วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 155

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 155 เทพสงครามฟงเฉาหยาง (2)

หนึ่งหน้าแดงขึ้ง หนึ่งหน้าซีดขาว ช่างเป็นคู่แสดงที่ตีบทแตกเสียจริง... ฟงหลิงลอบแค่นเสียง ยกมือขึ้นแล้วกล่าว “อย่าได้มีอารมณ์เกินไปเลย ขุนพลชราหลิน” เขาหันกลับไป สายตามองที่ชายกลางคนที่มักตามหลังอยู่ใกล้ๆ “เห็นได้ชัดว่าเป็นความผิดของอาวุโสท่านนี้ที่นำกระบี่เข้ามายังในพระราชวัง แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับข้าฟงหลิงตรงไหน? อันที่จริงเขาไม่ใช่ผู้อยู่ใต้อาณัติข้า เพียงเป็นบุคคลที่ตามมาปกป้องข้าเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่รับคำสั่งใดๆ ต่อให้ข้าร้องขอเขาก็จะไม่ออกไป หากท่านคิดว่าเขาทำลายกฎของพวกท่าน เช่นนั้นก็เชิญจับกุมตัวเขาได้เลย ข้าจะไม่สนใจใดๆทั้งสิ้นเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ธุระของข้า แต่ข้าขอแนะทำท่านไว้อย่างหนึ่ง หากอาวุโสท่านนี้ต้องการสังหารใครก็ตามที่อยู่ในนี้ เขาแทบไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่ใดๆ”

หลิงขวงหัวเราะเย้ยหยัน “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า... กล่าวแก้ตัวได้น่าขบขันสิ้นดี ไม่คิดเลยว่ารัชทายาทผู้เลิศเลอแห่งต้าฟง เพื่อเลี่ยงความผิดกลับไม่ลังเลที่จะ...”

“หุบปาก!” หลงหยินตะโกนลั่น หลินขวงตกใจจนตัวสั่น หลงหยินค่อยๆกลับไปนั่งที่ของตนเอง สีหน้าคล้ายดูหม่นหมอง จนในที่สุดกลายเป็นมืดมน เขามองไปที่ชายกลางคนแล้วถาม “ผู้โดดเด่นท่านนี้ ท่านคือเทพสงครามฟงเฉาหยางผู้โด่งดังใช่หรือไม่!?”

หลงหยินทราบดีว่าบุคคลผู้นี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ที่เขาไม่คิดว่านี่คือฟงเฉาหยาง เพราะฟงเฉาหยางต้องอยู่ดูแลความปลอดภัยให้กับราชตระกูลต้าฟงในราชวัง นอกจากการรับมือกับสตรีเทพพิโรธ ร่ำลือกันว่าเขาไม่เคยออกจากอาณาจักรต้าฟง ยิ่งกว่านั้น ฟงเฉาหยางอายุใกล้ครบ 60 แต่คนผู้นี้อายุไม่น่าจะเกิน 50 ปี ดูอายุแล้วไม่สอดรับกัน แต่จากคำพูดของฟงหลิง เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงชื่ออันน่าหวาดหวั่นนี้ขึ้นมา

ฟงเฉาหยาง... สามคำที่เป็นดั่งสายฟ้าฟาด เหล่าขุนนางทุกผู้ที่อยู่ในท้องพระโรงล้วนสั่นกลัวตัวแข็ง สามคำนี้มีน้ำหนักกดดัน ใครจะกล้าสงสัยผู้เป็นตำนานของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เทพผู้เทียบเคียงได้กับเทพที่แท้จริง ในทันทีนั้น ทั่วทั้งท้องพระโรงเฟยหลงเงียบกริบอย่างน่ากลัว ทุกสายตาสั่นสะท้านจับจ้องที่ชายกลางคน ลมหายใจชราสามสายที่ซ่อนอยู่บนหลังคากลายเป็นหนักหน่วง หลินขวงตื่นตระหนกทั่วร่างหลั่งเหงื่อเย็น นามของฟงเฉาหยางทำให้หัวใจเต้นระส่ำด้วยความกลัว หากพวกเขากระตุ้นโทสะของเทพสงคราม ผลลัพธ์ย่อมไม่อาจประเมิน ทั้งยังไม่อาจต่อต้าน

ฟงหลิงมองสีหน้าของผู้คนโดยรอบ มุมปากยกยิ้มแล้วกล่าว “ฝ่าบาทมีสายพระเนตรเฉียบคมนัก เป็นความจริงที่อาวุโสท่านนี้คือผู้กล้าแห่งอาณาจักรต้าฟง – ฟงเฉาหยาง เขายังเป็นผู้มีพระคุณต่อตระกูลฟงมาหลายชั่วรุ่น ไม่มีผู้ใดจำกัดอิสระของเขา หากขุนพลชราหลินรู้สึกว่าเขาทำผิดกฏเพราะนำกระบี่เข้ามา ท่านสามารถสั่งการให้คนเข้าจับกุม ฟงหลิงจะไม่สอดมือยุ่งอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินคำตอบยืนยัน ผู้คนในท้องพระโรงหัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นหลายเท่า ไม่มีใครสงสัยด้วยความสามารถของฟงเฉาหยาง เขาสามารถสังหารผู้ใดก็ตามโดยแทบไม่ต้องออกแรง องครักษ์จะนับเป็นสิ่งใด เทพไม่กี่คนในทวีปเทียนเฉินสามารถกุดหัวขุนพลท่ามกลางกองทัพนับล้านได้อย่างสบาย ง่ายเหมือนเดินเล่นและดื่มกิน เพื่อจะบรรลุถึงระดับนี้ พวกเขาต้องรำงับจิตใจไร้ความละโมภ อุทิศตนเพื่อยุทธวิชา ทุ่มเทพยายามยิ่งยวด รวมทั้งต้องมีโชควาสนาถึงจะพบผลลัพธ์ โดยธรรมดาพวกเขาไม่คิดยุ่งเกี่ยวเรื่องธุระราชวงศ์ ฉู่ชางหมิง , หวู่เชียวชุย , เสวี่ยหนี่แห่งชางหลาน ต่างก็เช่นเดียวกัน เว้นไว้ครึ่งหนึ่งสำหรับฟงเฉาหยาง หลังจากกลายเป็น ‘เทพ’ เขาเข้ากับราชตระกูลต้าฟง เคราะห์ดีที่จุดประสงค์ของเขาคือปกป้องไม่ใช่ทำตาม ไม่เช่นนั้นอาณาจักรเทียนหลงคงไม่อาจดำรงอยู่ได้จนถึงวันนี้

มุมปากของหลินขวงขยับ แต่ไม่มีคำใดออกมา หากเขารู้ล่วงหน้าว่านี่คือเทพสงครามของอาณาจักรต้าฟง เทพปกปักษ์ฟงเฉาหยาง ต่อให้เขาขวัญกล้ากว่านี้สิบเท่า ก็ไม่กล้าใช้แง่วิธีสร้างความอับอายแก่ฟงหลิง นี่นับเป็นความผิดพลาด เขาเสียใจลึกล้ำจนลำไส้คล้ำเขียว

โชคดีที่เป็นเพียงการทดสอบ พวกเขาไม่ได้คิดจับกุมจริงๆ ไม่เช่นนั้นโลหิตคงได้สาดกระจายทั่วทั้งท้องพระโรงเฟยหลง บางทีฉับแรกอาจเป็นหลิงขวง หลิงขวงเงียบปากทันที อดกลั้นไว้จนใบหน้ากลายเป็นสีดำแดง เจ็บปวดในความเงียบดีกว่าทรมานเพราะถูกสังหาร ฝ่ายตรงข้ามคือฟงเฉาหยาง เขาคู่ควรที่ผู้คนจะสั่นกลัวและยอมรับความพ่ายแพ้

เย่หนู่ยืนขึ้นออกหน้าคลี่คลายสถานการณ์ “ชื่อเสียงของเทพสงครามเหมือนสายฟ้าสนั่นก้องในโสต ตำนานกล่าวว่ากระบี่ไม่เคยอยู่ห่างกาย บุคคลพิเศษเช่นนี้จะถูกจำกัดเพราะกฎเกณฑ์ของมนุษย์สามัญได้อย่างไร? ฝ่าบาท บ่าวชรามีคำขออวดดี ข้าหวังให้มีข้อยกเว้นเฉพาะแก่เทพสงครามว่าไม่ต้องปลดอาวุธเมื่ออยู่ในราชวัง เพื่อเป็นการแสดงความนับถือของพวกเรา”

หลงหยินผงกศีรษะแล้วกล่าวทันที “ขุนพลชราเย่ คำพูดท่านเหมือนกับที่ข้าคิดไว้ รัชทายาทฟง ผู้กล้าฟง เมื่อครู่นี้ขุนนางของข้าล่วงเกินแล้ว...”

“ไม่เป็นไร” ฟงหลิงโบกมือ “เขาคงสับสนเพราะชราภาพ เมื่อครู่นี้เขายังกล่าวว่าไม่เกรงกลัวสิ่งใด ตอนนี้กลับตื่นกลัวกระทั่งลืมว่าตนเคยพูดอะไรไว้ ข้าไม่เสียเวลาเปลืองวาจากับคนพรรค์นี้ ฝ่าบาท ฟงหลิงไม่อยากเสียเวลาอันมีค่าในอาณาจักรเทียนหลง ข้าหวังอยากจะไปเยี่ยมเยือนตระกูลเย่ก่อน พระบิดามักพูดอยู่เสมอว่าขุนพลเย่เก่งกล้าอาจหาญเช่นเดียวกัน คู่ควรกับนามบุตรชายตระกูลเย่ หากเวลานี้เขาเข้าสู่สมรภูมิ เขาย่อมกล้าหาญเฉกเช่นขุนพลชราเย่เมื่อครั้งก่อน ฟงหลิงจะต้องพบผู้กล้ายิ่งใหญ่เช่นนี้ให้ได้ นอกจากนี้ ข้ายังได้ยินมาว่าบุตรชายของขุนพลเย่ยังเป็นสุดยอดพรสวรรค์รุ่นเยาว์ ในเมืองเทียนหลงเขามีสมญาว่านักศึกษาอันดับหนึ่ง , สุดยอดพรสวรรค์อันดับหนึ่ง และ แพทย์ปาฏิหาริย์อันดับหนึ่ง ข้าได้ยินผู้คนโจษจันกันทั่วทั้งเมือง เลื่องลือกันว่าบุตรชายตระกูลเย่นั้นราวกับเทพสวรรค์ ฟงหลิงตั้งตาไม่อาจทนรอที่จะพบกับเขา”

หลงหยินหัวเราะแล้วกล่าว “รัชทายาทฟง เจ้าคงต้องผิดหวังแล้ว บุตรชายตระกูลเย่นับว่าเป็นอัจฉริยะไร้ที่เปรียบอย่างแท้จริง แต่ตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญจึงเดินทางลงใต้ เขาจะกลับมาหลังจากหนึ่งเดือน”

ฟงหลิงผิดหวังเมื่อได้ยินถ้อยคำ เขากล่าวอย่างเสียใจ “ถ้าอย่างนั้น ฟงหลิงขอไปเยี่ยมขุนพลเย่และฮูหยินเย่ ฟงหลิงคงต้องเสียใจหากไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนตระกูลเย่”

หลงหยินผงกศีรษะ หันไปทางเย่หนู่แล้วกล่าว “ขุนพลชราเย่”

เย่หนู่ทราบความหมาย เขายืนขึ้นแล้วกล่าว “รัชทายาทฟง เชิญ”

ฟงหลิงติดตามเย่หนู่อยู่เบื้องหลัง พร้อมกับฟงเฉาหยางที่เป็นเงาตามไร้คำ หลงหยินสีหน้าหนักขึ้ง คิ้วขมวดแน่นติดกัน สายตาเพ่งจ้องครุ่นคิดลึกอยู่ข้างใน

ไม่แปลกใจที่มันกล้ามาผู้เดียว เพราะมีฟงเฉาหยางคอยปกป้อง แต่เหตุใดฟงเลี่ยถึงยอมให้ฟงเฉาหยางติดตามมาที่นี่? หากเป็นเหตุผลเรียบง่ายเหมือนที่ฟงหลิงบอก ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาตามมา อาณาจักรต้าฟงส่งรัชทายาทมาเยือนย่อมไม่ใช่เพราะเหตุผลสามัญ

ฟงหลินยกย่องเย่หนู่ตลอดทาง เย่หนู่เพียงมีสีหน้าปกติ บางครั้งกล่าวตอบเพียงไม่กี่คำ ฟงหลิงไม่ถือสาใส่ใจ สีหน้ายังสงบคงเดิม เย่หนู่เดินอยู่เบื้องหน้าลอบถอนใจอยู่ข้างใน... สมควรแล้วที่เป็นรัชทายาทแห่งต้าฟง เขาไม่ใช่ตัวตนธรรมดา ดูจากเพียงความกล้าและความยับยั้งใจ ไม่มีคนธรรมดาคนใดเทียบกับเขาได้ ยิ่งกว่านั้นทั้งวิธีการพูด กิริยาและการแสดงออก ยังดูคลับคล้ายกับเย่หวูเฉิน

คฤหาสน์ตระกูลเย่

เมื่อเข้าประตูมา ฟงหลิงกวาดสายตามองทุกซอกมุมอย่างพิถีพิถัน ราวจะเก็บทุกรายละเอียดอย่างปราณีตบรรจง การเยี่ยมตระกูลเย่ครั้งนี้ เหตุผลหลักเพื่อเรียนรู้ตระกูลเย่ หากเทียนหลงกับต้าฟงประจันหน้าในสงคราม คนที่พวกเขาต้องเกรงกลัวคือขุนพลแห่งตระกูลเย่ จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ฟงเลี่ยแห่งอาณาจักรต้าฟง เคยรบพุ่งกับเย่หนู่และเย่เว่ยหลายครั้งในสมรภูมิ รู้ชัดถึงพลังทัพของตระกูลเย่ มีเพียงต้องรู้เขาและรู้เราให้มาก จึงจะลดความผิดพลาดให้เหลือน้อยสุด แน่นอนย่อมมีพลาดบ้างแต่ไม่ถึงล้มเหลว เตรียมการมาตลอด 20 ปีพวกเขาจึงมั่นใจ เชื่อว่าต่อให้มีอาณาจักรคุยชุยและชางหลานร่วมรับมือ พวกเขาก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ ที่จำเป็นคือหาทางลดความผิดพลาดให้ความสูญเสียเหลือน้อยที่สุด

เย่เว่ยถูกเรียกออกมาที่สวนด้านหน้า เมื่อพบฟงหลิงเขาถามอย่างสงสัย “แขกพิเศษท่านนี้คือ?”

“เขาคือรัชทายาทแห่งอาณาจักรต้าฟง” เย่หนู่กล่าวราบเรียบ

“ยินดีที่ได้พบท่าน ขุนพลเย่ ชื่อเสียงของท่านในอาณาจักรต้าฟงราวกับฟ้าสะท้านก้องในโสต” ฟงหลิงกล่าวอย่างสุภาพ

ลักษณะโดดเด่นของฟงหลิงทำให้เย่เว่ยรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา เมื่อได้ยินชื่อ เขาสะดุ้งคราหนึ่ง “ที่แท้ก็เป็นรัชทายาทฟง ข้าไม่คู่ควรกับคำยกย่องเพียงนั้น โปรดเข้ามานั่งข้างในก่อน”

ฟงหลิงโบกมือแล้วกล่าว “อย่าเลย เพียงได้พบขุนพลเย่ข้าก็พอใจแล้ว ไม่กล้าให้ท่านต้องต้อนรับขับสู้ อีกอย่าง ข้าขอบังอาจรบกวนขุนพลเย่ช่วยพาเที่ยวชมกองทัพของตระกูล ให้ข้าได้เห็นเหล่าผู้กล้าที่แท้จริง”

เย่เว่ยเลิกคิ้วขึ้น คำขอนี้เท่ากับการสำรวจกำลังรบของอาณาจักรเทียนหลง เขามองที่เย่หนู่ที่พยักหน้าให้ “เจ้าพารัชทายาทฟงไปดูได้ นี่คือความคิดขององค์จักรพรรดิ”

เย่เว่ยตอบรับทันที เพราะรู้ว่าค่ายทัพได้จัดเตรียมไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าแล้วกล่าว “ตกลง โปรดตามข้ามารัชทายาทฟง”

“จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าอย่างไรอย่าได้ล่วงเกินบุคคลที่อยู่ข้างหลัง... เขาคือฟงเฉาหยาง” ชั่วขณะที่หันตัวไป เย่หนู่รีบกระซิบบอกเย่เว่ย เย่เว่ยตกตะลึง ขณะมองคนธรรมดาในชุดเขียวที่สะพายกระบี่ใหญ่ไว้บนหลัง ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่อาจปกปิดสีหน้าตื่นตะลึง

เวลานี้เอง ฟงหลิงบังเอิญมองเห็นร่างงดงามที่อยู่ห่างออกไป... เย่ฉุ่ยเหยาก้าวออกมาจากสวนน้อยของเย่หวูเฉิน และกำลังตรงกลับไปที่สวนของตน ตั้งแต่เย่หวูเฉินจากไป บางครั้งเย่ฉุ่ยเหยาจะออกจากห้องของนางแล้วไปที่สวนของเย่หวูเฉิน เพียงเพื่อสัมผัสกลิ่นอายเจือจางของเขา

หากว่านางยังคือคนเดิมที่เก็บตัวอยู่แต่ในโลกของตน เป็นเย่ฉุ่ยเหยาคนเก่าที่ปฏิเสธจะออกไปไหน ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เย่หวูเฉินคาดการณ์ ตระกูลหลินจะติดกับจนไม่อาจไถ่ถอนตัว สุดท้ายพวกมันจะล่มจม หลงหยินจะไม่ตกตายแม้เจ็บป่วยร้ายแรงกะทันหัน หลงเจิ้งหยางจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ อาณาจักรต้าฟงจะไม่รุกรานอาณาจักรเทียนหลงเป็นเวลาสามปี เมื่อพวกมันได้รู้ว่าสำนักจักรพรรดิใต้เกี่ยวข้องกับตระกูลเย่ เวลาสามปีเพียงพอสำหรับเขาที่จะวางกับดักใหญ่... แต่การปรากฎตัวของเย่ฉุ่ยเหยาทำให้แผนทั้งหมดของเขาล่มสลายลงในคราเดียว ทั้งยังทำให้ชะตาชีวิตของเขาผกผันครั้งใหญ่ จากเพียงเพื่อปกป้อง กลายเป็นต้องเหยียบย่ำจนสะท้านสะเทือนไปทั้งผืนโลก

บางครั้ง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ศาสตรา แต่เป็นมนต์มารของอิสตรี

สีหน้าของฟงหลิงชะงักงัน เขาสูญเสียความหนักแน่นแห่งจิตใจที่ใช้เผชิญหน้ากับจักรพรรดิเทียนหลงและเหล่าขุนนาง ในสายตาปรากฎเพียงภาพธิดาเซียนไม่เห็นสิ่งอื่นใด โลกทั้งใบกลายเป็นว่างเปล่า ได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้นเร่า นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่ได้สัมผัสความรู้สึกสูญเสียจิตใจ

“นางคือเทพธิดา... หรือปีศาจที่ล่อลวง...” เขาพึมพำอยู่ข้างใน

ร่างธิดาเซียนนั้นไม่ได้เข้ามาใกล้ เย่ฉุ่ยเหยารู้สึกว่านางถูกจ้อง นางจึงเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา จากนั้นถอนสายตามุ่งหน้ากลับยังสวนของตน สายตาฟงหลิงตามติดจนกระทั่งร่างนั้นลับตาไป เขายังไม่อาจฟื้นคืนจิตใจ

“รัชทายาทฟง ไปกันเถอะ” เย่เว่ยเอ่ยเสียงหนัก เขารู้จักมนต์เสน่ห์ของลูกสาวตนอย่างดียิ่ง ไม่แปลกใจอย่างใดกับอาการของฟงหลิง

ฟงหลิงรู้สึกราวกับตื่นจากฝัน สายตาขยับวับถามอย่างไม่อาจอดทน “ขุนพลเย่ สตรีที่ข้าเห็นเมื่อครู่นี้คือใครกัน?”

“ลูกสาวข้าเอง” เย่เว่ยตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

จากปกติที่ฟงหลิงมีรอยยิ้มสง่าและเรียบง่าย ยามนี้กับดูแปลกออกไป ในใจมีแต่ภาพของเย่ฉุ่ยเหยา เป็นไปไม่ได้ที่จะลบลืม เขากระทั่งลืมความตั้งใจไปเที่ยวชมค่ายทัพ “ที่แท้ก็เป็นธิดาของขุนพลเย่ งดงามหมดจดอย่างแท้จริง คือเทพธิดาจุติในร่างมนุษย์ โฉมงามของต้าฟงดูหม่นหมองเมื่อเทียบกับโฉมงามในอาณาจักรท่าน นางมีชื่อไพเราะว่าอย่างไร?”

เย่เว่ยย่นคิ้วแล้วกล่าว “รัชทายาทฟง โปรดไปดูค่ายทัพก่อน”

ฟงหลิงพลันตระหนักได้ว่าไม่รักษากิริยา เขาหัวเราะหยันตัวเองและไม่กล่าวต่อ เขาขยับออกด้านข้างแล้วกล่าว “โปรดนำทาง ขุนพลเย่”

ขณะออกจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ ฟงหลิงอดไม่ได้และเหลือบมองอีกครั้งยังประตูสวนที่เย่ฉุ่ยเหยาหายไป เขาไม่เห็นร่างที่พรากจิตใจ ดังนั้นเขาจึงออกไปด้วยความผิดหวัง

ฟงเฉาหยางติดตามเบื้องหลังเขามาตลอดราวกับไม้ท่อนหนึ่ง ข้อตกลงที่เขาสาบานไว้ก็คือ เขาจะปกป้องอาณาจักรต้าฟงด้วยชีวิต แต่เพียงปกป้องเท่านั้น เรื่องอื่นๆเขาไม่ยุ่งเกี่ยวและไม่สนใจ



<<<PREV    .    NEXT>>>