วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 133

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 133 ใครก็ไม่มีสิทธิ์ดูถูกตระกูลเย่ของข้า

“เรื่องนี้หวูเฉินย่อมไม่กล้าโกหกท่าน ฝ่าบาท หนึ่งในคุณสมบัติที่น่ากลัวของพิษเย็นพรากวิญญาณก็คือ มันไม่ติดต่อกันทางโลหิต แต่จะติดต่อกันด้วยสัมพันธ์ทางเพศ ช่วงเวลาแพร่เชื้อที่สำคัญคือช่วงเจ็ดวันก่อนอาการกำเริบ เมื่อครู่นี้ ข้าบังเอิญเห็นตาขาวของฝ่าบาทมีสีคล้ำลง ข้ากังวลมาก... เมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ก็เป็นอันยืนยัน เดิมทีข้าสงสัยว่าเหตุใดจึงมีบางคนคิดวางยาจักรพรรดินี ปรากฎว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกมันคือท่าน ฝ่าบาท” เย่หวูเฉินกล่าว ทุกถ้อยคำช่างโหดร้าย ดั่งถูกก้อนหินทุ่มใส่ดวงใจของแต่ละคน

ตั้งแต่เย่หวูเฉินก้าวเข้ามาในห้องนี้ ทักษะของเขาทำให้เทพโอสถยอมแพ้อย่างจริงใจ ลบทุกข้อสงสัยที่มีต่อตัวเขา ยิ่งกว่านั้น ทุกคนต่างคิดว่าเขาต้องแน่ใจ เขาไม่มีเหตุผลใดที่จะกล่าวล้อเล่น เพราะหากมันไม่ใช่ความจริงย่อมถือเป็นการกระทำผิดอย่างยิ่ง ที่สร้างความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ กระทั่งตระกูลหลินยังไม่สงสัย... กับเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้ ใครเล่าจะกล้าล้อเล่น? บุตรชายตระกูลเย่ผู้ฉลาดหลักแหลมจะทำอย่างนั้นหรือ? เขาจะเอาความกล้ามาจากไหน?

มุมปากของหลงหยินเริ่มบิดเบี้ยว เขาโกรธอย่างเห็นได้ชัด “บอกข้ามาเร็วเข้า เป็นใครที่ครอบครองยาพิษชั้นสูงถึงเพียงนี้?”

เย่หวูเฉินเหลือบมองฉุ่ยหนานเหอด้วยสายตาประหลาด จากนั้นกล่าวเสียงเบา “ท่านอาจารย์บอกข้าว่าพิษชนิดนี้ก่อกำเนิดในสถานที่ที่มืดที่สุดและหนาวเย็นที่สุดในทวีปเทียนเฉิน ซึ่งก็คือทางตอนเหนือสุดของอาณาจักรชางหลาน ในสถานที่แห่งนั้นทั้งร้างไร้ผู้คน ส่วนผู้ใดที่ครอบครองพิษชนิดนี้ไม่มีใครทราบ แต่คนผู้นี้มีความสามารถเก็บเกี่ยวพิษอันตรายนี้มาได้ จากนั้นลอบแทรกซึมผ่านองครักษ์ที่คุ้มกันแน่นหนาเพื่อวางยาจักรพรรดินี สามารถผ่านการคุ้มกันของวังหลวงราวกับไม่เป็นสิ่งใด ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนที่ทำเช่นนี้ได้ ในบรรดาคนเหล่านี้ มีใครบ้างที่เกลียดชังจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเทียนหลง? แม้ว่าหวูเฉินจะไม่รู้จักพวกเขาทั้งหมด ฝ่าบาทสมควรมีผู้ที่ท่านสงสัยแล้ว หวูเฉินทำได้เพียงตีวงให้แคบลง แม้เหลือคนไม่มากแต่ข้าก็ไม่มั่นใจ”

เย่หวูเฉินแสดงความเคารพแล้วเดินออกไป ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องอยู่ต่อ

เจ้าเดาไปเถอะ... ต่อให้เจ้าไม่เชื่อคำพูดของข้าทั้งหมด ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องสงสัยสำนักจักรพรรดิเหนือ ถึงตอนนั้นเจ้าจะร่วงลงสู่กับดักแรกของข้า

“ช้าก่อน!” หลงหยินเรียกเขาอีกครั้ง

เย่หวูเฉินหยุดฝีเท้า หันกลับมาแล้วถาม “ฝ่าบาท ท่านมีคำถามอื่นอีกหรือ?”

“ข้าอยากให้เจ้าทำเรื่องหนึ่งเพื่อข้า เป็นเรื่องสำคัญกับชีวิตข้าและอาณาจักรเทียนหลง” หลงหยินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คำพูดของเขาทำให้ผู้คนรายรอบตัวเกร็ง ทุกคนมองตากว้าง สงสัยว่าหลังถ้อยคำนี้จะมีเรื่องร้ายแรงใดตามมา

อย่างที่คาด ตอนนี้เขาติดกับดักที่สองแล้ว เย่หวูเฉินลอบแค่นเสียง ภายนอกเขายังดูเคร่งขรึมขณะเคลื่อนกายกลับมา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “คือเรื่องใด? หากมันเป็นสิ่งที่หวูเฉินสามารถกระทำ ข้าย่อมรับปากอย่างแน่นอน”

“ข้าอยากให้เจ้าไปที่ภูเขาไฟเทียนเม่ยทางตอนใต้ แล้วนำผลมังกรเพลิงฟ้ากลับมาให้ข้ากับจักรพรรดินี หากจะมีใครสักคนที่สามารถเข้าไปยังใจกลางภูเขาไฟเทียนเม่ยได้ คนผู้นั้นสมควรเป็นเจ้า หวูเฉิน!”

หลงเจิ้งหยางตกใจ เขาก้าวออกมาแล้วกล่าว “เสด็จพ่อ ชีวิตของท่านย่อมสำคัญเสมอฟ้า แต่ว่า...”

“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” หลงหยินโบกมือแล้วกล่าวต่อ “ข้าไม่ได้อยากให้เขาไปตาย ในวันนั้น หวูเฉินไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆภายใต้เพลิงผลาญของหลินเหยียน คนส่วนใหญ่ต่างก็เห็นชัดกับตา ข้าได้แอบถามเรื่องประหลาดนี้ ขุนพลชราเย่ไม่ได้ปกปิดความจริง เขาบอกความจริงกับข้าว่าเทพกระบี่เคยให้หวูเฉินกินของแปลกๆเข้าไป ทำให้เขามีพลังต้านทานทั้งน้ำและไฟ นี่เป็นความจริงหรือไม่?”

“ใช่...” เย่หวูเฉินตอบ

“เช่นนั้น เจ้ากลัวเพลิงในภูเขาไฟเทียนเม่ยหรือไม่?”

“ย่อมไม่กลัว”

“ประเสริฐ จากที่เจ้าบอก พิษชนิดนี้จะกำเริบในอีกสองเดือน และข้าถูกพิษมาแล้วกว่าหนึ่งสัปดาห์ ดังนั้นจึงมีเวลาน้อยกว่าสองเดือนก่อนที่มันจะกำเริบ ในเวลาสองเดือนนี้ ย่อมเพียงพอให้เจ้าเดินทางไปกลับจากภูเขาไปเทียนเม่ย เจ้าต้องการไปยังภูเขาไฟเทียนเม่ยเพื่อข้าหรือไม่?”

“......” เย่หวูเฉินไม่ตอบ สีหน้าเขาดูคล้ายกำลังมีปัญหา

ข่าวลือเรื่องที่เขารอดชีวิตจากเพลิงผลาญของหลินเหยียนได้แพร่กระจายไปทั่ว มันได้กลายเป็นเรื่องเล่ามหัศจรรย์และผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างสามารถเป็นพยาน ตอนนี้ เป็นอีกครั้งที่พวกเขาเห็นเย่หวูเฉินช่วยชีวิตจักรพรรดินี สายตาทั้งหลายต่างจับจ้องอยู่ที่เย่หวูเฉิน

“เฮ้อ ข้ารู้ดีว่าคำขอของข้านั้นหนักหนาเกินไป ต่อให้เจ้าไม่กลัวไฟในภูเขาไฟเทียนเม่ย แต่ช่วงที่เดินทางลงใต้ย่อมมีอันตรายระหว่างทาง อีกทั้งตำนานยังกล่าวไว้ว่า มีมังกรเพลิงฟ้าหลับไหลอยู่ในภูเขาไฟเทียนเม่ย และผลมังกรเพลิงฟ้าคืออาหารของมัน ถึงแม้เป็นเพียงตำนานที่ไม่มีผู้ใดเคยพบพาน แต่หากตำนานเป็นความจริง ย่อมเป็นไปได้อย่างยิ่งที่มังกรตัวนั้นจะตื่นขึ้นมา ผลลัพธ์ย่อมเป็นปัญหาอย่างยิ่ง หากเจ้าตอบตกลง ข้าจะขออาวุโสหลี่ให้ร่วมเดินทางและคอยปกป้องเจ้า แต่หากเจ้าไม่ตกลง... ฮ้า ในเมื่อเจ้าเป็นถึงผู้สืบทอดเทพกระบี่ ต่อให้เจ้าไม่ทำตามคำสั่งของจักรพรรดิ ใครก็ไม่มีสิทธิ์โทษว่าเจ้า ข้าก็คงต้องใช้เวลาที่เหลือจัดเตรียมพิธีศพของตัวเอง” หลงหยินกล่าวเคร่งขรึม ใบหน้าของเขาไร้แววดีใจหรือเสียใจ ราวกับเขาไม่สนใจชีวิตของตนอีกต่อไป

หลงเจิ้งหยางสีหน้าเปลี่ยนทันที หากหลงหยินตายไปแบบนี้ เขาย่อมเสียใจอยู่ช่วงหนึ่ง แต่หลังจากนั้น จะเป็นเวลาที่เขามีความสุขที่สุด เขาไม่สนใจในราชบัลลังก์ กระทั่งอยากปฏิเสธมัน แต่หากหลงหยินตกตาย อุปสรรคกั้นขวางในการไล่ตามฉุ่ยเมิ่งฉานย่อมหายไปหนึ่งคน ความสัมพันธ์พ่อลูกในหลายปีที่ผ่านมาเจือจางลงเรื่อยๆ ความรักต่อกันกลายเป็นน้ำจืดชืด มีเพียงความปรารถนาเห็นแก่ตัวที่ต้องทนรั้งไว้ เขากล่าวกับเย่หวูเฉิน “น้องเย่ แม้ว่าเจ้าได้รับภูมิต้านทานน้ำกับไฟ แต่ย่อมมีอันตรายมากมายระหว่างเดินทางไปภูเขาเทียนเม่ย สำหรับเจ้าที่ปลีกตัวฝึกตนและพึ่งกลับบ้านได้ไม่นาน กลับต้องรับคำขอที่อันตรายเช่นนี้ย่อมถือเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้า แต่ชีวิตของบิดาข้าเกี่ยวพันกับชะตาของอาณาจักรเทียนหลง... เฮ้อ โปรดไตร่ตรองดูให้ดี น้องเย่”

หมอหลวงหลี่ที่ไม่กล้ากล่าวคำมากยังก้าวออกมาเบื้องหน้าด้วยอีกคน “นายน้อยเย่ ผู้ชรานี้ละอายนักที่จะร้องขอ โปรดคำนึงถึงฝ่าบาท รวมถึงอาณาจักรเทียนหลง... ได้โปรดตอบตกลง เทพกระบี่กวัดแกว่งกระบี่ตนเพื่อปกป้องอาณาจักรเทียนหลงของพวกเรา หากเทพกระบี่อยู่ที่นี่ เขาย่อมปรารถนาให้ท่านช่วยพวกเรา...”

“ตระกูลเย่ทั้งหมดจงรักภักดีมาทุกชั่วรุ่น สวรรค์และโลกหล้าต่างสามารถเป็นพยาน นายน้อยเย่จะรับคำอย่างแน่นอน... หากเจ้าไม่ยอมรับ ชายชราผู้นี้จะคุกเข่าต่อหน้าเจ้าจนกว่าข้าจะตกตาย” มีหมอหลวงผมขาวทั่วศีรษะอีกคนตะโกนด้วยความหวั่นไหว

เมื่อมีสองคนกล่าวนำ หมอหลวงคนอื่นจึงไม่อยากล้าหลัง ต่างก้าวออกมาเบื้องหน้าทีละคน พวกเขาส่วนใหญ่คิดจะคุกเข่าจนตัวตายหากไม่ได้ยินคำตอบ เย่หวูเฉินนิ่งเงียบเป็นเวลานาน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับกำลังฝืนใจ

ยังมีคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง หลินขวงทำท่าส่งสัญญาณให้หลินซาน หลินซานเข้าใจทันทีและพยักหน้าเล็กน้อย เขาตะโกนเสียงดังฟังชัด “ใต้เท้าทุกท่านก้มกายให้เด็กหนุ่มรุ่นเยาว์โดยไม่ลังเล นับเป็นผู้สูงส่งสัตย์ซื่ออย่างไม่ต้องสงสัย ข้านับถือพวกท่านอย่างแท้จริง แต่พวกท่านไม่จำเป็นต้องรอคำตอบจากเขา เด็กน้อยผู้นี้เพิ่งอวดโอ่ความภักดีของตระกูลตน ตอนนี้เพราะห่วงชีวิตตัวเอง เขาเพิกเฉยฝ่าบาทและอาณาจักรเทียนหลง ความผิดที่ขัดคำสั่งยังถือเป็นเรื่องรอง ด้วยหลักการและความประพฤติเช่นนี้ เขาย่อมถูกดูหมิ่นโดยผู้คน เป็นผู้เหลาะแหละโดยแท้!”

เย่หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้นในทันที หลินซานที่ตะโกนด้วยความโกรธพลันรู้สึกเหมือนถูกแทงด้วยมีดเย็นเยียบสองเล่มเข้าที่อกตน ดังนั้นเขาจึงหยุดส่งเสียงทันที หากแต่เย่หวูเฉินยังคงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าหลิน ข้าไม่เข้าใจความหมายที่ท่านพูด ข้าได้ตอบปฏิเสธฝ่าบาทไปแล้วหรือ?”

“ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าเจ้าตอบตกลง?” หลงหยินถาม

เย่หวูเฉินพยักหน้าอย่างสงบ “ถูกต้อง หวูเฉินเองก็มีความปรารถนาเห็นแก่ตัว  แต่เพื่อความปลอดภัยของฝ่าบาท รวมทั้งความปลอดภัยของอาณาจักรเทียนหลง ข้าจะห่วงความปลอดภัยของตนมากกว่าของอาณาจักรได้อย่างไร? หวูเฉินย่อมรับคำ แต่... หวูเฉินอยากขอฝ่าบาทให้ยอมรับเรื่องที่ข้าจะขอ ไม่เช่นนั้น หวูเฉินจะขัดขืนคำสั่งแม้ต้องถูกเหยียดหยามจากทุกคน!”

คำกล่าวสุดท้ายทั้งเด็ดเดี่ยวและมั่นคง ไม่เหลือที่ว่างให้คัดค้าน

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ประเสริฐ... ข้ามองเจ้าไม่ผิดจริงๆ ข้ารอฟังคำพูดนี้จากปากเจ้ามาครู่หนึ่งแล้ว อย่าห่วงไปเลย ระหว่างการเดินทางข้าจะให้อาวุโสหลี่คอยคุ้มกันเจ้า ตอนนี้ชีวิตเจ้าเชื่อมโยงกับชีวิตของข้า หากเจ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันร้ายแรงชีวิตข้าก็ไม่อาจอยู่ยืนยาว จงบอกคำขอของเจ้ามา ตราบที่มันไม่ส่งผลร้ายต่ออาณาจักรเทียนหลง ข้าจะยอมรับทุกอย่าง”

คำตอบรับของเย่หวูเฉินทำให้หลงหยินมีความสุข เงามืดคล้ำที่พาดบนใบหน้าหลงหยินได้สลายไป เป็นความจริงที่เมื่อเย่หวูเฉินรับปากยอมเดินทางไปยังภูเขาไฟเทียนเม่ย ชีวิตของเขาก็เชื่อมโยงเข้ากับชีวิตของหลงหยิน

“หวูเฉินย่อมไม่ขอสิ่งใดที่เป็นการทำร้ายอาณาจักรเทียนหลง แต่หวูเฉินเป็นคนของตระกูลเย่ มีชีวิตเพื่อตระกูลเย่เป็นอันดับแรก มีบางคนพยายามบั่นทอนเกียรติภูมิตระกูลเย่ของข้าต่อเนื่องหลายครา...” เย่หวูเฉินเหลือบไปทางหลินขวงและหลินซานเล็กน้อย สายตาไม่แยแสนั้นทำให้พวกเขารู้สึกเสียวสันหลัง “อภัยให้หวูเฉินที่ต้องกล่าวคำขอเห็นแก่ตัว... หวูเฉินต้องการให้พวกเขาสองคน...” เย่หวูเฉินชี้ไปที่หลินขวงและหลินซาน “คุกเข่าต่อหน้าข้าและขอโทษตระกูลเย่!”

หลินขวงและหลินซานทั่วร่างสั่นสะท้านอย่างหนัก พวกเขากำลังจะด่ากลับ แต่ถูกเย่หวูเฉินกล่าวขัดด้วยจังหวะจะโคนไม่รีบร้อน “การเดินทางไปภูเขาไฟเทียนเม่ยครั้งนี้ หวูเฉินยอมเสี่ยงสละชีพของตนเพื่อความปลอดภัยของฝ่าบาท ไม่ทราบว่าใต้เท้าตระกูลหลินทั้งสองต้องการคุกเข่าต่อหน้าข้า สนองรับคำขอเรียบง่ายเพื่อองค์จักรพรรดิหรือไม่? หวูเฉินได้กล่าวแล้วว่าหากปฏิเสธไม่รับคำ หวูเฉินจะขัดขืนพระบัญชาแม้ต้องถูกผู้คนเหยียดประณาม ในฐานะที่ข้าเป็นบุตรชายตระกูลเย่ ใครก็ไม่มีสิทธิ์ดูถูกตระกูลเย่ของข้า!”

หลินขวงและหลินซานยืนนิ่งอยู่กับที่พูดไม่ออก เสียใจลึกล้ำถึงลำไส้ เมื่อครู่ที่ผ่านมา พวกเขากดดันให้เย่หวูเฉินรับคำโดยกล่าวดูหมิ่น พวกเขาไม่คิดเลยว่าเย่หวูเฉินกลับคว้าโอกาสนี้ตบหน้าพวกเขาคืนฉาดใหญ่ หากพวกเขาคุกเข่าต่อหน้ารุ่นเยาว์ตระกูลเย่ ชื่อเสียงของตระกูลหลินจะเป็นอย่างไร? แต่หากพวกเขาไม่ทำ... เย่หวูเฉินปิดกั้นไม่เหลือทางเลือกให้พวกเขา

นับตั้งแต่เย่หวูเฉินปรากฎกายหลังจากหายไปหนึ่งปี ตระกูลหลินต้องเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าใต้น้ำมือเขา ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเล็กเพียงใด ทุกครั้งที่กล่าวคำเหยียดหยามเขาหรือตระกูลเย่ นอกจากไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ยังถูกสวนคืนหลายเท่าทบทวี ทั้งยังไม่อาจต่อต้านหรือหลีกเลี่ยง... เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในใจพวกเขารู้สึกเย็นเยียบ หากย้อนกลับไปได้อีกครั้ง พวกเขาจะเลือกนิ่งเงียบไม่กล่าวแม้แต่คำเดียว



<<<PREV    .    NEXT>>>