงสะท้านคราหนึ่ง เขารีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคารพยิ่งขึ้น เย่หนู่กลัว แต่ไม่ใช่เพราะเขากลัวอาณาจักรต้าฟง หรือกลัวว่าตนเองจะต้องสิ้นชีวิต เขากลัวเพราะอาณาจักรเทียนหลงเป็นดินแดนที่เขาปกป้องมาตลอดทั้งชีวิต เพื่อให้อาณาจักรเทียนหลงสงบสุขต่อไป เขาถึงขั้นต้องละทิ้งคนในครอบครัวหลีกเลี่ยงหายนะชั่วคราว เขาจะไม่รู้สึกละอายใจและกลัวได้อย่างไร?

“เราจะได้พบกันอีก” เยว่หานตงไม่รั้งรอต่อ เขาหันร่างและจากไป

เย็นวันนี้ ในที่สุดขบวนก็ได้เวลาเดินทางกลับสู่อาณาจักรต้าฟง หลงหยินส่งพวกเขาออกจากเมืองด้วยตนเอง เพียงเมื่อพวกเขาห่างไปไกลและลับสายตา หลงหยินจึงถอยหายใจและกลับไป เช้าวันต่อมาในการประชุมของราชสำนัก เขาถอนหายใจและชื่นชมในความกล้าหาญของธิดาตระกูลเย่ การดำรงอยู่ของตระกูลเย่คือพรล้ำค่าแห่งอาณาจักรเทียนหลงอย่างแท้จริง

ใต้แสงตะวันลับฟ้า ม่านรถม้าถูกแง้มออก เย่ฉุ่ยเหยามองดูเมืองเทียนหลงที่ห่างออกไปช้าๆเป็นครั้งสุดท้าย ในที่สุดน้ำตานางก็ไหลร่วงลงเหมือนหยดฝน

...............................................

“ท่านพี่ อีกกี่วันพวกเราจะกลับถึงบ้าน?”

“........”

“ท่านพี่?”

“หือ?” เย่หวูเฉินเหม่ออยู่ในภวังค์ความคิด เขาคืนสติกลับมาและมองหนิงเสวี่ยที่กำลังสงสัยเต็มที่

“ท่านพี่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ? ข้าอยากรู้ว่าอีกนานเท่าไหร่พวกเราจึงจะกลับถึงบ้าน?” นางมองที่เย่หวูเฉินด้วยใบหน้างุนงง

“อีกราวๆ 4-5 วัน” เย่หวูเฉินตอบ ความเร็วตอนขากลับนั้นไวกว่าครั้งเดินทางลงใต้ ในเวลาราวครึ่งเดือน พวกเขาจะกลับไปถึงบ้าน เมื่อครู่นี้จู่ๆเขาก็รู้สึกหัวใจรัดแน่น ราวกับว่าขาดอากาศหายใจเพราะบางสิ่ง

บนไหล่ขวาของเย่หวูเฉิน มีสาวน้อยขนาดพกพาลอยอยู่ นางร้องอิย๊าๆหลายครั้งแต่เขาไม่อาจเข้าใจ

ภูเขาไฟเทียนเม่ย

ลาวาที่แต่เดิมเป็นสีม่วงตอนนี้ได้กลายเป็นสีแดง หลังจากเย่หวูเฉินจากไป มันกลับมาสงบอีกครั้ง แม้ว่าอุณภูมิของภูเขาไฟเทียนเม่ยจะลดลงอย่างมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะมายังสถานที่แห่งนี้

เวลานี้เอง ลำแสงสีดำวาบผ่านใจกลางภูเขาไฟเทียนเม่ย ปรากฎเงาดำบนผิวของลาวา ศีรษะของเงาดำนั้นส่งเสียงหัวเราะปีศาจที่สามารถทำให้ผู้คนตัวสั่นด้วยความกลัว

ลาวาเริ่มพุ่งขึ้นและตกลง จนกระทั่งมันเดือดพล่านอย่างหนัก ร่างนั้นห่อหุ้มไว้ด้วยแสงสีดำ ดวงตาจับจ้องมองไปที่เบื้องลึก แค่นเสียงแหลมเสียดสะท้านโสต ร่างนั้นหมุนกายแผ่พลังความมืดออกมา ส่งมันตัดทะลุลาวาลงไปในความเงียบ

ฟู่ม!

ลาวาแตกออกมีศีรษะมหึมายกขึ้นมาจากพื้นผิว ดวงตามังกรตกตะลึงและหวาดกลัวจากจิตใต้สำนึก

“เจ้า... เจ้ายังไม่ตาย!”

ลาวาโดยรอบเริ่มแตกออก ภูเขาเทียนเม่ยสั่นสะเทือนไม่หยุดคล้ายพร้อมถล่มลงในทุกขณะ เวลานี้ ความตกตะลึงในใจมันเพิ่มทวี

“ถูกต้อง ข้ายังไม่ตาย แต่เจ้า... กำลังจะตายเร็วๆนี้” เงาดำมีน้ำเสียงเย็นเยียบหดหู่ไร้ที่เปรียบ เสียงก้องในหูเหมือนถูกลมพัดเย็นเยือก มันสามารถแช่แข็งร่างของคนที่ได้ยิน

ร่างนั้นขยับลอยขึ้นไปรวดเร็วยิ่ง แสงสีดำแผ่ขยายออกมาอย่างต่อเนื่อง ในเมืองเหยียนหลง ผู้คนต่างตื่นตกใจที่เห็นตะวันสีดำลอยอยู่เหนือภูเขาไฟเทียนเม่ย เมื่อตะวันดำนั้นหยุดขยายตัว มันร่วงลงสู่ภูเขาไฟเทียนเม่ยในทันที ผู้คนพลันรู้สึกถึงพลังน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งยวด

บรึ้ม!

เมืองเหยียนหลงสะเทือนไหวจากการระเบิด ภูเขาไฟเทียนเม่ยที่ดำรงมานานถูกปกคลุมด้วยเงามืด ตอนนี้มันกำลังพังทลายอย่างรวดเร็ว

เสียงร้องโกรธเกรี้ยวของมังกรก้องมาจากฟากฟ้า มังกรแดงขนาดมหึมาทะยานขึ้นเมื่อภูเขาไฟเทียนเม่ยถล่มลง ตามมาด้วยเสียงร้องเสียดสะท้านไปทั่วเมือง

ร่างของมังกรเพลิงฟ้ายาวหลายร้อยเมตร นอกจากผู้คนในเมืองเหยียนหลงแล้ว ผู้คนที่อาศัยอยู่ทางใต้ล้วนสามารถมองเห็นมังกรแดงมหึมาทะยานอยู่สูงเสียดฟ้า ลูกเพลิงพวยพุ่งออกจากปากมันโจมตีไปยังพื้นที่เบื้องล่าง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า... อย่างนี้นี่เอง ข้าเดิมพันว่าสภาพของเจ้าต้องอ่อนแออย่างยิ่งจนถึงระดับที่ข้าสามารถจู่โจมได้ หลายปีมานี้ ข้าซ่อนตัวอยู่เพื่อฟื้นฟูพลัง วันนี้ในที่สุดโอกาสที่ข้ารอคอยก็มาถึง! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า....”



<<<PREV    .    NEXT>>>