วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 143

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 143 สตรีเสียงปีศาจ

เมื่อชายชราพลิกฝ่ามืออีกครั้ง กระบี่คร่าสายลมได้หายวับไป และแทนที่ด้วยกระบี่ประหลาด ด้ามจับทำด้วยไม้แข็ง ใบกระบี่หยาบกร้านเป็นมันเงา มันผูกติดด้ามด้วยลวดสนิมเขรอะ นี่มันมีดปอกผลไม้ทำเองชัดๆ

ชายชราโยนมีดเล่มนั้นไปที่เท้าเล่งหยาแล้วกล่าวเรียบๆ “เมื่อเจ้าสามารถใช้มีดเล่มนี้ทำร้ายเขาได้ เวลานั้นค่อยมาหาข้า”

เล่งหยาหยิบมีดเล่มเล็กขึ้นมาโดยไร้ความลังเล สายตาจับจ้องที่ฉู่จิงเทียน แววตาแผดเผาอย่างเกรี้ยวกราด เขามีเหตุผลที่มาที่นี่ เมื่อฉู่ชางหมิงมอบภารกิจให้ทำ เขาจะไม่ปริปากบ่น

ฉู่จิงเทียนผงะถอยโบกมือพัลวัน และรีบกล่าว “เดี๋ยวสิน้องชาย เราสู้กันได้ ข้าต้าหนิวไม่กลัวสิ่งใด แต่ก่อนอื่นขอข้ารู้ชื่อของเจ้าก่อน”

“เล่งหยา” เล่งหยาขยับยกมีดเล่มเล็กขึ้น

“โอ้ ชื่อของข้าคือฉู่จิงเทียน เจ้าจะเรียกข้าว่าต้าหนิวก็...อ๊าก!” พอฉู่จิงเทียนแนะนำตัวเอง เขาก็ร่ำร้องอย่างอนาถ แต่ไม่ใช่เพราะถูกเล่งหยาแทงเฉียบพลัน กระบี่ชางหมิงที่เขารักยิ่งกว่าชีพถึงขนาดกอดไว้ตอนหลับ ตอนนี้มันบินเข้าหามือชายชราแล้วหายไป

“ท่านปู่ ได้โปรดอย่าทำแบบนี้ ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย... ท่านปู่ คืนกระบี่ชางหมิงให้ข้าเถอะ” ฉู่จิงเทียนแทบจะคุกเข่าอ้อนวอนเบื้องหน้าชายชรา กระทั่งบีบน้ำตาบางส่วนออกมา สีหน้าน่าสงสารราวกับเด็กหญิงเล็กๆอ้อนขอขนมหวาน

“ฝึกเพียงลำพังด้วยกระบี่ชางหมิงเจ้าจะสามารถบรรลุ แต่ตอนนี้เมื่อเจ้ามีคู่ฝึก มันกลับจะขวางกั้นความก้าวหน้า ระหว่างนี้จงใช้กระบี่เล่มนี้แทน” ชายชราโบกมือ กระบี่หยาบกร้านที่ฉู่จิงเทียนเคยใช้พุ่งออกมาปักบนพื้นข้างหน้าเขา

ฉู่จิงเทียนดึงกระบี่ขึ้น เขาทราบดีว่าเมื่อปู่ของตนตัดสินใจแล้ว ต่อให้คุกเข่าสามวันสามคืนเขาก็ไม่เปลี่ยนใจ ฉู่จิงเทียนทำได้เพียงรับคำหงอยเหงา “ท่านปู่ ‘ระหว่างนี้’ ที่ท่านว่ามันนานเท่าไหร่เหรอ?”

ชายชราหลับตา ไม่สนใจเขาด้วยสิ้นเชิง

ฉู่จิงเทียนยอมแพ้และหันมาเผชิญหน้ากับเล่งหยา ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ “กระบี่ของเจ้าไปแล้ว กระบี่ของข้าก็ไปแล้วเช่นกัน... เรื่องนี้ต้องโทษเจ้า! มา ออกไปฝึกกัน ข้าจะออมมือให้เจ้าเอง”

เล่งหยาแค่นเสียงเย็นชา จากนั้นตามเขาออกไปโดยไม่ลังเล

........................................

ณ สถานที่แห่งหนึ่ง

เป็นสวนพิเศษอยู่นอกเมืองเทียนหลง สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ดูสวยงามแต่อย่างใด โดยปกติมีคนมาอยู่น้อยมาก ไม่มีผู้ใดสนใจว่าเจ้าของสวนแห่งนี้คือใคร ประตูสวนเปิดออกเมื่อใดไม่มีใครสังเกต บางทีเจ้าของอาจกลับมาและคงพักอยู่ไม่กี่วัน

ด้านในสวนสวนมีชายหนุ่มยืนอยู่ริมหน้าต่าง ชมสระน้ำในสวนอยู่เงียบๆ ดอกบัวบานมานาน ใบเขียวชอุ่มชื่นหัวใจ ชายหนุ่มอายุราว 23-24 ปี แต่งกายด้วยชุดขาว สายคาดเอวทอง คิ้วคมดุจกระบี่ ดวงตาดั่งแผ่นน้ำ ใบหน้าดุจหยกเงา ร่างสูงโปร่งกายตรง ลักษณะเหนือธรรมดาทั้งภาคภูมิและทรนง แม้เพียงหยุดยืนอยู่ ร่างก็แผ่กลิ่นอายสูงส่งเหนือใคร สงบเยือกเย็น  บุตรตระกูลทั่วไปไม่อาจเทียบเทียม กระทั่งโอรสแห่งราชตระกูลเทียนหลงยังไม่อาจเปรียบปาน

ไร้เสียงใดๆ มีร่างบุรุษชุดดำคาดผ้าแดงรอบอกปรากฏอยู่เบื้องหลังชายหนุ่ม ร่างนั้นคุกเข่าลงคารวะแล้วกล่าวเสียงต่ำ “เขาออกไปแล้ว”

“โอ้?” ชายหนุ่มไม่ได้หันมา ใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เขาออกไปเมื่อไหร่”

“เขาออกไปได้ครึ่งวันแล้ว”

“ครึ่งวัน?” ชายหนุ่มแตะขอบหน้าต่างเบาๆด้วยนิ้ว สายตาค่อยๆหรี่ลง “หยิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงสนใจมันนัก?”

“ข้าไม่ทราบ”

ในฐานะกระบี่ของนายน้อยตนเอง เขาเพียงทำตามคำสั่งโดยไร้คำถามใดๆ เขาจะรู้สิ่งใดขึ้นอยู่กับนายน้อย

“เมื่อไม่นานมานี้ ข้าได้รับข่าวที่น่าสนใจยิ่งนัก ข่าวนั้นบอกว่ามีคนรู้ที่อยู่ของกระบี่หนานฮวง” ขณะที่เอ่ยชื่อกระบี่หนานฮวง ดวงตาฉายแววเร่าร้อนดั่งเพลิงเผา เบาะแสเรื่องกระบี่หนานฮวงไม่เพียงสำคัญต่อสำนักจักรพรรดิใต้เท่านั้น มันยังสำคัญกับเขาไม่แพ้กัน

สีหน้าด้านชาตามปกติของหยิงเปลี่ยนทันที เขาทำนายได้ว่าจะเกิดสิ่งใดหากสำนักจักรพรรดิใต้ได้กระบี่ไป

“กระบี่หนานฮวงไม่เคยปรากฎมาก่อน เดิมทีข้าคิดเพียงว่ามันเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ แต่การตอบสนองของสำนักจักรพรรดิใต้ทำให้ข้าเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง พวกมันย่อมไม่ใช่คนโง่” ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง เสียงเขาเรียบราวกับแผ่นน้ำ

“ย่อมคุ้มค่าที่พวกเราจะเข้าหาคนผู้นั้น มันทำสัญญาสามปีกับสำนักจักรพรรดิใต้ ข้าไม่ทราบเงื่อนไขที่พวกมันตกลงกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าแน่ใจคือสำนักจักรพรรดิใต้จะได้รับกระบี่หลังจากนี้สามปี เวลาสามปีย่อมเหลือเฟือ”

เขาหันร่างมาแล้วทอดสายตาลง ราวคนผู้สูงส่ง “หยิง หากข้าสั่งให้เจ้าสังหารมัน เจ้ามั่นใจแค่ไหนว่าจะทำสำเร็จ?”

“มั่นใจอย่างยิ่ง”

“แล้วหากเป็นการบังคับให้มันบอกที่อยู่ของกระบี่หนานฮวงหล่ะ?”

“แน่นอน เจ้าย่อมไม่อาจรับรอง การสังหารคือสิ่งที่เจ้าเชี่ยวชาญ เรื่องกระบี่ล้ำค่านี้อย่างไรก็จำเป็นต้องสังหารคน แต่หากสามารถบังคับให้มันเปิดปากได้ สำนักจักรพรรดิใต้คงทำไปแล้ว หลังจากรวมรวมเบาะแสหลายวัน ข้าเริ่มสนใจคนที่ชื่อเย่หวูเฉนผู้นี้ แม้ข้าจะเหยียบย่ำมันจนตาย มันก็ต้องภูมิใจที่ข้าให้ความสนใจ”

ขณะที่กล่าววาจาแสดงความคิด ใบหน้าชายหนุ่มไร้แววยโส ราวกับทุกสิ่งเป็นเรื่องธรรมดา เป็นพลังภาคภูมิโดยธรรมชาติและมั่นใจ

“เมื่อมาหาเบาะแส ข้ายินดีนักที่ได้มาอาณาจักรเทียนหลงอีกครั้ง หยิง,เจ้าออกไปก่อน เจ้าทำภารกิจของตัวเองในเมืองเทียนหลงได้ดี กระบี่ไม่จำเป็นต้องชุ่มด้วยโลหิต บางครั้งมันอาจถูกเช็ดให้สะอาดแฝงอยู่ในโลกมนุษย์ เรื่องกระบี่หนานฮวงจะมีคนจัดการต่อเอง”

หยิงออกไปเงียบๆ จากนั้นหายไปราวหมอกควัน ไร้เสียงเช่นเดียวกับยามที่เข้ามา

“เมิ่งเอ๋อร์ ได้พาเจ้าออกมาเที่ยวชมบ้างนับว่าเป็นความคิดที่ดี ในเมื่อเจ้าได้ยินทุกอย่างแล้ว เจ้าคงทราบดีว่าต้องทำอะไร” ชายหนุ่มยกยิ้มบางที่มุมปาก สายตามองยังรอยอ้าประตูที่ไม่ทราบเปิดออกเมื่อใด

หลังจากลังเลชั่วขณะ ประตูก็ค่อยๆเปิดออกเผยให้เห็นร่างของสตรี นางเยื้องย่างงดงามพราวเสน่ห์ใกล้เข้ามา ทั้งน่าชื่นชมสง่างามไร้ตำหนิ นางอยู่ในชุดสีฟ้าเข็มขัดทองคล้องรอบเอว กระโปรงบางแนบขาเพียวบาง เห็นส่วนโค้งของร่างบอบบางแม้อยู่ใต้ชุด สะโอดสะองเย้ายวน ราวกับเซียนฟ้าจุติยังโลกหล้าผ่านเมฆา ใบหน้านางทำผู้คนใจสั่นสะท้าน หล่นร่วงสู่ห้วงฝันด้วยเสน่ห์ดวงหน้าและผิวพรรณนางเซียนที่กระจ่างดุจวารี

ทุกกระเบียดนิ้วบนดวงหน้าล้วนปราณีต หยดย้อยจนผู้คนหลงใหล ทุกส่วนสัดของสตรีในฝันล้วนรวมลงในร่างเดียว รอยยิ้มหยกงาม กลิ่นอายสูงส่งและชดช้อย ความสง่างามที่ไม่อาจล่วงเกิน ราวกับบัวหิมะบนบรรพตสวรรค์ สูงค่าน่าเทิดทูน

แววตาชายหนุ่มป่วนปั่น เขาเลิกคิ้วขึ้นหัวเราะดุจมาร “เมิ่งเอ๋อร์ของข้าช่างทำผู้คนอัศจรรย์ได้ตลอด ข้ายังจำได้ครั้งที่เห็นเจ้ายืนอยู่ลำพังใต้แสงจันทร์ แม้จากที่ไกลข้ายังนึกว่าเจ้าคือเซียนจันทราที่ลงมายังโลกมนุษย์ ข้าเคยได้ยินว่าฉุ่ยเมิ่งฉานแห่งสำนักจักรพรรดิใต้เผยตัวต่อผู้คนจนได้รับสมญาว่าโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเทียนหลง หากว่าเมิ่งเอ๋อร์ของข้าพำนักอยู่ในเมืองเทียนหลงละก็ สมญาโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเทียนหลงคงไม่ใช่ของฉุ่ยเมิ่งฉานอีกต่อไป ข้าพูดถูกหรือไม่ เมิ่งเอ๋อร์ของข้า?”

เขายื่นแขนออกมา ดวตาพร่าหมายจะสัมผัสดวงหน้าของสตรี สตรีงามเลิกคิ้วขึ้นแล้วถอยออกมาพร้อมกล่าวอย่างนุ่มนวล “ซีหมิง อีกเพียงสองเดือนท่านอดทนไม่ได้จริงๆหรือ?”

น้ำเสียงนางล่องลอยคล้ายไม่ชัดเจน เสียงออกจากปาก หากแต่คล้ายดังมาจากทุกทิศ ราวกับมีมนต์ประหลาด สีหน้างมงายของชายหนุ่มนิ่งลง สายตากระจ่างดั่งน้ำใส เขายิ้มอ่อนแล้วกล่าว “ต้องโทษเมิ่งเอ๋อร์ของข้าที่มีเสน่ห์เกินไป ทำให้ข้าแทบไม่อาจควบคุมตน ข้ารอเมิ่งเอ๋อร์ของข้ามาหลายปีแล้ว รออีกแค่สองเดือนจะนับเป็นอันใด?”

สายตาของสตรีอ่อนลง นางกระพริบตาคล้ายผิวน้ำ ริมฝีปากบางกล่าวคำ “ขอบคุณ ซีหมิง”

ชายหนุ่มหัวเราะพลางตำหนิ “พวกเรากำลังจะแต่งงานกันในอีกสองเดือน เจ้ายังเห็นข้าเป็นคนอื่นอีก? ห้ามเข้าใกล้บุรุษใดก่อนอายุครบยี่สิบคือกฎของเผ่าจักรพรรดิเสียงปีศาจของเจ้า และเจ้าคือผู้สืบสายเลือดคนสุดท้าย ข้าจะบังคับเจ้าให้ละทิ้งเกียรติของเผ่าจักรพรรดิเสียงปีศาจได้อย่างไร?”

สตรียิ้มขอบคุณ ‘เผ่าจักรพรรดิเสียงปีศาจ’ สี่คำนี้ทำให้นางรู้สึกเสียใจ เผ่าเสียงปีศาจถูกล่าสังหารและนางคือผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว

ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าได้ยินแล้วสินะ อาศัยอยู่กับสำนักจักรพรรดิเหนือมาตลอดหลายปี เจ้าย่อมทราบดีว่ากระบี่หนานฮวงสำคัญกับสำนักจักรพรรดิเหนือเพียงใด จนถึงบัดนี้ สำนักจักรพรรดิใต้ยังไม่เคลื่อนไหวใดๆ นั่นย่อมเพราะเงื่อนไขที่พวกมันจะได้รับกระบี่หนานฮวงหลังจากนี้สามปี เห็นได้ชัดว่าการสอบสวนข่มขู่คนผู้นั้นล้วนไร้ประโยชน์ เรื่องนี้ต้องให้เจ้าลงมือถึงจะสมบูรณ์แบบและไร้ร่องรอย”

“ข้ารู้แล้ว ท่านควรจับตัวเขามาและเมื่อข้าถามก็จะทราบทันที” สตรีกล่าวเสียงเบา

ชายหนุ่มยกมือขึ้นขัดและสั่นศีรษะ “แม้ว่ามันจะอายุน้อยกว่าเจ้าและข้า แต่พลังยุทธของมันนับว่าไม่เลว มันห่างจากขอบเขตวิญญาณเพียงก้าวเดียว พลังของเจ้าคือเสียงปีศาจ แต่พลังยุทธของเจ้าอ่อนแอเกินไป หากเจ้าลงมือโดยไม่ระวังจะตกสู่สถานการณ์ขับขันได้ มีข่าวลือว่ามันมียุทธภัณฑ์ลึกลับที่เทพกระบี่มอบให้มัน กระทั่งมือสังหารอันดับหนึ่งเถาไปไปยังตกตายในน้ำมือ หากพวกเราคิดคร่ากุมจับตัว มันย่อมใช้ยุทธภัณฑ์สังหารเข้าตอบโต้ อีกทั้งยังกระตุ้นสำนักจักรพรรดิใต้ พวกมันยังไม่คิดว่าพวกเรารู้ว่าเย่หวูเฉินมีเบาะแสของกระบี่หนานฮวง ทั้งยังไม่กล้าให้พวกเรารู้ ดังนั้นพวกมันย่อมปกป้องเย่หวูเฉิน หากพวกมันตื่นตัวย่อมเป็นการยากที่พวกเราจะลงมือ ดังนั้นครั้งนี้ พวกเราจะไม่จับตัวมัน แต่จะใช้วิธีที่นุ่มนวลกว่า”

สายตาคมดุจกรงเล็บอินทรีย์ เขากล่าวน้ำเสียงทุ้มลึก “จงเข้าหามันแล้วเอาข้อมูลมา ยามที่มันไม่ทันตั้งตัว จงกำจัดทิ้งซะ”

ชายหนุ่มผู้นี้คือ เหยียนซีหมิง บุตรของ เหยียนต้วนหุน-ผู้เป็นประมุขของสำนักจักรพรรดิเหนือ



<<<PREV    .    NEXT>>>