วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 186

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 186 จิ้งจอกมังกรที่กลายเป็นไร้ประโยชน์

“พี่หญิงเมิ่งกลับไปถึงบ้านแล้ว นางจะต้องมีความสุขแน่ ท่านพี่ แล้วเซียงเซียงล่ะ? ข้าอยากเล่นกับเซียงเซียง”

เย่หวูเฉินปลุกจิ้งจอกน้อยด้วยความคิด แสงสีขาวลอยออกมาจากร่างของเขา หางขดยาวราวกับก้อนหิมะ มันตกลงบนแขนหนิงเสวี่ยที่อยู่ในแขนของเย่หวูเฉิน หนิงเสวี่ยดีใจและกอดมันไว้แน่น หายใจเอากลิ่นหอมบนร่างและลูบมันนุ่มนวลด้วยความหลงใหล

ในพุ่มไม้ข้างถนน มีสัตว์อสูรตัวสูงกว่าหนึ่งเมตร ปากแหลมยาวราวกับจิ้งจอกแดงวิ่งออกมาขวางทางพวกเขา ดูเหมือนมันคิดจะจู่โจม ระหว่างการเดินทางพวกเขาพบสัตว์อสูรมากมายที่ขวางทาง แต่พวกมันทั้งหมดถูกกำจัดโดยทงซินที่ตัดมันทิ้งเหมือนเต้าหู้ เย่หวูเฉินปราดตามองและพบว่ามันเป็นจิ้งจอกพ่นไฟเพียงระดับ 3 เท่านั้น เขาไม่ให้ทงซินลงมือเพราะต้องการเห็นพลังของจิ้งจอกมังกร เขาชี้ไปที่จิ้งจอกพ่นไฟและสั่งการ “เซียงเซียง กำจัดมันซะ ให้มันรู้บ้างว่าใครเป็นจิ้งจอกที่แข็งแกร่งที่สุดในบริเวณนี้”

เมื่อได้รับคำสั่งจากเจ้านาย เซียงเซียงกระโดดออกจากแขนของหนิงเสวี่ย ลากหางยาวขณะวิ่งเข้าใส่จิ้งจอกพ่นไฟ ราวกับว่าเซียงเซียงที่มีรูปร่างเหมือนกันนั้นน่าหลงใหล จิ้งจอกพ่นไฟไม่ได้หลบ ดังนั้นพวกมันจึงเข้าปะทะกัน....

จากนั้น สิ่งที่น่าตกตะลึงก็เกิดขึ้น...

เมื่อหัวพุ่งเข้าชนกัน จิ้งจอกพ่นไฟถอยหลังไปเล็กน้อย แต่เซียงเซียงกระเด็นกระดอนสี่ขาชี้ตั้งขึ้นบนฟ้า นางตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วรีบหันร่างวิ่งหนี จิ้งจอกพ่นไฟโกรธเพราะถูกชน มันอ้าปากปล่อยลูกไฟขนาดเท่ากำปั้นใส่เซียงเซียง เมื่อรู้สึกถึงอันตรายเซียงเซียงโกยแนบอย่างทุลักทุเล นางกลิ้งตลบไปบนพื้นจนเปื้อนฝุ่นดิน นางลุกขึ้นอีกครั้งและพุ่งตะกายกลับเข้าอ้อมแขนของหนิงเสวี่ยในทันที นางขดร่างอยู่และไม่โผล่ศีรษะออกมาอีกเลย

จิ้งจอกพ่นไฟวิ่งตามเซียงเซียงมาและกระโดดเข้าใส่เย่หวูเฉิน ทงซินจึงเคลื่อนไหวโดยเตะหินเล็กๆพุ่งทะลุร่างจิ้งจอกพ่นไฟอย่างไร้หัวใจ มันล้มคว่ำลงกับพื้นไร้ลมหายใจ

เย่หวูเฉินจับหางของเซียงเซียงยกขึ้นมองสำรวจทั่วร่างนาง นี่ใช่จิ้งจอกน้อยตัวที่เอาชนะทงซินได้จริงๆเหรอ?

เมื่อถูกยกห้อยอยู่ จิ้งจอกน้อยตะเกียกตะกายเท้าเพื่อเป็นอิสระ หนิงเสวี่ยจับร่างของมันไว้ทันที รู้สึกเสียใจกับมันและกล่าว “ท่านพี่ ท่านอย่าจับหางนางสิ ท่านทำให้นางเจ็บนะ”

เย่หวูเฉินมองจิ้งจอกน้อยอย่างสงสัยอีกครั้ง จากนั้นจึงปล่อยมันลง ทั่วร่างของมันเปล่งแสงสีขาวและกลายเป็นสาวน้อยตัวเล็ก มันซุกร่างหนิงเสวี่ยแน่น ดวงตาเป็นประกายน้ำตาขณะที่มองเย่หวูเฉิน

“ท่านพี่ ท่านสงสัยใช่ไหมว่าทำไมเซียงเซียงถึงไม่ได้แข็งแกร่งอีกแล้ว?” หนิงเสวี่ยมองเขาที่กำลังครุ่นคิดแล้วถาม

เย่หวูเฉินพยักหน้า เขาไม่รู้สึกถึงพลังใดๆในตัวเซียงเซียง เดิมทีเขาคิดว่าคงเป็นเพราะเซียงเซียงแข็งแกร่งเกินไป ดังมันพลังของเขาจึงไม่อาจสัมผัสได้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น

“พลังมันหมดไปแล้วใช่ไหม?” เย่หวูเฉินถาม ตอนนั้นพลังมันลงอย่างมาก แต่จู่ๆพลังมันก็เพิ่มขึ้นมามากกว่าสิบเท่า ดูเหมือนว่ามันจะดึงพลังแฝงออกมาใช้

“อื้ม ใช่แล้ว เซียงเซียงบอกว่าเพื่อเอาชนะพี่ทงซินในวันนั้น นางจึงต้องปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา เมื่อพลังของนางหมดไป หากไม่ได้ท่านพี่เป็นเจ้านาย นางจะต้องตายแน่นอน” หนิงเสวี่ยตอบแทนเซียงเซียงน้อย สาวน้อยตัวเล็กในมือนางพยักหน้าด้วยเสียง “อิย๊า” สองคำ ดวงตาฉายแววหวาดกลัวว่าเจ้านายจะแกล้งนางอีกครั้ง

จิ้งจอกมังกร: สัตว์อสูรระดับ 1 ข้อมูลที่เย่หวูเฉินมองเห็นจากเซียงเซียงด้วย ‘เนตรวิญญาณ’ ทำให้เขาถึงกับหมดคำพูด

เขาค่อยๆจับสาวน้อยตัวเล็กอย่างอ่อนโยน เย่หวูเฉินยิ้มและกล่าว “เป็นความผิดของนายเจ้าเอง อย่าโกรธเลยนะเซียงเซียง”

“อิย๊า อิย๊า...”

..............นี่คือเส้นแบ่งหน้า..............

สถานที่เร้นลับ สำนักจักรพรรดิเหนือ

“เมิ่งเอ๋อร์ของข้า ในที่สุดเจ้าก็กลับมา หลายวันมานี้ข้าเป็นห่วงเจ้ามาก” หลังจากอนุญาตให้เหยียนจื่อเมิ่งเข้าหาเย่หวูเฉิน เหยียนซีหมิงก็ออกจากเมืองเทียนหลงและกลับไปยังสำนักจักรพรรดิเหนือ แต่การกลับมาของเหยียนจื่อเมิ่งกลับใช้เวลามากกว่าที่เขาคิดไว้

เหยียนจื่อเมิ่งคุ้นชินกับการนิ่งเงียบมาตลอด เหยียนซีหมิงจึงเรียกนางก่อน แต่ครั้งนี้หัวใจนางเกิดความรู้สึกไม่สบาย นางใช้น้ำเสียงเย็นชาที่เขาคุ้นเคย “เย่หวูเฉินไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ ดังนั้นข้าจึงต้องใช้เวลา”

เมื่อเอ่ยชื่อเย่หวูเฉินออกมา หัวใจนางเกิดอารมณ์หลากหลายปั่นป่วน ทั้งความเสียใจ , ความเจ็บปวด , ความสงสัย , และความสิ้นหวัง

เหยียนซีหมิงผงกศีรษะ “แน่นอนว่าจากสิ่งที่มันได้ทำไว้ในเมืองเทียนหลง มันย่อมเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้ง ย่อมเป็นคนที่รับมือได้ยากอย่างแท้จริง และที่ข้าปล่อยให้เจ้าไปตามลำพัง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”

เหยียนจื่อเมิ่งส่ายศีรษะอย่างเย็นชา

เหยียนซีหมิงยิ้มบางและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่เจ้าไม่ต้องการพบปะผู้คนภายนอก บิดาข้าและตัวข้าต่างเข้าใจ ในอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนเจ้าจะกลายเป็นภรรยาข้า นายน้อยแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือ เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับหลายสิ่ง เจ้าไม่อาจจำกัดความสามารถของตัว...”

“ข้าเข้าใจ” เหยียนจื่อเมิ่งขัดจังหวะเขา “นั่นคือเหตุผลที่ข้ารับปาก”

“ดูจากท่าทางของเจ้า เจ้าสมควรทำสำเร็จ” เหยียนซีหมิงยิ้มและกล่าว “แม้ว่าเย่หวูเฉินจะเจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่มันยังหนุ่มและยังคงเหลาะแหละ ดังนั้นการรับมือกับมันสมควรไม่ใช่เรื่องยาก จากข่าวลือที่ว่ามันชมชอบเรื่องรักใคร่ ด้วยเสน่ห์ของเจ้าย่อมทำให้มันลุ่มหลงอย่างง่ายดาย เมิ่งเอ๋อร์ หากพวกเราได้กระบี่หนานฮวง เจ้าจะได้รับความดีความชอบใหญ่หลวงในสำนักจักรพรรดิเหนือ เมื่อถึงเวลานั้น จะมีใครไม่ยอมรับว่าเจ้าคู่ควรเป็นภรรยาของนายน้อยผู้นี้”

“แม้ว่าข้าทำสำเร็จ แต่ผลลัพธ์คงทำให้ท่านผิดหวัง” เหยียนจื่อเมิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างเสียไม่ได้

“โอ้?” เหยียนซีหมิงขมวดคิ้วแน่น

“จริงๆแล้วเขาไม่รู้ว่ากระบี่หนานฮวงอยู่ไหน อาจารย์ของเขา ฉู่ชางหมิงเคยบังเอิญเห็นรูปกระบี่หนานฮวงจากบันทึกวงศ์วานของสำนักจักรพรรดิใต้และวาดให้เขาดู เย่หวูเฉินจึงวาดรูปกระบี่หนานฮวงเพื่อใช้ต่อรองกับสำนักจักรพรรดิใต้” เหยียนจื่อเมิ่งกล่าว

เหยียนซีหมิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้มศีรษะเดินกลับไปกลับมา

“เขาต่อรองเงื่อนไขใดกับสำนักจักรพรรดิใต้?” เหยียนซีหมิงถามขณะขมวดคิ้วมุ่น

เหยียนจื่อเมิ่งกำลังจะตอบ แต่นางพลันนึกถึงความปลอดภัยของครอบครัวเขา หัวใจนางบีบรัด นางส่ายศีรษะ “พอข้ารู้ว่าทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องโกหก ข้ารู้สึกผิดหวังเลยไม่ได้ถามต่อ”

“แล้วเจ้าได้สังหารมันหรือไม่?” เหยียนซีหมิงขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าเดิม เขาไม่สงสัยถ้อยคำของเหยียนจื่อเมิ่ง หลายปีมานี้เขารู้ซึ้งถึงพลังของเสียงปีศาจดี เขาจะไม่เชื่อได้อย่างไร? แต่ถึงอย่างนั้น ความคิดที่จะใช้กระบี่หนานฮวงเพื่อควบคุมสำนักจักรพรรดิใต้ตอนนี้เป็นอันตกไป หลังวางแผนทั้งหมด มันกลับกลายเป็นเรื่องโกหกน่าหัวร่อ สำนักจักรพรรดิใต้ผู้ยิ่งใหญ่กลับถูกหลอกลวงได้ถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่เพราะเหยียนจื่อเมิ่ง สำนักจักรพรรดิเหนือของเขาก็คงติดกับดักนี้เช่นกัน

เหยียนจื่อเมิ่งดวงตาเศร้าโศกเล็กน้อย นางส่ายศีรษะและตอบ “ไม่”

เหยียนซีหมิงหัวเราะ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเมื่อเจ้าบรรลุเป้าหมายเจ้าจะไม่สังหารมัน แม้ว่าหัวใจเจ้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่เจ้าก็มีเมตตา ไม่เพียงแค่มนุษย์แต่กระทั่งสัตว์ตัวเล็กๆเจ้ายังไม่อยากทำร้ายพวกมัน โอ้? เมิ่งเอ๋อร์ ทำไมสีหน้าเจ้าถึงดูไม่ค่อยดี เจ้ารู้สึกไม่สบายหรือ?”

นางเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วและเบี่ยงสายตาออก จากนั้นกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าไม่คุ้นชินกับการอาศัยอยู่ข้างนอก ร่างกายของข้ารู้จึงสึกไม่สบาย ข้ารู้สึกเหนื่อยมาก”

เหยียนซีหมิงกล่าวในทันที “เช่นนั้นเจ้าต้องรีบพักผ่อน ข้าทำให้เจ้าต้องเดินทางแสนไกล เจ้าคงลำบากมาก”

เหยียนจื่อเมิ่งส่งเสียงยอมรับ จากนั้นนางหันร่างและจากไป

เหยียนซีหมิงยืนอยู่ตรงหน้าต่าง หัวคิ้วขมวดมุ่นครุ่นคิด เขารู้จักเหยียนจื่อเมิ่งเป็นอย่างดี นางแทบไม่ติดต่อกับคนภายนอก ดังนั้นเขาจึงไม่สงสัยนางใดๆ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้สึกถึงอารมณ์ที่แปลกไปของนาง แม้ว่าเหยียนจื่อเมิ่งจะยังคงดูสงบ แต่นางยังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการปกปิดอารมณ์

สิบวันต่อมา เมืองเทียนหลง

“ราชันผู้ทรงเกียรติแห่งเทียนหลง พวกเราอาณาจักรต้าฟงได้หยุดทัพเมื่อสิบวันก่อน ในเวลาเดียวกัน พวกเราได้ลงนามเห็นชอบการแต่งงานระหว่างองค์หญิงเหยาฟงและองค์รัชทายาทของพวกเรา ดังนั้นพวกเราทั้งสองอาณาจักรจะรักษาความสงบสุขเป็นเวลาห้าปี อาณาจักรต้าฟงของพวกเราได้แสดงความจริงใจเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้ก็เกินกำหนดเวลา 20 วันมาแล้วถึง 5 วัน แต่พวกเราก็ยังไม่ได้พาตัวองค์หญิงเหยาฟงกลับไป พวกเราอยากขอให้ราชันผู้ทรงเกียรติแห่งเทียนหลงโปรดแสดงความเมตตา” ชายหนุ่มลักษณะดีสวมชุดเกราะอ่อน คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่เบื้องหน้าหลงหยินและกล่าวอย่างนอบน้อม

สายข่าวด่วนทะยอยรายงานยืนยันว่าสิ่งที่ฟงหลิงสัญญาไว้นั้นเป็นเรื่องจริง การยกเย่ฉุ่ยเหยาให้แต่งงานกับฟงหลิงได้กลายเป็นวิธีการเดียวที่จะสามารถช่วยอาณาจักรเทียนหลงให้พ้นจากวิกฤต เมื่อฟงหลิงกลับไป กองทัพของอาณาจักรต้าฟงได้ถอยทัพกลับในเวลาไม่ถึงสิบวัน พวกเขากระทั่งเขียนสนธิสัญญาสงบศึกเป็นเวลาห้าปีในเงื่อนไขว่าเย่ฉุ่ยเหยาต้องแต่งงานกับฟงหลิง ในสนธิสัญญาฉบับนี้มีตราประทับของราชตระกูลต้าฟง ดังนั้นมันจึงเป็นของจริงแท้อย่างแน่นอน

ความสงสัยของหลงหยินได้หายไป แทนที่ด้วยความงุนงงว่าฟงหลิงใช้วิธีการใดถึงทำให้ฟงเลี่ยยอมถอนทัพ เมื่อกำหนดเวลา 20 วันได้ผ่านไป อาณาจักรต้าฟงได้ส่งขบวนมาเพื่อรับตัวเจ้าสาว ผู้ที่นำขบวนมาคือขุนพลสะท้านบูรพาเยว่หานตง เมื่อทิศตะวันออกของอาณาจักรต้าฟงคืออาณาจักรเทียนหลง ชื่อหานตงของเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เขาเป็นแนวหน้านำกองทัพในการรบพุ่งกับอาณาจักรเทียนหลง ดังนั้นการยกเลิกสงความในครั้งนี้ทำให้เขาผิดหวังมาก

(โน๊ต: ชื่อกับฉายาของขุนพลหานตงเขียนด้วยตัวอักษรต่างกัน แต่ว่ามีความหมายเหมือนกันว่า สะท้านบูรพา)

แต่การเดินทางเพื่อมารับตัวเจ้าสาวครั้งนี้กลับไม่ราบลื่น พวกเขามาอยู่ในเมืองเทียนหลงได้ 5 วันแล้ว แต่กระนั้นยังไม่อาจพาตัวเย่ฉุ่ยเหยากลับไปได้ ผู้ที่ฝืนไว้ไม่ใช่จักรพรรดิแต่เป็นตระกูลเย่ ก่อนที่พวกเขาจะมา ฟงหลิงได้สั่งกำชับหลายครั้งว่าต้องเคารพตระกูลเย่ให้มาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าล่วงเกินตระกูลเย่ นอกจากนั้น ฟงหลิงยังได้สั่งให้พวกเขานำของขวัญล้ำค่าและจดหมายมาด้วย เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่การแต่งงานธรรมดา ไม่ใช่เพราะความงาม แต่เพราะรัชทายาทลุ่มหลงในรักอย่างหนัก อีกทั้งเขายังเคารพต่อตระกูลเย่มากยิ่งกว่าเคารพต่อหลงหยิน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงรอเวลาที่เลื่อนออกไป

หลงหยินกล่าว “ขุนพลเยว่ โปรดอย่าได้กังวล เรื่องนี้เป็นข้อตกลงระหว่างข้ากับรัชทายาทฟง ความล่าช้าเป็นเรื่องที่เกิดโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่สำหรับตระกูลเย่แล้ว เมื่อองค์หญิงเหยาฟงต้องจากตระกูล นางจะไม่สามารถกลับมาได้อีก นางจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าพวกเขาอีกครั้ง ข้าได้ยินว่าเจ้าก็มีลูกสาวเช่นกัน ข้าคิดว่าขุนพลเยว่คงเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาดี ข้าเองก็ไม่อาจบีบบังคับพวกเขาได้ ในเมื่อขุนพลเยว่มายังเมืองเทียนหลงเป็นครั้งแรก เหตุใดจึงไม่ลืมเรื่องหน้าที่รับผิดชอบไปก่อนและรื่นรมณ์อยู่ต่อสักสองสามวัน เพื่อให้เวลาตระกูลเย่อีกสักนิด?”

เยว่หานตงกล่าวยืนยัน “ข้ารู้อย่างแน่นอนถึงความเจ็บปวดที่ต้องพรากจากครอบครัว ดังนั้นข้าจึงพยายามอย่างยิ่งในการผ่อนผัน แต่ห้าวันนับเป็นขีดจำกัดของข้าแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้รัชทายาททรงกริ้ว ข้าอยากขอฝ่าบาทให้ใช้อำนาจของท่านเข้าเร่งรัดตระกูลเย่”

หลงหยินคิดครู่หนึ่ง เขารู้ดีว่าหากยืดเวลาออกไปอีก อาณาจักรต้าฟงจะต้องไม่พอใจ ห้าวัน....นับว่าผ่อนผันให้อย่างยิ่งแล้ว ด้วยไร้ทางเลือกเขาจึงกล่าว “ตกลง ข้าจะไม่ให้ขุนพลเยว่ต้องลำบากใจ ข้าจะทำอย่างที่เจ้าต้องการ”



<<<PREV    .    NEXT>>>